บทที่ 3 : อ้อมกอดของศัตรู (1)

1416 คำ
“ไอ้สิงห์นั่นจะไปไหนอีกล่ะ เพิ่งกลับมาบ้านไม่ใช่เหรอ” เสียงร้องทักของผู้เป็นพี่ชายที่ดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้คนที่กำลังจะก้าวออกจากประตูบ้านต้องชะงักเท้าหยุดเดินแล้วหันกลับมามองต้นเสียงพร้อมกับเอ่ยกับอีกฝ่าย “พอดีผมมีธุระต้องไปทำหน่อย” “พักนี่พี่ไม่ค่อยเห็นหน้าเลยนะ รู้สึกว่าจะมีธุระบ่อยเสียเหลือเกิน” พยัคฆ์บอกกับน้องชายด้วยน้ำเสียงที่แฝงการประชดนิดๆ ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ยอมโดนว่าอยู่ฝ่ายเดียว เลยสวนกลับมาเช่นกัน “วันๆ พี่เสือก็เอาแต่ขลุกอยู่กับเมีย จะมีเวลาที่ไหนออกมาเจอหน้าผมกันละครับ ไม่ว่าผมจะอยู่บ้านหรือออกไปทำงานพี่ก็ไม่รู้ไม่เห็นทั้งนั้นแหละ” ประโยคของน้องชายทำให้ผู้เป็นพี่ถึงกับต้องส่ายหน้าไปมาเบาๆ ก่อนที่จะเดินมาโอบไหล่น้องชายพร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม “ทำตัวเป็นเด็กขี้น้อยใจไปได้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ถ้าไม่รีบไปธุระเรามาดื่มกันหน่อยไหม” คำเชิญชวนของพี่ชายนั้นทำให้สิงหนาทต้องคิดหนัก แต่เพื่อไม่ให้คนเป็นพี่สงสัยในตัวเขา ก็จำต้องตอบตกลงอย่างช่วยไม่ได้ “ผมไม่รีบหรอกครับ ดื่มกับพี่ก็ได้” “อืม…ดี” พยัคฆ์รู้สึกพอใจกับคำตอบของน้องชาย ก่อนที่สองหนุ่มจะพากันมานั่งยังเคาน์เตอร์บาร์ของบ้าน โดยมีเด็กรับใช้คอยปรนนิบัติผู้เป็นนายทั้งสองอย่างรู้งาน หลังจากที่สองพี่น้องมานั่งดื่มกันได้เพียงชั่วโมง เสียงฝนห่าใหญ่ ปนเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าก็ดังขึ้น มาเป็นระยะๆ “คืนนี้ดูท่าฝนจะตกหนักนะ เผลอๆ อาจจะมีน้ำป่า” พยัคฆ์เอ่ยขึ้นกับน้องชาย ขณะที่กระดกไวน์องุ่นชั้นดีที่ผลิตจากไร่ของทั้งสองคนเป็นพักๆ จากนั้นก็เอ่ยถามต่อ “แล้วพักนี้นายได้ลองไปดูกระท่อมท้ายไร่บ้างหรือเปล่า ไม่รู้ว่าจะโดนน้ำป่าพัดไปหรือยัง” “ไม่หรอกมั่ง กระท่อมท้ายไร่แข็งแรงออกขนาดนั้น ไม่โดนน้ำพัดไปง่ายๆ หรอก” สิงหนาทพูดเหมือนจะปลอบใจตัวเองมากกว่า เพราะตอนนี้ถึงตัวจะนั่งอยู่ตรงนี้แต่หัวใจของเขานั้นกังวลไปถึงหญิงสาวที่ถูกขังไว้ในกระท่อมท้ายไร่ ไม่รู้ว่าป่านนี้เธอจะเป็นยังไงบ้าง ถ้าเกิดน้ำป่าไหลมาจริงเธอคงหนีไม่รอด เพราะเขาล่ามโซ่เธอไว้กับเตียงอย่างแน่นหนา และอีกอย่างตอนนี้ไอ้มิ่งก็เข้าเมืองไปซื้อของใช้จำเป็นของผู้หญิงตามที่เขาสั่ง เลยไม่ได้อยู่เฝ้ากระท่อมอีกคน ที่เขาต้องทำตัวใจเย็น นั่งดื่มกับพี่ชายต่ออย่างเงียบๆ อยู่นั้นก็เพราะไม่อยากหลุดพิรุธให้พี่ชายจับได้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ทว่าถึงเขาจะปิดไว้มิดแค่ไหน คนฉลาดเป็นกรดอย่างพยัคฆ์ก็พอจะสังเกตเห็นความผิดปกติของน้องชายได้ “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าสิงห์ ทำไมดูหน้าเครียดๆ” “เปล่านี่ครับ ปกติผมก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว” “แต่พี่ว่ามีนะ เพราะพี่รู้จักน้องชายตัวเองดี ไหนมีอะไรลองเล่าให้ฟังหน่อย เผื่อจะช่วยหาทางแก้ไขได้” “ผมไม่มีเรื่องอะไรทั้งนั้นแหละ ชีวิตทุกวันนี้ราบรื่นดี ไม่ได้ติดขัดปัญหาอะไร” สิงหนาทปฏิเสธพร้อมกับยืนยันเสียงหนักจนผู้เป็นพี่ต้องยอมถอดใจ ไม่เซ้าซี้ถามอะไรอีก ……………………………………………… สายฝนที่เทลงมาอย่างหนักในช่วงค่ำคืนที่มาพร้อมกับเสียงหวีดของลมและเสียงฟ้าคะนองทำให้สาวเมืองกรุงที่ไม่คุ้นชินกับเสียงคำรามของธรรมชาติกลางป่ากลางเขาถึงกับต้องอุดหูเอาไว้ด้วยอาการมือไม้สั่น ยังดีที่ยังมีเทียนคอยส่องสว่างในค่ำคืนที่แสนจะมืดมิดและน่ากลัวนี้ ทำให้รินนาราไม่ประสาทเสียไปได้ “ทำไมเสียงฟ้าผ่าถึงฟังดูใกล้จัง ไม่รู้หรือไงว่าทำคนเขากลัว” สำหรับเด็กคนอื่นที่เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อแม่คอยอยู่เคียงข้างและปลอบโยนในวันที่รู้สึกหวาดกลัวคงไม่ทำให้ต้องเติบโตมาท่ามกลางความกลัว แต่กับรินนาราที่ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่แสนลำบากเหล่านั้นมาตามลำพังตั้งแต่เด็กๆ เลยรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าคนปกติ โดยเฉพาะเวลาที่เสียงฟ้าคำรามดังสนั่นหวั่นไหวแบบนี้ เปรี้ยง! “ว้าย!” รินนารารีบดีดตัวขึ้นเตียงพร้อมกับดึงผ้าห่มมาคลุมศีรษะเอาไว้อย่างรวดเร็วด้วยอาการสั่นเทิ้มเพราะความหวาดกลัว เธอยกมือเล็กทั้งสองข้างปิดหูเอาไว้แน่น ขณะที่นอนขดตัวงอเป็นกุ้งอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบาง “หยุดร้องเถอะนะฟ้า ฉันขอร้องละ” หญิงสาวอ้อนวอนขอความเห็นใจจากสิ่งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เธอไม่คิดว่ากลางป่ากลางเขาแบบนี้เวลาที่ฝนฟ้าคะนองหนักจะน่ากลัวถึงเพียงนี้ “ถ้าเป็นกรุงเทพฯ เสียงคงไม่น่ากลัวขนาดนี้” จู่ๆ รินนาราก็คิดถึงกรุงเทพฯ ขึ้นมา แม้ที่นั่นอากาศจะแปรปรวนบ้างในบางเวลา แต่ก็ไม่น่ากลัวเท่าที่นี่ เปรี้ยง! “กรี๊ดดด!” เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอีกครั้งแถมความดังที่รู้สึกเหมือนผ่าลงมาใกล้ๆ ทำให้รินนารากรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง ความกลัววิ่งแล่นเข้าสู่ขั้วหัวใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องถูกผลักเข้ามาอย่างแรง ตามมาด้วยร่างสูงใหญ่พุงตัวเข้ามาด้วยความร้อนใจ “คุณ! เป็นอะไรมากหรือเปล่า” เสียงร้องถามด้วยความร้อนใจขณะที่นั่งลงบนเตียงเล็กแคบๆข้างๆ เธอ ทำให้คนที่ขดตัวอยู่ในผ้าห่มต้องรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะพุงตัวเข้าหาเขาเต็มแรงด้วยความดีใจ หลงลืมความโกรธเกลียดที่มีต่อเขาเสียสนิท จนสิงหนาทสัมผัสได้ถึงอาการสั่นเทาราวกับหวาดกลัวของคนที่กำลังซุกซบกับอกกว้างของเขาอยู่ “ฉันกลัว ฟ้าผ่าเสียงดังมาก มันจะผ่าโดนกระท่อมไหมคะ” เสียงหวานอู้อี้ตอบอยู่กับอกกว้างแข็งแกร่ง ซุกซบใบหน้างดงามอยู่แบบนั้นไม่ยอมเงยขึ้นมาสบตา ทำเอาคนถูกถามถึงกับต้องหลุดคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ด้วยความรู้สึกเอ็นดูคนขี้กลัว “ไม่หรอก เสียงมันก็ดังแบบนั้นแหละ แต่ไม่ผ่ามาที่กระท่อมหรอก” เสียงทุ้มเอ่ยบอกพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างโอบกอดร่างบอบบางเอาไว้แน่น ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังบางที่สั่นสะท้านของเธออย่างปลอบประโลม จนคนตัวเล็กรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากสัมผัสอ่อนโยนที่ไม่คิดว่าจะได้รับจากคนปากร้ายป่าเถื่อนอย่างเขา “ถึงคุณจะโกรธจะเกลียดฉันแค่ไหน แต่คืนนี้ขอร้องช่วยอยู่เป็นเพื่อนของฉันจนกว่าฟ้าจะหยุดร้องได้ไหมคะ” ดวงหน้างดงามเงยขึ้นมาอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาคู่สวยแดงก่ำขณะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา สิงหนาทที่บอกตัวเองมาตลอดว่าเธอเป็นผู้หญิงใจร้ายที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด และที่จับเธอมาก็เพื่อทรมาน แต่เมื่อเห็นความหวาดกลัวของเธอเขาก็ไม่อาจทำใจแข็งได้อีกต่อไป “ผมตัวเปียกอยู่ ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” ถึงแม้เขาจะไม่ให้คำมั่นสัญญา แต่ประโยคของเขาที่ไม่ปฏิเสธคำขอของเธอก็ส่งผลให้ใบหน้างดงามที่เหมือนจะร้องไห้เมื่อครู่ระบายยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกโล่งอกโล่งใจ เพราะอย่างน้อยการได้อยู่กับเขาเวลานี้ก็ยังรู้สึกอุ่นใจ และปลอดภัยกว่าการอยู่คนเดียวตามลำพัง “ได้ค่ะ แต่รีบๆ หน่อยนะคะ” เสียงหวานกล่าวอนุญาตพร้อมกับยอมผละออกจากอกกว้างแข็งแรง แต่กระนั้นก็มิวายกำชับเขาอยู่ดี “อืม… ไม่นานหรอก” เขาบอกแล้วลุกขึ้นจากเตียงเดินออกจากห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ไป เพื่อไปยังอีกห้องแล้วทำธุระส่วนตัวด้วยความเร่งรีบ ขณะที่ด้านนอกนั้นยังมีเสียงฟ้าคำรามมาเป็นระยะๆ ……………………………………………..
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม