ตามจริงแล้ว

1159 คำ
คิ้วกระบี่เลิกขึ้นแล้วปรายตามองอีกฝ่าย เรื่องนี้เขาได้ยินมาบ้างและแจ้งกับบิดาให้ช่วยยับยั้งไว้ก่อน หรือจะให้ดีก็ทำให้ฮ่องเต้เลิกคิดเรื่องไร้สาระพวกนี้เสีย “บ้านเมืองยังไม่สงบ อย่าได้เสียเวลากับเรื่องไร้สาระเช่นนี้” “ฟังเหตุของเจ้าแล้วดูดีนัก หรือเจ้ามีนางในดวงใจ อย่างไรให้ข้าช่วยออกหน้าให้ดีหรือไม่” ฝูหรงอดกระเซ้าสหายมิได้ นอกจากสวินเย่ว์ แล้ว เขาไม่ค่อยได้พูดจาเช่นนี้กับผู้ใด “ข้าไม่ได้มีเวลาว่างคิดเรื่องพรรค์นั้น” “หรือเจ้าชอบบุรุษ” คราวนี้เห็นเส้นเลือดที่ขมับของสวินเย่ว์เต้นตุบๆ ขึ้น ฝูหรงจึงยอมรามือ “สรุปว่าเจ้ามีเรื่องที่อยากทำแต่ยังออกไปไม่ได้สินะ” “ท่านเองก็คงไม่ต่างจากข้า” เขาปรายตามองชุดขันทีอีกครั้ง “ข้าแค่อยากหาเด็กคนนั้นให้พบ” ฝูหรงระบายลมหายใจเบาๆ “ผ่านมาห้าปีแล้ว ถ้ายังมีชีวิตอยู่คงเติบโตอายุสิบสี่สิบห้าแล้ว” สวินเย่ว์รู้เหตุผลที่องค์รัชทายาท ลอบออกจากตำหนักบูรพา มิใช่เที่ยวเล่น แต่เพื่อตามหาใครคนหนึ่ง ฝูหรงไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมาก บอกเล่าแค่ว่าเมื่อห้าปีก่อนมีเด็กหญิงคนหนึ่งช่วยเขาไว้ให้รอดพ้นการลอบสังหาร “หรือนางอาจตายไปนานแล้วก็เป็นได้” ฝูหรงพยักหน้ายอมรับ “ไม่พบศพนาง ข้าไม่อาจทำใจได้ว่านางตายแล้ว” “หรือเพราะเจ้ารู้สึกติดค้าง จึงไม่ยอมรับว่านางตายไปแล้ว” ฝูหรงหัวเราะเสียงปร่าเหมือนเย้ยหยันตนเอง หลายปีมานี่เขาพยายามตามหา ‘เด็กหญิง’ ที่ไม่รู้ชื่อคนหนึ่ง แววตาของนางประทับในหัวใจของเขา นางเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ยินดีสวมเสื้อคลุมปลอมตัวเป็นเขา เพื่อให้เขาได้หลบหนีจากการถูกลอบสังหาร นางควรหวาดกลัว แต่แววตาของนางยังเป็นประกายงดงาม รอยยิ้มไร้เดียงสา ราวกับไม่รู้ว่านี่เป็นการเดินไปสู่ความตาย เขารู้เพียงแค่ว่านางเป็นบุตรสาวคนเดียวขององครักษ์เสิ่น “เอาเถอะ อย่างไรข้าจะช่วยสืบข่าวให้อีกทาง” สวินเย่ว์เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเห็นฝูหรงตื่นจากภวังค์และหันมามองทางเขา ชายหนุ่มก็ยกมุมปากขึ้น แต่รอยยิ้มของสวินเย่ว์ทำให้ฝูหรงขมวดคิ้ว “ข้าจำเป็นต้องออกไปจากที่นี่” เขายิ้มเย็นแล้วขยับข้อมือซ้ายขวาสลับไปมา เหมือนชั่งใจว่าจะใช้มือข้างไหนดี “แล้ว?” “ตามจริงแล้ว ทุกคนใช้เหตุผลที่ว่า ข้าเพิ่งเสร็จศึกให้อยู่แต่ในจวนเพื่อพักผ่อน แต่ข้าอยากออกไปสืบข่าวบางเรื่อง” เขาเชื่อว่าเบื้องหลังอดีตแม่ทัพใหญ่ต้องมีคนหนุนอย่างแน่นอน อีกอย่างตอนที่ประมือกับอดีตท่านแม่ทัพ มีชายลึกลับมาช่วย ปกติแล้วชาวยุทธ์ไม่ยุ่งกับทางการ น้อยนักที่จะเห็นคนของพรรคใดมาก้าวก่ายในเรื่องราชสำนักอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะ คนผู้นั้นใช่ ‘ฝ่ามืออัคคี’ ฝ่ามืออัคคีร้ายกาจนัก มิมีผู้ใดรอดพ้นความตาย แต่เด็กหญิงคนนั้นรอด... สวินเย่ว์เผลอคิดถึงเด็กหญิงคนนั้น ร่างกายของนางชุ่มโชกไปด้วยโลหิตและกลิ่นเนื้อไหม้ ใครจะรู้ว่านางรอดพ้นจากความตาย หากเป็นผู้อื่นคงสติฟั่นเฟือน ใช้ชีวิตอย่างหวาดผวา แต่นาง...กลับส่งยิ้มและเรียกเขาว่า ‘ผู้มีพระคุณ’ “เจ้าเป็นถึงบุตรชายคนโต เป็นแม่ทัพ เจ้าจะออกไปไหนมาไหนก็ไม่เห็นจะ...โอ๊ย!” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ใบหน้าหล่อเหลาขององค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดขันทีก็ถูกหมัดของแม่ทัพหมาดๆ ซัดเข้าใส่เต็มเบ้าตา! ฝูหรงไม่ทันตั้งตัวและหลบไม่ทันจึงรับหมัดเข้าไปเต็มๆ ซ้ำยังหงายหลังร่วงลงจากต้นไม้ โชคดีที่ไม่สูงนัก สวินเย่ว์ได้ยินเสียงก่นด่าพลางฉีกยิ้ม แค่นี้เขาก็ออกจากจวนได้อย่างสบายใจ .. “เมื่อครู่ท่านลุงว่าอะไรนะเจ้าคะ” เด็กสาวอ้าปากค้าง นางนั่งฟังท่านลุงวัยหกสิบที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองบอกเล่าเรื่องแม่ทัพสวินเย่ว์ “ข้าฟังเขาเล่ากันมา แต่น่าจะเป็นเรื่องจริง ท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ชกหน้ารัชทายาท แต่ฮ่องเต้ทรงเมตตาไม่ลงโทษสถานหนักเพียงแค่ให้ท่านแม่ทัพไปประจำที่หน้าด่านแทน” “เหตุใดท่านแม่ทัพทำเช่นนั้นนะ” เสิ่นฉางซีโคลงศีรษะไปมา เพิ่งได้กลับเข้าจวนแท้ๆ เหตุใดถึงได้ทำร้ายองค์รัชทายาทจนต้องถูกขับออกมาอีกเล่า นางได้แต่งุนงงไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้เพราะยามนี้นางไม่ได้อยู่ในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม โดยปกตินายท่านใหญ่จะพูดอยู่เสมอเรื่องทำหูตาให้กว้างไกล ข่าวสารทั้งในรั้ววังหรือแม้แต่ในยุทธภพล้วนต้องนำมาประมวลคัดกรองก่อนจะเชื่อว่าจริงหรือเท็จ ด้วยเหตุนี้นางจึงรับรู้ข่าวคราวของสวินเย่ว์เป็นระยะๆ ผิดที่ครั้งนี้นางอยู่ที่เรือนสมุนไพรมิใช่ที่สำนักคุ้มภัย “ได้ยินว่าใช้ชีวิตนอกจวนมานาน อาจขาดการอบรมที่ดีก็เป็นได้” เสียงหญิงวัยเดียวกับชายวัยหกสิบเอ่ยพลางถือถุงเมล็ดถั่วแดงเดินเข้ามาหา เสิ่นฉางซีรีบลุกขึ้นไปรับทันที นางมาขอปันถั่วแดงนำไปทำอาหาร “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ นี่เงินเล็กน้อย” นางยื่นเงินให้เป็นการตอบแทนถั่วแดงที่ได้รับมา แต่อีกฝ่ายโบกมือห้ามไม่ยอมรับ “นายท่านรองดีกับพวกเรามาก ถั่วแดงเล็กน้อย เจ้าเอาไปเถิด” “ใช่ๆ ตอนที่ข้าปวดข้อ ปวดเข่า ก็ได้นายท่านรองจัดสมุนไพรให้ จะว่าไปคนในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำรามดีกับชาวบ้านแถบนี้เป็นอันมาก” “แต่นายท่านรองมิให้ข้ารับของโดยไม่จ่ายค่าตอบแทน” เสิ่นฉางซีขมวดคิ้ว “เช่นนั้นบอกว่าพวกเราฝากมาให้ก็ได้” หญิงวัยกลางคนเอ่ยยิ้มๆ แล้วพิศมองใบหน้าของเด็กสาว นางคุ้นชินกับเด็กคนนี้มานาน หากไม่มีรอยแผลเป็นที่หน้าผากและท่าเดินลากเท้าแล้วละก็... นางก็นับว่าเป็นเด็กสาวที่น่ารักคนหนึ่งทีเดียว เมื่อเห็นว่าทั้งสองยืนยันไม่รับเงินค่าเมล็ดถั่วแดง นางจึงได้แต่กล่าวขอบคุณซ้ำๆ หลายครั้ง แล้วอุ้มถุงผ้าใส่เมล็ดถั่วแดงกลับที่พัก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม