“ทีหลังหิวก็กินจะมารอทำไม”
“ก็ป้ากรองไม่ยอมกินช้องจะกินก่อนได้ยังไงคะ ทีหลังถ้าจะไม่ให้รอคุณขุนก็โทรมาบอกสิคะจะได้แยกอาหารไว้ให้แล้วจะได้กินกันก่อนเลย”
“อย่ามาเถียงนะช้องนาง อย่าเพิ่งปากเก่งเพราะวันนี้เรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน!”
“อะไรคะ” นั่นไง ฉันว่าแล้วว่าการมาทานข้าวเย็นของเขาต้องมีเรื่องไม่ปกติแล้วก็ใช่จริง ๆ ด้วย
“หึ!” เขาแค่นเสียงเหมือนเยาะเย้ยใส่แล้วก็เดินไปเลย
เอ้า! อะไรอีก จะหาเรื่องอะไรฉันอีกเนี่ย!
ฉันเดินตามเข้ามาในห้องอาหารเขาก็นั่งลงทักทายป้ากรอง พี่ทิพย์แม่บ้านก็เข้ามาเสิร์ฟข้าว
“มานั่งสิลูกทำไมยืนอยู่ตรงนั้น” ป้ากรองเรียกฉันที่ยืนมองเขาด้วยความไม่ไว้ใจ ส่วนเขาก็มองมาที่ฉันหลังจากที่ป้ากรองพูดจบ หน้าตึงมาก แบบนี้แสดงว่ามีเรื่องมาเชือดฉันแน่นอน
“ค่ะป้ากรอง”
“วันนี้ป้าทำของโปรดขุนทั้งนั้น กินเยอะ ๆ ล่ะ”
“ทำแต่ของโปรดผมแล้วเด็กป้ากรองไม่หน้างอแย่เหรอครับ”
“อื้อตาขุนเขานี่นะแหย่น้องทำไม จะหน้างออะไรมีแต่จะดีใจที่พี่มากินข้าวด้วย จริงไหมลูก”
“...ค่ะ” ฉันรับคำอย่างเสียไม่ได้ แต่เชื่อเถอะเขาเองก็รู้ว่าฉันไม่ได้ดีใจ
“สงสัยดีใจมากไปหน่อยหน้าตอนนี้เลยเกร็งไปหมด”
“ป้ากรองทานนี่ค่ะ” ฉันไม่สนคำพูดกระแนะกระแหนของเขานอกจากตักอาหารให้ป้ากรอง ได้ยินเขาเสียงแค่นเสียงในลำคออย่างที่ชอบทำเวลาจะเยาะเย้ยหรือไม่พอใจใครแต่ก็ไม่ได้สนใจ แล้วหลังจากนั้นก็มีแค่เสียงป้ากรองกับเขาที่คุยกัน
“แล้วคืนนี้จะนอนที่บ้านหรือกลับคอนโดล่ะตาขุน”
...กลับคอนโด กลับคอนโด กลับคอนโด กลับคอนโดเถอะนะสาธุ~
ได้ยินป้ากรองถามเขาด้วยคำถามนี้ฉันก็เริ่มท่องภาวนาในใจเลยล่ะค่ะ
“นอนที่...บ้านครับ”
“...” ฉันนิ่งไปเลยค่ะ พอเหลือบตามองก็เห็นเขากระตุกยิ้มใส่นิดหน่อยด้วยความสะใจ
นอนที่บ้านก็แสดงว่าพรุ่งนี้ฉันต้องติดรถเขาไปโรงเรียนอีกน่ะสิ!
“ก็ดีนะ นอนที่บ้านบ้างเดี๋ยวผีจะเข้าไปอยู่แทนคน”
“ป้าก็ให้หลานสาวป้ากลับไปอยู่บ้านสิครับจะได้ไม่มีผีไปอยู่”
“ไม่ค่ะ ช้องจะอยู่เป็นเพื่อนป้ากรอง” ฉันไม่รู้ว่าเสียมารยาทมากแค่ไหนเพราะเงียบมานานแต่พอเจอคำนี้เข้าไปฉันก็รีบพูดแทรกขึ้นมาทันที
“ทำไม กลับไปอยู่บ้านดีออกฉันไม่ค่อยกลับอยู่แล้ว เธออยู่ที่บ้านคนเดียวจะได้ทำอะไรได้อิสระมากกว่านี้ไง”
“คุณขุนพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ” กำลังจะเริ่มหาเรื่องฉันใช่ไหม หรือที่กำลังพูดอยู่นี่จะเป็นการเริ่มต้นเข้าเรื่องที่ทำให้มากินข้าวเย็นที่นี่กันแน่
“รู้อยู่แก่ใจ เลี้ยงไว้อยากให้ได้ดีก็รักดีบ้าง” เขาจ้องหน้าฉันแล้วก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเอือมระอา
...เลี้ยงไว้งั้นเหรอ?
“ช้องไม่รักดีตรงไหนคะ” ไม่ใช่ว่าไม่เคารพป้ากรองถึงได้กล้าเถียงเขาต่อหน้าท่าน แต่ฉันโดนเขาพูดจาไม่ดีใส่มาตั้งแต่เล็กจนโต ใคร ๆ ก็ชินกันหมด เป็นเด็กที่ได้รับการอุปการะก็จริงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะพูดไม่ดีใส่ยังไงก็ได้นะ
“หึ!”
“...” ฉันจ้องหน้าเขาที่กระตุกยิ้มมุมปากพร้อมกับแค่นเสียงใส่แล้วก็ยกชาขึ้นมาจิบ กวนประสาท!
“ยังไงล่ะค่ะ ช้องไม่รักดีตรงไหนคะคุณขุน”
“พอ ๆ สองคนนี้ชอบทะเลาะกันจริง ๆ เชียวป้าปวดหัว”
“ช้องก็อยู่ของช้องดี ๆ นี่คะป้ากรอง”
“ใช่ ช้องอยู่ของช้องดี ๆ แต่ช้องไม่รักดี ให้ไปเรียนพิเศษช้องก็แอบหนีเรียนไปเที่ยวกับเพื่อน ทำไมเธอไม่บอกป้ากรองให้มันหมด” เขาพูดจาเหมือนกะแนะกระแหนแต่สายตาแข็งกร้าวที่มองมาบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ฉันจะต่อล้อต่อเถียงได้อีกต่อไป
“...”
“ไง! เงียบ เถียงไม่ออก เถียงมาสิถ้าไม่เรื่องจริง”
“...ก็จริงค่ะ” ฉันเงียบไปนิดหน่อยก่อนจะยอมรับ
“ส่งให้เรียน ให้มีชีวิตดีกว่าคนอื่น ไม่เคยให้น้อยหน้าใคร ให้มากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ แต่ดูเธอทำตัวสิช้องนาง ต่อหน้าเถียงฉันคำไม่ตกฟาก ลับหลังทำตัวไม่ต่างจากเด็กใจแตก”
“คุณขุน ช้องแค่โดดเรียนไปกินขนมกับเพื่อนไม่ได้ไปทำอะไรเสียหาย ทำไมต้องว่าช้องแรง ๆ แบบนี้ด้วย” ฉันถามเขาแล้วน้ำตาก็เริ่มคลอออกมา
ใคร ๆ ก็บอกให้คุยกับเขาดี ๆ เพราะเขาคือพี่ชาย เขาคือผู้ปกครอง เขาคือครอบครัวของฉัน แต่ดูคนที่เป็นพี่ชาย เป็นผู้ปกครองเป็นครอบครัวของฉันดูถูกฉันสิ
“พวกเด็กที่มันจะเหลวแหลกมันก็เริ่มจากแค่เรื่องเล็ก ๆ กันทั้งนั้น หรือจะเถียง”
“ขุน คุยกับน้องดี ๆ ลูก”
“ก็เพราะป้ากรองถือหางแบบนี้ไงครับนับวันเด็กคนนี้ถึงได้นิสัยเสีย ทำตัวแบบนี้ใครจะอยากดูแล ถ้าไม่มีป้ากรองผมก็ไม่มาใกล้หรอก”
“...ช้องก็ไม่อยากอยู่กับคนใจร้ายอย่างคุณขุนหรอกค่ะ”
“ก็ดี! ถ้างั้นก็ตั้งใจเรียน ส่งให้เรียนก็ตั้งใจบ้าง หรือถ้าไม่ชอบเรียนก็ไปลาออก แต่ถ้าคิดได้ก็เรียนซะ เรียนให้มันจบ! เรียนจบเมื่อไหร่อยากไปไหนก็ไป ไม่อยากอยู่กับฉันก็ไปตามทางของเธอได้เลย”