“ของป้าฮุ่ยซิวก็มีนะ” หลินเหยาซื่อหยิบหมวกทรงฟักทองส่งให้ “เอาไว้คราวหน้าจะเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ให้นะคะ”
“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ”
“ลำบากอะไรกันค่ะ” หญิงสาวหัวเราะร่า “เราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่น่า วันนี้ไปเที่ยวกันค่ะ”
ป้าฮุ่ยซิวยกไม้ยกมือปฏิเสธแต่ถูกเด็กแฝดชายหญิงวิ่งเข้าไปเกาะขาส่งสายตาอ้อนวอน เด็กสองคนแทบไม่ได้ออกไปไหน นานทีจะมีโอกาสได้ไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน หากคุณนายไปคนเดียวก็เกรงว่าจะดูแลเด็กสองคนไม่ไหว นางจึงตัดสินใจพยักหน้ารับ
“ป้าปิดบ้านสักประเดี๋ยวนะคะ”
“ค่ะ”
ที่โรงรถมีรถเก๋งอยู่หนึ่งคัน แต่ฝุ่นจับเขรอะไปหมด เรื่องขับรถ เธอขับเป็นอยู่แล้วเพราะตอนสถานสงเคราะห์ก็ได้หัดขับรถ เวลามีกิจกรรมเธอก็ขับรถตู้พาเด็กๆไปพิพิธภัณฑ์หรือไปสวนสัตว์ เท่าที่เธอพอจะรู้ ‘หลินเหยาซื่อ’ในปี1980 เรียนจบมัธยมปลายและไม่ได้เรียนต่อ ทั้งที่บ้านมีฐานะดี แต่เดาว่าเจ้าของร่างนี้สุขภาพไม่แข็งแรงนัก ป้าฮุ่ยซิวเองยังเคยพูดว่า แค่คลอดลูกแฝดได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าเธอยังมีบุญอยู่มากแล้ว คงเพราะแบบนี้ถึงรีบแต่งงานตั้งแต่อายุสิบแปด พ่อคงสบายใจที่ลูกสาวมีคนดีๆ ดูแล แต่ไม่คิดว่าหลังบิดาตายจากไปไม่กี่เดือน สามีของเธอก็หายสาบสูญไปอีกคน คนสวยชะตาอาภัยจริงๆ ที่เธอมีแรงใจอยู่มาได้ก็เพราะในท้องมีชีวิตน้อยๆอยู่
ตอนนี้เธอได้รับปันผลกำไรจากบ้านใหญ่เดือนละหนึ่งหมื่นหยวน ตอนนี้อาจจะพอใช้ แต่ถ้าเด็กๆ เข้าโรงเรียน ก็ต้องใช้เงินเพิ่มขึ้น แถมยังต้องคูณสองด้วย ทีแรกเธอก็คิดขายบ้าน แต่ป้าฮุ่ยซิวเล่าทั้งน้ำตาว่าบ้านหลังนี้เป็นมาอย่างไร จะว่าไปเธอก็เสียดายเหมือนกัน ยังไงเธอต้องมีหนทางหาเงินได้อยู่สิน่า
ป้าฮุ่ยซิวเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ และปิดบ้านเรียบร้อย มือเหี่ยวย่นยกขึ้นแตะทรงผมแก้เขิน เด็กๆหัวเราะชอบใจ หลินเหยาซื่อเดินไปเรียกรถแท็กซี่หน้าบ้าน เอาไว้เธอลองเช็กรถยนต์ที่บ้านก่อนแล้วจะลองเอาออกมาขับดู ทั้งหมดเดินทางด้วยรถแท็กซี่ใช้เวลาราวๆ สี่สิบนาทีก็ถึงที่หมาย
“ยังจำที่เราตกลงกันได้ใช่ไหมจ๊ะ” หลินเหยาซื่อพูดกับเด็กฝาแฝดที่ทำหน้าตาตื่นเต้น ทั้งสองพยักหน้าหงึกหงัก เธอลอบถอนหายใจแต่ก็ฝืนยิ้มออกมา “เมื่อคืนแม่สอนให้พูดว่าอะไรนะ”
เด็กสองคนเม้มปากแล้วมองหน้ากันก่อนค่อยพูดออกมา
“ต้องจับมือแม่กับป้าฮุ่ยซิวไว้ตลอดเวลา” จางหย่งพูดขึ้นก่อน
“ห้ามไปกับคนแปลกหน้า” จางลี่พูดขึ้นบ้าง
“ถ้าผลัดหลงกันให้อยู่กับที่ แม่จะมาหาเอง” เธอยิ้มแล้วหันไปหยิบของในกระเป๋าสะพายออกมา เป็นบัตรป้ายชื่อที่เมื่อคืนทำไว้แล้วคล้องคอให้เด็กทั้งสอง “ป้ายชื่อมีชื่อของลูกกับที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์รวมทั้งชื่อของแม่ “
“เข้าใจแล้วค่ะ/ครับ”
เด็กๆ อายุสามขวบแล้ว แต่ยังพูดไม่ค่อยเป็นประโยคเท่าไหร่ เธอกลัวเรื่องพัฒนาการช้าจึงพยายามหาทางให้พวกเขาพูดเป็นประโยคมากขึ้น แต่ก่อนชอบเอาแต่พยักหน้ากับส่ายหน้า ตอนนี้เริ่มพูดเป็นประโยคแล้ว ทั้งหมดเดินไปซื้อตั๋วเข้าสวนสนุก เห็นเครื่องเล่นแล้วก็นึกอยากเป็นเด็กเสียเอง ตัวเองในวัยเด็กก็ไม่เคยได้ไปสวนสนุกบ่อยนัก แทบจำไม่ได้ว่าเคยไปหรือไม่ ที่นี่เป็นสวนสนุกขนาดเล็ก แต่ในวันหยุดกลับมีผู้คนมาค่อนข้างหนาตา หลินเหยาซื่อซื้อไอศกรีมจางหย่งและจางลี่คนล่ะแท่งแล้วพาไปนั่งม้าหมุ่น ป้าฮุ่ยซิวประกบจางลี่ที่ขี่ม้ายูนิคอร์สสีรุ้ง ส่วนหลินเหยาซื่อยืนข้างม้าหมุ่นสีขาวที่จางหย่งนั่ง ป้าฮุ่ยซิวซวนเซเล็กน้อยแต่ประคองตัวได้ ในขณะที่หลินเหยาซื่อทรงตัวได้ดี เธอหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายรูปลูกทั้งสองคน หลังจากครบรอบแล้ว ทั้งหมดก็หาเป้าหมายต่อไป เสียงหวีดร้องผสานเสียงหัวเราะดึงดูดสายตาของเด็ก พวกเขาแหงนหน้ามอง ‘เรือเหาะ’ ที่เหวี่ยงไปมา
“เล่นอันนี้ไม่ได้ เอาไว้ลูกๆ โตกว่านี้ค่อยมาเล่น เราไปนั่งรถรางกันเถอะ”
หลินเหยาซื่อจูงมือเด็กๆให้เดินไปที่รถรางที่มีหน้าเหมือนรถไฟ จากแผนที่ในสวนสนุกสามารถนั่งรถรางไปชมบริเวณจุดแสดงสัตว์เลี้ยงหายาก ใบหน้าน้อยๆ มีรอยยิ้ม แก้มสองข้างแดงปลั่ง เหงื่อซึมออกมาบ้าง ป้าฮุ่ยซิวรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้คุณหนูคุณชาย
“ฉันนี่แย่จริงๆ เป็นแม่ยังไงลืมเช็ดเหงื่อให้ลูก” หลินเหยาซื่อตำหนิตัวเองไม่จริงจังนักแต่ป้าฮุ่ยซิวส่ายหน้ารัวๆ
“คุณยายอย่าตำหนิตัวเองแบบนั้นสิคะ คุณนายเป็นแม่ที่ดีสำหรับคุณหนูคุณชายแล้วค่ะ”
หลินเหยาซื่อไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ ระหว่างเธอเธอถ่ายรูปเด็กทั้งสองเยอะมากจนเกือบลืมไปว่าตัวเองใช้กล้องฟิลม์อยู่ ซึ่งต้องนำฟิลม์ไปล้างอีก นั้นหมายถึงเธอต้องใช้เงินอีกแล้ว รถรางพามาถึงบริเวณแสดงสัตว์เลี้ยง กวางตัวน้อยเดินไปมาน่ารักน่าเอ็นดู ลิงตัวใหญ่ใส่เสื้อผ้าราวกับเด็กสิบขวบยืนรอถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว หลินเหยาซื่อจูงมือเด็กทั้งสองแล้วคอยอธิบายสัตว์แต่ละชนิดอย่างใจเย็น
“กวาง”
“กระต่าย
“แพะ”
“เต่า”
จางหย่งจางลี่พูดตามที่มารดาสอน
“หย่งหย่ง ลี่ลี่เก่งที่สุด” หลินเหยาซื่อเอ่ยชมลูกทั้งสอง “หิวกันหรือยัง วันนี้ไปกินเบอร์เกอร์กัน”
“เบอร์เกอร์!”
เด็กๆ อาจไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่พวกเขารู้ว่า เขาชอบที่แม่เป็นแบบนี้มากกว่าแม่ที่เอาแต่ทำหน้าเศร้าตลอดเวลา บางครั้งก็ได้ยินเสียงร้องไห้ จางหย่งจางลี่จับมือมารดากันคนละข้าง ภายในใจนั้นได้แต่บอกว่า พวกเขาจะไม่มีวันปล่อยให้แม่ที่ร่าเริงเช่นนี้หายไปอีกแล้ว .
.........
“เหยาซื่อตัดเสื้อผ้าใส่เองได้ด้วยเหรอ เก่งจริงๆ”
“เหยซื่อทำได้ทุกอย่างนั้นแหละ เหมือนเป็ดไง”
“ตายแล้ว! ไปว่าเหยาซื่อแบบนั้นได้ยังไง”
“ก็จริงนี่ เป็ดว่ายน้ำได้แต่ว่ายไม่สวย มีปีกบินได้แต่บินต่ำๆ เป็ดทำได้หลายอย่างแต่ทำได้ดีสักอย่างไม่ได้”
แม้มีเสียงห้ามปรามแต่กลับหัวเราะระรื่น ไม่ได้สนใจว่าคนที่ใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาจะเจ็บกับคำพูดหยอกล้อเป็นเช่นกัน
หลินเหยาซื่อไม่คิดว่าตนเองข้ามยุคมาในปี1980แล้ว แต่เสียงของคนเหล่านั้นยังตามมาในความฝันของเธออีก เป็นเด็กกำพร้าที่เพียรพยายามทำทุกสิ่งเพื่อให้ถูกเลือกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหม่ เมื่อไม่มีคนเลือก แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้แม้เรียนไม่ได้อันดับหนึ่งแต่ก็ไม่ตกไปกว่าห้า ส่งประกวดงานต่างๆ แม้ไม่ได้รางวัลที่หนึ่งก็ยังได้ชมเชย อยากเป็นดาราแต่ก็เป็นได้แค่ตัวประกอบ แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่คนอื่นตัดสิน แต่สำหรับหลินเหยาซื่อแล้ว เธอคิดว่ามันคือการใช้ชีวิต ก็เธอมีแค่ตัวคนเดียว อยากทำอะไรก็แค่ลองทำ ลองดูสักตั้ง ไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเคยพยายามอย่างสุดความสามารถ