“มารดาข้าตายจากตั้งแต่ข้ายังเด็ก แต่ก็มีมารดาของฟางหรงดูแลจนกระทั้งเราเหลือกันเพียงสองคนพี่น้อง บิดาของข้าฝากฝังข้ากับน้องชายให้ท่านอาจารย์หยางอี้เสียงดูแล ท่านเอ็นดูเราสองคนพี่น้องมาก รับเราทั้งสองเป็นบุตรบุญธรรม ข้าจึงได้เรียนเขียนอ่านจากพ่อบุญธรรม”
“ท่านอาจารย์จิตใจประเสริฐนัก” เขาเผลอยิ้มเมื่อนึกถึงวัยเด็กของตน “หากไม่ใช่เพราะความเมตตาของท่าน ข้าคงไม่มีวันนี้”
“เป็นเพราะท่านมีความเพียรพยายามด้วย” นางยิ้มให้เขา “พ่อบุญธรรมชอบเล่าเรื่องของท่านให้ฟังอยู่บ่อยๆ”
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย พิศมองใบหน้าที่ยังมีร่องรอยบอบช้ำ เขาพบเห็นสตรีงดงามมามาก แน่นอนว่านางมิได้ครอบครองความงามพิลาศล้ำ แต่มีบางอย่างที่ทำให้คนอยู่ใกล้แล้วรู้สึกผ่อนคลาย อาจเป็นท่วงท่าที่ดูสบายๆ ของนางเอง ทำให้เขารู้สึกสนทนากับสหายมิใช่บุรุษกับสตรีที่ต้องคอยรักษาระยะห่าง
“ข้าเองก็ไม่แปลกใจที่เจ้าเป็นเช่นนี้”
“ข้าเป็นเช่นนี้? ท่านแม่ทัพหมายความว่าอย่างไร”
“เป็นสตรีที่แต่งกายเป็นบุรุษแล้วเดินทางตามลำพังมาเพื่อแจ้งเตือนข้าเรื่องอนุชาแห่งแคว้นเหยี่ยนหรือ?”
นางพยักหน้ารับ “องค์รัชทายาทกำชับมาว่า ท่านจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด ในเมืองหลวงเวลานี้ ภายนอกมองว่าสงบสุข แต่มีผู้ที่ต้องการกำจัดพระองค์โดยร่วมมือกับแคว้นเหยี่ยน”
“ท่านแม่ทัพคิดว่า โจรป่าที่ปราบไม่สำเร็จนี้จะเกี่ยวกับเรื่องระหว่างแคว้นหรือไม่”
เป็นอีกครั้งที่นางทำให้เขาเขาประหลาดใจ เพราะสิ่งที่นางพูดคือสิ่งที่เขาคิด ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร แม่นมเหมยกุ้ยก็เข้ามาพร้อมสำรับอาหาร ทั้งสองจึงยุติบทสนทนา แม่นมเหมยกุ้ยดูแลจนบ่าวไพร่จัดวางอาหารเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกไป จางฟางซินขยับตัวหมายจะลุกไปที่โต๊ะอาหาร แต่การขยับเท้าเล็กน้อยก็ทำให้นางเจ็บจนหน้านิ่วคิ้วขมวด นางกัดฟันกลั้นเสียงร้อง ไม่อยากให้ผู้ใดเห็นความอ่อนแอของนาง ทว่าหลัวหลิวหยางกลับลุกขึ้นแล้วโน้มตัวลงอุ้มนางขึ้น นางอ้าปากจะร้องห้ามขยับตัวดิ้นรนแต่เขาชิงพูดออกมาเสียก่อน
“อย่าทำแบบนี้จะดีกว่า” เขาเตือน ก้าวเดินไม่กี่ก้าวก็พานางมานั่งที่เก้าอี้ “เจ้าควรอยู่นิ่งๆ”
“เกรงว่าข้าจะไม่คุ้นชินกับการถูกผู้อื่นปรนนิบัติ” นางอดพูดไม่ได้ หวังใจว่าหน้าของนางยามนี้คงไม่แดงจัดเหมือนถ่านร้อนๆ ในเตาฟื้น
“จะเป็นผู้หญิงของข้า เรื่องแค่นี้เจ้าควรทำตัวให้คุ้นเคย” เขาพูดด้วยท่าทีเรียบๆ คล้ายไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ทำลงไป
“ขอโทษด้วย” จางฟางซินพูดอย่างนึกขึ้นได้ “ท่านแม่ทัพกรุณากับข้ายิ่ง”
“เจ้าต้องกินอะไรบ้าง เพื่อจะได้มีแรง” เขาหยิบตะเกียบคีบเนื้อปลากะพงนึ่งให้นาง
“ข้าทำเองได้” นางเตือนเขา “มือของข้ายังใช้การได้ดีอยู่”
“แขนซ้ายเจ้ายังเจ็บอยู่” ดูท่านางก็ดื้อดึงไม่แพ้เขาเช่นกัน “เอาไว้เจ้าหายดีแล้วค่อยปรนนิบัติข้าคืนก็แล้วกัน”
“ข้าจะจำใส่ใจไว้” นางพูดพลางกินมื้อเที่ยงของตัวเอง หลายวันนี้กินแต่โจ๊ก พอมีอาหารเลิศรสเข้าปาก ใบหน้าของนางพลันแช่มชื้นขึ้น
“อร่อยไหม” หลัวหลิวหยางถามเพราะสีหน้าของนางช่างดูมีความสุขเสียเหลือเกิน
“ข้าจำได้ว่าท่านเคยปรึกษาเรื่องเพาะปลูกข้าวในพื้นที่ที่เป็นภูเขาเสียส่วนใหญ่ ข้าวในถ้วยนี้มาจากแปลงนาเชิงเขาใช่หรือไม่”
เขายิ้มแทนคำตอบ เขาเคยเขียนจดหมายถึง ‘จางฟางหรง’ ปรึกษาเรื่องเหล่านี้จริง และจางฟางหรงช่วยค้นหาวิธีเพาะปลูกและกักเก็บน้ำ ทำให้สองปีมานี้ แผ่นดินที่เคยแห้งแล้งทางทิศตะวันออกเปลี่ยนเป็นเขียวขจีด้วยทุ่งข้าวและพืชพรรณมากมาย
“ดีจริง วันนี้ได้กินข้าวที่ท่านปลูกแล้ว”
“ข้าสั่งผู้อื่นปลูกต่างหาก” เขาพูดพลางคีบเห็ดผัดน้ำมันหอยให้นาง “เห็ดนี่ได้มาจากภูเขา เก็บมาเมื่อเช้า ปรุงสดใหม่อร่อยยิ่ง”
จางฟางซินกระตื้อรือร้นที่จะกินอาหารแต่ละจานที่เขาป้อนให้ นางเป็นคนที่มีความสุขกับการอ่านตำราและกินของอร่อย แต่อย่าให้นางลงมือทำเลย ห้องครัวจะพังพินาศเอาเสียเปล่า
“มีอะไรที่เจ้าอยากได้อีกหรือไม่” เขาถามหลังจากทั้งสองกวาดอาหารทุกจานจนหมดเกลี้ยง ปกติเขากินข้าวคนเดียว กินให้อิ่มกินให้เสร็จแล้วไปทำงาน จึงไม่เคยรู้เลยว่าอาหารที่จวนตนเองนั้นรสชาติดีไม่น้อย
“หากเป็นไปได้ ท่านแม่ทัพช่วยหาไม้เท้าให้ข้าสักอันเถิด ข้าจะได้พยุงตัวเองยามลุกเดิน”
“ข้าจำได้ว่า ข้าพูดแล้วว่าเจ้าไม่ควรเดินและไม่ควรขยับตัวมากนัก”
“ท่านแม่ทัพจะมาอุ้มข้าทุกคราวหรือไร” นางย่นจมูกหงุดหงิดกับความดื้อรั้นของเขา แต่...นางก็ลืมไปว่าตนเองดื้อรั้นใส่เขาเช่นกัน
“ได้” เขาตอบด้วยรอยยิ้มซุกซนซึ่งไม่ค่อยเป็นเช่นนี้นัก “ช่วงนี้ข้าพักผ่อนในจวน เจ้าจะทำอะไรหรือไปไหน ข้าจะปรนนิบัติอุ้มเจ้าเอง”
เขาเห็นเพียงดวงตาของนางวูบไหวเล็กน้อย แต่สีหน้าของนางคงสงบนิ่งอยู่ ดูๆ ไปแล้วนางก็ไม่เลวทีเดียว
“ก็ได้” นางเหมือนจะยอมจำนน “หากท่านเกรงว่าผู้อื่นจะไม่เชื่อว่าท่านหลงใหลคลั่งไคล้ในตัวข้า ก็เชิญท่านปรนนิบัติข้าได้อย่างเต็มที”
หลัวหลิวหยางได้ยินถ้อยคำของนางแล้วถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาดังไปนอกห้อง เล่นเอาทหารยามสะดุ้งตกใจ ร้อยวันพันปีแม่ทัพพิทักษ์บูรพาจะส่งเสียงหัวเราะสักครั้ง แม้กระทั้งได้รับชัยชนะในสนามรบก็แทบไม่เคยเห็นรอยยิ้มหรืออาการดีอกดีใจใดๆ เหล่าทหารมั่นใจแล้วว่า สตรีที่อยู่ในห้องนั้นต้องเป็นคนพิเศษของท่านแม่ทัพเป็นแน่ ถึงได้มีความสามารถทำให้ท่านแม่ทัพหัวเราะเสียงดังถึงเพียงนี้
จางฟางซินได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ เขาหัวเราะเช่นนี้ หมายความว่านางจะได้ไม้เท้าตามที่ร้องขอหรือไม่นะ นางได้แต่หวังว่าเขาจะหาไม้เท้าที่ธรรมดาไม่ใช่ไม้เท้าประดับมุกหรือสลักลายอลังการแต่อย่างใด
หรือว่าจะเขาจะยอมเป็นไม้เท้าให้นางเสียเอง