ตอนที่ 3 เรื่องฉาวโฉ่

2364 คำ
‘ผิดผี’ การผิดผีในคอมมูนอี้เส่ยที่ 16 แห่งนี้ก็คือการที่คนที่มิใช่สามีภรรยากันนั้นได้กระทำการร่วมประเวณีกัน หากเป็นชายหนุ่มหญิงสาวที่ต่างคนต่างยังไม่ทันได้แต่งงานก็จะถูกจับแต่งงานกันอย่างเร็วที่สุดเพื่อที่ว่าผีปู่ย่าตายายที่คอยปกปักรักษาคอมมูนแห่งนี้จะได้ไม่โกรธขึ้ง แต่หากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายนั้นมีคู่อยู่แล้ว เรื่องนั้นก็ว่ากันไปตามความสะดวก ให้ครอบครัวตัดสิน โดยมากมักจะลงเอยด้วยการแยกทางกัน แต่สำหรับกรณีของหยางฟางหรงและสืออู๋เฉินนั้นเห็นทีว่าต้องลงเอยด้วยการแต่งงานเป็นแน่แท้ ‘แต่งงานงั้นหรือ?’ สืออู๋เฉินพึมพำเบาๆ กับตนเอง หลังจากที่ไปส่งหญิงสาวที่บ้านของเธอแล้วชายหนุ่มก็กลับมานั่งคิดทบทวนหลายสิ่งหลายอย่าง ชีวิตของเขานั้นหากจะเรียกว่าอาภัพเหมือนเด็กกำพร้าก็คงไม่ต่าง เพราะตอนที่เขาเกิดมานั้นแม่ก็ตกเลือดและตายไปในวันที่เขาลืมตาขึ้นมาดูโลกนั่นแหละ หลังจากนั้นเขาต้องแบกรับคำว่า ‘ตัวอัปมงคล’ เกิดมาแล้วทำให้มารดาบังเกิดเกล้าต้องตายจากไป พ่อของเขาพูดเสมอว่าเขาคือ ‘ตัวซวย’ จึงเกลียดชังลูกในไส้อย่างเขามาเสียตั้งแต่วันนั้น สือหนิงหลงที่เสียอกเสียใจที่ต้องเสียภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากไปพอๆ กับการเกลียดชังลูกในไส้จึงไม่ยอมเลี้ยงดูสืออู๋เฉิน เดือดร้อนถึงผู้เป็นปู่ต้องมารับเขาไปเลี้ยงดูด้วยความสงสาร บ้านที่ปู่ของชายหนุ่มอยู่นั้นเป็นบ้านของลุงใหญ่พี่ชายคนโตของพ่อนั่นเอง ครอบครัวของลุงใหญ่อยู่กันหลายคน แต่ละคนล้วนเป็นคนใจคอคับแคบทั้งนั้น โดยเฉพาะป้าสะใภ้ใหญ่ สืออู๋เฉินต้องทนทุกข์กับชีวิตที่ขมขื่น โดนทั้งการกลั่นแกล้ง รังแก เอารัดเอาเปรียบต่างๆ นานา จวบจนเมื่อเวลาที่ปู่เสียชีวิตผู้เป็นพ่อแท้ๆ อย่างสือหนิงหลงก็เรียกตัวเขากลับมาอยู่ที่บ้าน บ้าน…ที่มีแม่เลี้ยง ลูกติดของแม่เลี้ยงที่อายุมากกว่าเขา 2 ปีชื่อเผิงเจียวหวง และน้องชายซึ่งเกิดจากพ่อและแม่เลี้ยงชื่อสือลี่เฉี่ยว “กลับมาก็ดีแล้ว มาช่วยกันทำงานเก็บแต้ม ตอนนี้บ้านเราต้องการคนเก็บแต้มมากขึ้น เพราะพี่ชายน้องชายของแกเขาต้องไปเรียน เขาสองคนหัวดี เราต้องส่งเสียพวกเขาเรียน ต่อไปจะได้ทำงานชามข้าวเหล็ก มีเงินเดือน มีหน้ามีตาในสังคม บ้านเราก็จะพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย แกเองก็ด้วย” นี่คือคำกล่าวของผู้เป็นพ่อที่ไม่เคยเลี้ยงดูลูกในไส้อย่างสืออู๋เฉินเลยมา 13 ปี พอเห็นว่าเขาเริ่มจะทำงานภาคสนามได้เก่งเหมือนพวกผู้ใหญ่แล้วก็รีบดึงตัวกลับมาช่วยเก็บแต้มเข้าบ้านของตนเองเพราะลูกติดภรรยาและลูกชายคนเล็กต้องเข้าโรงเรียน ไม่สามารถไปช่วยเก็บแต้มได้ ช่างเป็น…พ่อที่เห็นแก่ตัวยิ่ง บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่สืออู๋เฉินเกิดและอยู่ได้ไม่ทันข้ามวันก็ถูกส่งให้ผู้เป็นปู่เอาไปเลี้ยงเสียแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันใดๆ กับบ้านหลังนี้ จะว่าไปบ้านหลังนี้ก็คล้ายๆ กับบ้านของชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ตัวบ้านนั้นทำจากไม้และไม้ไผ่ หลังคานั้นมุงจาก ในบ้านมีห้องนอนเล็กๆ 3 ห้อง เป็นห้องนอนของพ่อและแม่เลี้ยงนามว่าไป๋ฮุ่ยเหมย อีกสองห้องเป็นห้องนอนของเผิงเจียวหวง และสือลี่เฉี่ยว ฉะนั้นแล้วจึงไม่มีที่ให้สืออู๋เฉินนอน “แกไปเอาไม้ไผ่มาทำเป็นเพิงหมาแหงนนอนไปก่อนก็แล้วกัน มีเหลืออยู่ 2-3 ลำ ตับจากก็อยู่หลังบ้าน เอามามุงหลังคาไปพลางๆ ก่อน พี่ชายกับน้องชายแกเขาต้องอ่านหนังสือ ทบทวนตำราเรียน ต้องมีห้องส่วนตัว ไม่ชอบให้ใครไปรบกวน แกจะไปเบียดนอนกับเขาไม่ได้หรอก” นี่คืออีกหนึ่งความเมตตาของพ่อบังเกิดเกล้า เพิงหมาแหงนหลังบ้านคือห้องนอนส่วนตัวของสืออู๋เฉินที่เวลาหน้าร้อนก็มักจะมียุงมาเยี่ยมเยียนจำนวนมาก เวลาหน้าหนาวลมหนาวที่พัดกรูเกรียวเข้ามาชวนให้หนาวสั่นสะท้านเพราะไม่มีผนังกั้นกันแดดกันลม เพราะไม้ไผ่ที่บ้านนั้นหมดแล้วภายหลังสืออู๋เฉินจึงตัดสินใจไปขอไม้ไผ่จากบ้านของลุงใหญ่ซึ่งปู่เป็นคนปลูกเอาไว้ แต่กว่าที่คนบ้านนั้นจะยอมยกให้ก็ด่าเขาเสียยกใหญ่ว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก พอโตขึ้นมาก็กลับไปอยู่กับพ่อ ไปทำงานภาคสนามเก็บแต้มให้บ้านหลังนั้น ระยะหลังๆ มานี้มาตรการต่างๆ ที่เคร่งครัดเริ่มผ่อนคลายลงไปบ้าง เวลานี้ทางการหันกลับมาเน้นเรื่องการศึกษา เพราะประเทศชาติจะพัฒนาได้ประชาการในชาติต้องมีการศึกษา มีการเปิดโรงเรียนประถมขึ้นในหลายๆ แห่งในเมืองแต่ละเมือง เด็กๆ อายุเริ่มตั้งแต่ 7 ขวบถูกส่งเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 แต่ทางการกลัวว่าจะไม่ทันการ เพราะกว่าที่เด็กประถม 1 จะเรียนจบประถม 6 กว่าจะต่อระดับชั้นมัธยมและสอบเกาเข่าเข้ามหาวิทยาลัยก็กินเวลาไปอีกหลายปี ฉะนั้นพวกเขาจึงมาเร่งรัดเอากับคนหนุ่มสาวที่สนใจด้านการเรียน โดยให้บางโรงเรียนเปิดสอนหนังสือให้คนหนุ่มสาวเป็นกรณีพิเศษ อย่างน้อยให้อ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น พอเรียนจบหลักสูตร 1 ปีแล้วก็สามารถไปสมัครงานได้เลย แต่หนุ่มสาวน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้เรียนเพราะพวกเขาต้องช่วยครอบครัวลงทำงานภาคสนามเพื่อเก็บแต้ม แต่อย่างน้อยที่สุดหนุ่มสาวในคอมมูนอี้เส่ยที่ 16 ก็มีคนที่ได้รับโอกาสทางการเรียนเพราะครอบครัวสนับสนุนอยู่แล้ว อันได้แก่ สือหงเซ่อ ลูกชายของลุงใหญ่ ซึ่งต่อมาก็ได้ไปสอบเป็นนายทหารชั้นผู้น้อย ได้เงินเดือนเดือนละ 45 หยวน สร้างความดีอกดีใจและภาคภูมิใจให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก ว่ากันว่านางซุ่ยหนิงอันป้าสะใภ้จอมงกของสืออู๋เฉินนั้นเที่ยวไปคุยโวโอ้อวดว่าลูกชายของตนนั้นได้ทำงานชามข้าวเหล็ก มีหน้ามีตา ได้เงินเดือนเยอะกว่าใครๆ ในคอมมูน ชายหนุ่มอีกคนที่ได้รับโอกาสดีๆ จากการศึกษาก็เห็นจะเป็นเผิงเจียวหวง รายนั้นพ่อเลี้ยงของเขาสนับสนุนเต็มที่ ถึงขนาดดึงตัวลูกชายบังเกิดเกล้าให้กลับมาอยู่ที่บ้านเพื่อที่ว่าแต้มของบ้านจะได้ไม่ลดน้อยลงไป เพราะลูกชายคนโตของบ้านซึ่งเป็นลูกเลี้ยงนั้นต้องไปเรียนและทำงาน ซึ่งเผิงเจียวหวงก็ได้งานชามข้าวเหล็ก ทำงานในโรงพยาบาล ได้เงินเดือน 30 หยวน ซึ่งนั่นสร้างความมีหน้ามีตาให้แก่สือหนิงหลงเป็นอย่างมาก เพราะลูกเลี้ยงของเขานั้นทั้งเก่งและฉลาด ส่วนหญิงสาวที่ได้มีโอกาสได้ร่ำเรียนจนได้ทำงานก็หนีไม่พ้นเตียวลู่เฟิน ซึ่งได้งานเสมียนในคอมมูนอี้เส่ยที่ 16 นี่เอง ได้เงินเดือน เดือนละ 25 หยวน สร้างความดีอกดีใจและความมีหน้ามีตาให้แก่พ่อเลี้ยงของเธออย่างหยางลู่เมิ่งเป็นอย่างมาก ส่วนลูกสาวคนเล็กอย่างหยางลู่เอินนั้นยังไม่ได้งาน เพราะเธอรอตำแหน่งงานว่างในเมืองอยู่ แม้กระนั้นช่วงเวลาว่างๆ ระหว่างรองานหญิงสาวก็ไม่ยอมลงภาคสนาม อ้างว่าจะอ่านหนังสือสอบ เผื่อได้สอบเกาเข่า ซึ่งผู้เป็นพ่อก็เห็นดีด้วย งานบ้านทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ทำความสะอาด หาบน้ำ ตำข้าว ทำอาหาร ล้างถ้วยชาม ซักผ้าของทุกคนในบ้าน (รวมชุดชั้นใน) จึงตกไปเป็นหน้าที่ของหยางฟางหรง ลูกสาวในไส้ที่หัวอ่อนและโง่งมของหยางลู่เมิ่ง นอกจากนั้นหยางฟางหรงก็ยังต้องไปทำงานภาคสนามเพื่อเก็บแต้มให้ครอบครัวอีกด้วย เพราะฉะนั้นเวลาที่ทุกคนเลิกงานจากภาคสนามแล้ว คนอื่นๆ ในครอบครัวได้พักผ่อน แต่ตัวหยางฟางหรงยังคงต้องทำงานต่อ เธอต้องไปหาบน้ำ ซักผ้าให้กับคนในบ้าน และทำกับข้าว เมื่อทุกคนกินเสร็จก็ต้องเก็บกวาดและล้างถ้วยชามให้ หญิงสาวเหนื่อยสายตัวแทบขาด จนบางครั้งรู้สึกราวกับว่าจะหยุดหายใจเอาดื้อๆ แต่คนในบ้านไม่มีใครสนใจและเห็นใจเธอเลย ทุกคนต่างมองว่าเธอคือคนรับใช้ดีๆ นี่เอง ค่านิยมของผู้คนในคอมมูนอี้เส่ยที่ 16 แห่งนี้จึงยกย่องเชิดชูคนที่ได้งาน ‘ชามข้าวเหล็ก’ เพราะถือว่าเป็นงานที่มีเกียรติ มีความมั่นคง มีเงินเดือน ลูกสาวลูกชายบ้านไหนที่ได้ทำงานชามข้าวเหล็กจึงเรียกได้ว่า ‘หัวกระไดบ้านไม่เคยแห้ง’ “ผิดผี ผิดผี ฟางหรงกับอู๋เฉินทำผิดผีแน่คราวนี้” ฉุนเยว่เผิง มนุษย์ป้าร่างท้วมยังคงวิ่งไปร้องป่าวประกาศไปจนกระทั่งถึงแปลงนารวม เรื่องสนุกกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ในยุคสมัยที่ไม่มีความบันเทิงใดอื่น เช่น งิ้ว คอนเสิร์ต การแสดงกายกรรม และอื่นๆ สิ่งเดียวที่จะเป็นความบันเทิงเริงรมย์ให้กับผู้คนในคอมมูนได้ก็คือ ‘เรื่องสนุก’ อันประกอบด้วย การติฉินนินทา เรื่องคาวๆ ฉาวโฉ่ เรื่องผิดผี “ว่าอย่างไรนะ แล้วตอนนี้นังตัวดีนั่นมันอยู่ที่ไหน?” หยางลู่เมิ่งที่กำลังกำเคียวเกี่ยวข้าวอยู่ง้างเคียวขึ้นด้วยสีหน้าถมึงทึง ดวงตาวาวโรจน์ นังลูกสาวตัวดีนั่นนอกจากจะขี้เกียจแล้วยังเป็นหญิงแพศยา วิ่งร่านไปนอนกับผู้ชายในเวลาที่คนอื่นเขากำลังลงแปลงนารวมเก็บแต้มกันแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน วันนี้เห็นทีเขาต้องเอาเลือดหัวมันออกแล้ว “อะ เอ่อ น่าจะกลับไปนอนต่อที่บ้านแล้วมั้ง?” นางฉุนเยว่เผิงลอบสบตากับหลัวอิ๋นฟาง ใครๆ ในคอมมูนต่างก็พากันรู้ดีว่าหยางฟางหรงนั้นขี้เกียจเพียงใด เธอจะช่วยใส่ไข่นิดๆ หน่อยๆ ให้เรื่องราวมันสนุกขึ้นก็แล้วกัน คอมมูนแห่งนี้จะได้มีสีสันขึ้น “พี่ลู่เมิ่ง เห็นทีวันนี้พี่ต้องเอาเลือดหัวมันออกแล้ว มีอย่างที่ไหน ใช้ให้ไปซักผ้าให้พี่น้องนิดๆ หน่อยๆ กลับไปทำเรื่องเหม็นโฉ่ บัดสีบัดเถลิง นี่ต่อไปลูกสาวเราอีก 2 คนจะทำอย่างไร ชื่อเสียงเสื่อมเสียของหญิงสาวบ้านหยางมิพลอยทำให้ลูกสาวที่แสนดีและเพียบพร้อมทั้งสองคนของเราต้องมัวหมองจนหนุ่มๆ ที่มีฐานะดีไม่ชายตามองหรอกหรือ เฮ้อ! ว่าแล้วก็สงสารลู่เฟินและลู่เอินจริงจริ๊ง” หลัวอิ๋นฟางยุแยงเพิ่มเข้าไปอีก หยางลู่เมิ่งหน้าเครียดเข้าไปใหญ่ เขาอยากจะจับนังแพศยานั่นมาบีบคอให้มันตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก่อนที่เขาจะไปเอาเลือดหัวมันออก ต้องลากคู่กรณีออกมารับผิดชอบเรื่องฉาวโฉ่นี้ด้วยกัน “สือหนิงหลง ลูกชายแกมาทำผิดผีกับนังลูกสาวฉันแบบนี้จะว่ายังไง?” หยางลู่เมิ่งยืนเท้าสะเอวพลางใช้เคียวชี้ไปที่พ่อของตัวต้นเรื่อง สือหนิงหลงที่กำลังก้มๆ เงยๆ เกี่ยวข้าวลุกยืนตรงพลางเท้าสะเอวบ้าง “เรื่องแบบนี้ตบมือข้างเดียวดังซะที่ไหน ก็ในเมื่อเด็กมันได้เสียกันแล้ว ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว แล้วแกจะให้ฉันทำยังไงล่ะหยางลู่เมิ่ง เฮ้อ! เจ้าอู๋เฉินเอ๊ย หน้าตาดีหล่อเหลาเสียเปล่า คิดว่าจะหาผู้หญิงดีๆ ฐานะร่ำรวยได้ มีอย่างที่ไหนมาตกหลุมพรางลูกสาวจอมขี้เกียจของบ้านหยาง อย่าว่าแต่แกเลย หยางลู่เมิ่ง ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเหมือนกัน ได้สะใภ้ทั้งทีกลับได้ผู้หญิงขี้เกียจมาซะงั้น” สือหนิงหลงพูดอย่างไม่ยี่หระ กับลูกชายคนนี้เขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักหรอก อย่างไรสืออู๋เฉินมันก็แค่ตัวอัปมงคล หยางลู่เมิ่งเดือดดาล พูดมาแบบนี้มันหยามกันเกินไปแล้ว “ฮื่ย! จะอย่างไรก็ตาม ทางบ้านสือต้องรีบจัดสินสอดมาสู่ขอลูกสาวฉัน หัวหน้าซวน อย่างไรเรื่องนี้ฉันก็ไม่ยอมให้จบง่ายๆ หรอก” หยางลู่เมิ่งท่าทางเอาเรื่อง ลำบากซวนเฟยหย่าหรือที่ทุกคนเรียกว่าหัวหน้าซวนซึ่งเป็นหัวหน้าคอมมูนแห่งนี้ต้องจัดการไกล่เกลี่ยอีกแล้ว “เฮ้อ! ถ้าอย่างนั้นหลังเลิกจากแปลงนาพวกเราไปพูดคุยตกลงกันที่บ้านของฉันก็แล้วกัน ไปๆ ไปทำงานกันต่อได้แล้ว หลังเก็บเกี่ยวเสร็จจะได้แบ่งสันปันส่วนข้าวของปีนี้ ส่วนเธอ ฉุนเยว่เผิง ถ้าว่างมากก็มาลงแปลงนามา ตอนนี้เรากำลังเร่งเก็บเกี่ยว แรงงานหายไปเยอะเลย” ซวนเฟยหย่าพูดพลางถอนหายใจ เห็นทีว่าวันนี้คงมีคนขาดงานอีกหลายคน ทั้งหยางฟางหรงที่ขอลางานเจ้าประจำ ส่วนสืออู๋เฉินนั้นก็คงจะไม่กล้าโผล่หน้ามาที่แปลงนาเช่นกันเพราะเรื่องมันฉาวโฉ่ซะขนาดนี้ ไหนจะพวกคนหนุ่มสาวที่เข้าไปหาสมัครงานในเมืองอีก ตอนนี้คอมมูนของพวกเขากำลังต้องการกำลังคนเป็นอย่างมาก พวกยุวปัญญาชนระยะหลังๆ มานี้ทางการก็ไม่ส่งมาแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม