ตอนที่ 7 ใครกันแน่คือตัวอัปมงคล

2351 คำ
“แต่ว่า เรื่องนี้จะปล่อยผ่านไปเลยก็เห็นจะไม่ได้นา หัวหน้าซวน เพราะทั้งสืออู๋เฉินกับหยางฟางหรงนั้นได้มีการใกล้ชิดและแตะเนื้อต้องตัวกันไปแล้ว ฉันเกรงว่าผีปู่ย่าตายายจะไม่พอใจ” ผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างหนักใจ หลังจากที่นางมนุษย์ป้าเผ่นหนีกลับบ้านไปแล้ว ก็ถึงคราวของสือหนิงหลงบ้าง “หึ! แกจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้อยู่หรือเปล่าล่ะ อู๋เฉิน? ” สือหนิงหลงนั้นใครๆ ดูก็รู้ว่าไม่ค่อยจะถูกใจหยางฟางหรงเท่าไหร่นัก หญิงสาวเองก็รู้ ดูจากสายตาเดียดฉันท์ที่เขามองเธอสิ ‘หึ! ผู้หญิงที่มีแต่ตัวกลายเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างนี้ ยังไงก็เป็นขยะไร้ค่าวันยันค่ำ แถมยังขี้เกียจอีกต่างหาก แต่งเข้ามารังแต่จะเป็นภาระให้บ้านสือเสียเปล่าๆ ไม่สู้ตัดไฟเสียแต่ต้นลมจะดีกว่า” สืออู๋เฉินยืดอกพลางหันไปทางหยางฟางหรง “แต่งครับ หากว่าหยางฟางหรงตอบรับและยินดีที่จะแต่งงานกับผม เธอจะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมจะแต่งงานด้วย” คำตอบของลูกชายที่เป็นตัวอัปมงคลเล่นเอาสือหนิงหลงถึงกับปากสั่นคอสั่น ส่วนทางด้านผู้หญิงที่เขาบอกว่าเธอคือผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขาจะแต่งงานด้วยนั้นเป็นต้องน้ำตารื้น …ไม่ว่าตอนไหนหรือว่าเมื่อไหร่ผู้ชายคนนี้ก็คือคนดีที่หนึ่งของเธอเสมอ แล้วจะไม่ให้เธอหลงรักอย่างไรไหว “แก แกไอ้ตัวอัปมงคล ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแกก็ยังเป็นตัวอัปมงคลวันยันค่ำ แล้วนี่ยังคิดจะแต่งนังผู้หญิงสิ้นไร้ไม้ตอกที่มีแต่ตัวคนนี้เข้าบ้านอีกหรือ ถ้าแกยืนยันว่าจะแต่งกับมัน ฉันขอยื่นคำขาด แกกับฉันขาดกัน ต่อไปไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่อ ตัดพ่อตัดลูกกันเสียตั้งแต่วันนี้ ส่วนแก…” สือหนิงหลงมองปราดไปที่หยางฟางหรง ดวงตาวาวโรจน์ ตอนนี้มือไม้ของเขาเริ่มสั่น ส่วนหยางฟางหรงเมื่อพ่อของว่าที่สามีมองมา เธอก็ยิ้มให้พร้อมๆ กับทำหน้าระรื่น “แก นังผู้หญิงขี้เกียจ ปากคอก็เราะร้าย ฉันไม่มีวันยอมรับแกเป็นสะใภ้แน่นอน ฮื่ย!” สือหนิงหลงพูดจบก็เตรียมตัวจะลุกหนีกลับบ้านไป วันนี้นับว่าโชคดีที่ไม่ต้องเสียเงินค่าสินสอดให้บ้านหยางสักหยวน และได้ตัดไฟเสียแต่ต้นลมไม่ให้บ้านสือของเขามีตัวอัปมงคลถึง 2 ตัว “ช้าก่อน ตาเฒ่าสือ” หยางฟางหรงเรียกเขาเอาไว้ สือหนิงหลงตวัดสายตาอันกราดเกรี้ยวมองจ้องหญิงสาวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “มีอะไรอีกล่ะ นังผู้หญิงขี้เกียจ ฉันยังไม่ทันได้แก่ถึงขนาดเป็นตาเฒ่าเสียหน่อย อายุฉันก็พอๆ กับพ่อของแกนั่นแหละ” หยางฟางหรงหัวเราะร่วน ใบหน้ามิได้แสดงความกริ่งเกรงใดๆ “ฉันต้องขอบคุณคุณสือมากนะคะที่ไม่ยอมรับฉันเป็นสะใภ้ ฉันดีใจและมีความสุขมากๆ ค่ะ” “นี่แก” สือหนิงหลงชะงัก จำได้ว่าก่อนหน้านี้หญิงสาวก็ทำให้บ้านหยางขายขี้หน้าไปมากมายเพียงใด “คุณสือ คุณนี่นะ ฉันไม่รู้จะใช้คำไหนมาบรรยายคุณดี ตอนที่สืออู๋เฉินคลอดแล้วแม่ของเขาตายเพราะตกเลือด คุณก็เอาแต่โทษลูกชายว่าเขาเป็นตัวอัปมงคล ทำไมคุณไม่คิดพิจารณาว่าการตกเลือดในสตรีที่คลอดบุตรนั้นมันเกิดขึ้นได้ทั่วๆ ไป และอีกอย่าง เมื่อเห็นว่าภรรยาตกเลือดแทนที่คุณจะวิ่งหาหมอหาคนมาช่วย คุณกลับไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้ภรรยาตายไปต่อหน้าต่อตาแล้วก็มาก่นด่าเด็กทารกตัวเล็กๆ ที่ไม่สามารถไปวิ่งหาหมอหาคนมาช่วยแม่ของเขาได้ว่าเป็นตัวอัปมงคล อืม…ตอนนี้ฉันเองก็ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วสิว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวอัปมงคล” หยางฟางหรงพูดเสียงเรียบเรื่อย รอยยิ้มประดับเต็มใบหน้า เล่นเอาสือหนิงหลงถึงกับเต้นผาง “แก แก นังผู้หญิงขี้เกียจ แกว่าฉันเป็นตัวอัปมงคลเหรอ?” หยางฟางหรงหัวเราะร่วน “ฉันยังไม่ทันได้ว่า คุณสือนั่นต่างหากล่ะ ที่เป็นคนว่าเอง” เพียงเท่านี้เสียงของชาวบ้านก็ดังเซ็งแซ่ขึ้น “เออ อันที่จริงที่ฟางหรงพูดมามันก็ถูกนะ ความจริงตัวอัปมงคลไม่น่าจะใช่สืออู๋เฉินนะ แต่เป็นตัวสือหนิงหลงเองต่างหาก” “ความจริงที่ฟางหรงพูดมาก็น่าคิดนะ เด็กทารกจะไปตามหมอตามคนมาช่วยแม่ที่ตกเลือดได้อย่างไร แล้วตอนนั้นสือหนิงหลงมัวทำอะไรอยู่ล่ะ ทำไมปล่อยให้ภรรยาตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างหน้าตาเฉย” “นั่นน่ะสิ โหดร้าย ใจดำอำมหิต” “หรือว่า จริงๆ แล้วลุงสือก็อยากให้แม่ของอู๋เฉินตายอยู่แล้วล่ะ” “แล้วจะได้มีเมียใหม่งั้นเหรอ เฮ้อ!” “ฉันว่า สืออู๋เฉินน่าสงสารนะ” “นั่นน่ะสิ น่าสงสาร เกิดมาแล้วพ่อก็ไม่เลี้ยง ต้องโยนไปให้ปู่เลี้ยง” “อืม น่าสงสาร และน่าเห็นใจจริงๆ” “หยุดนะ หยุดพูดถึงฉันแบบนั้น พวกแกกล้าดียังไงมาว่าฉันเป็นตัวอัปมงคล” สือหนิงหลงเต้นเป็นเจ้าเข้า เส้นเลือดที่ลำคอปูดโปน “พวกแก พวกแกสองคน ฉันจะคอยดู คนที่ถูกครอบครัวตัดขาด สิ้นไร้ไม้ตอกอย่างพวกแกจะไปรอดงั้นเหรอ ฉันจะคอยดู ฉันจะคอยดู ฮื่ย!” ก่อนเผ่นหนีกลับบ้านสือหนิงหลงยังไม่วายหันมามองสองหนุ่มสาวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ งิ้วโรงนี้สนุกจริงๆ ชาวบ้านต่างเห็นพ้องต้องกันว่านางเอกงิ้วคนใหม่อย่างหยางฟางหรงนั้นเข้าถึงบทบาท แสดงได้ถึงอกถึงใจจริงๆ หลังจากชาวบ้านถูกหัวหน้าและรองหัวหน้าคอมมูนขอร้องแกมบังคับให้กลับบ้านใครบ้านมันไปแล้ว “เฮ้อ! เรื่องจบเสียที” หยางฟางหรงทิ้งตัวลงนั่งบนตั่งไม้ไผ่อย่างโล่งอก เวลานี้เธอกำจัดพวกเสนียดจัญไรไม่ให้มาเกาะแกะชีวิตเธอและว่าที่สามีในอนาคตได้แล้ว “แล้วนี่เธอสองคนจะเอายังไงต่อ? ยังไงคืนนี้พักที่บ้านฉันก่อนก็ได้นะ” ซวนเฟยหย่าบอกอย่างมีเมตตา เขาเห็นหนุ่มสาวสองคนนี้เป็นเหมือนลูกหลาน “ขอบคุณหัวหน้าซวนมากๆ ค่ะ ลุงซวนมีเมตตามากกว่าพ่อแท้ๆ ของพวกเราสองคนเสียอีก” หญิงสาวพูดพลางประสานมือคารวะ “ขอบคุณลุงซวนมากจริงๆ ครับ ผมเองก็ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าเหตุการณ์มันจะมาถึงขั้นนี้” สืออู๋เฉินพูดจบก็หันมามองหน้าหยางฟางหรง สีหน้าบ่งบอกถึงความกระอักกระอ่วนใจ ‘ไม่รู้ว่าฟางหรงจะคิดยังไงกับเรื่องนี้’ นี่คือสิ่งที่อยู่ในใจของชายหนุ่ม และมีหรือที่หยางฟางหรงจะเดาไม่ออกว่าในใจของสืออู๋เฉินคิดหรือรู้สึกอย่างไร แต่ชายหนุ่มเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวเพราะมีปมในใจที่ถูกผู้เป็นพ่อยัดเยียดความเป็นตัวอัปมงคลให้เขาจึงดูเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยกล้าแสดงความรู้สึก “สืออู๋เฉิน เอ่อ พี่อู๋เฉิน ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันว่าเรามาเปิดอกคุยกันดีไหมคะ พี่เองก็พอจะดูออกว่าฉันไม่เหมือนหยางฟางหรงคนเดิมแล้ว” หยางฟางหรงขอเป็นคนเปิดประเด็นเองซะเลย เวลาไม่คอยท่า จะมาเขินอายหรือกั๊กกันไปทำไม ยุคนี้มันต้องรีบเร่งทำมาหากินเพราะชีวิตความเป็นอยู่นั้นลำบากยากยิ่งกว่ายุคสมัยอื่นๆ ที่เธอวาร์ปไปเกิดมาน่ะสิ ชายหนุ่มชะงัก เป็นอีกครั้งของวันที่หญิงสาวผู้นี้ทำให้เขาตกตะลึง การที่หญิงสาวเปลี่ยนคำเรียกขานตัวเขาว่า ‘พี่’ ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก สืออู๋เฉินรู้สึกราวกับว่าหัวใจของตนนั้นพองโตจนคับอกไปหมด “ได้สิ ก็ดีเหมือนกัน” เขาพูดยิ้มๆ ท่าทางดูไม่ค่อยมั่นใจนัก หยางฟางหรงพยักเพยิดให้เขาเดินตามออกมาที่ลานหน้าบ้าน คืนนี้เป็นคืนเดือนแรมจึงเห็นพระจันทร์เสี้ยวแขวนลอยอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว ฤดูนี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยว อีกไม่นานก็จะเข้าสู่หน้าหนาวแล้ว ดวงดาวบนท้องนภาจึงมองดูดาษดื่นพร่างพราว ‘เอาจริงๆ นะ บรรยากาศโรแมนติกชะมัดเลย’ หยางฟางหรงแอบนึกในใจ “ถามตรงๆ เลยละกัน พี่ เอ่อ พี่อยากแต่งงานกับฉันจริงหรือเปล่า ฉันไม่อยากบังคับจิตใจพี่นะ” หยางฟางหรงจ้องมองใบหน้าคมสันของเขาเขม็ง ทันทีที่ดวงตาสองคู่สบประสานกันคนที่ต้องรีบหลบสายตาก็คือสืออู๋เฉิน “คือ เอ่อ ผม ผม…” ถ้าจะกล่าวว่าสืออู๋เฉินเป็นคนเหนียมอายก็คงไม่ใช่ หากแต่เป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจเสียมากกว่า ปมในใจที่ถูกยัดเยียดว่าเป็นตัวอัปมงคลเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่บังเกิดเกล้าของตนต้องตายนั้นกลายเป็นฝันร้ายของชายหนุ่มมาตั้งแต่เขาจำความได้ ตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่เขามักจะถูกลูกพี่ลูกน้องลูกของลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่รวมถึงเด็กคนอื่นๆ ที่เล่นด้วยกันเอาปมเรื่องนี้มาล้อเลียน เขาจึงไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ในสายตาของคนอื่นๆ จึงมองว่าเขานั้นเป็นคนเงียบขรึม “พูดมาเถอะน่า ไม่ต้องกังวลอะไร ถ้าพี่ไม่พูด ฉันพูดเอง เอาเป็นว่าฉันไม่รู้หรอกนะว่าพี่อยากแต่งงานกับฉันหรือเปล่า แต่ตัวฉันน่ะอยากแต่งงานกับพี่ ไหนๆ เรื่องมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว อีกอย่างอายุอานามของเราสองคนก็อยู่ในวัยออกเรือน หากพี่ไม่มีคนอื่นในใจหรือหากว่าพี่ไม่รังเกียจที่ชาวบ้านต่างพูดกันหนาหูว่าฉันน่ะเป็นคนขี้เกียจ เราจะลองศึกษากันดูก็ได้นะ” หยางฟางหรงติดนิสัยสาวยุค 6G ประเภทที่ว่าเป็นสาวมั่น กล้าคิด กล้าพูด กล้าแสดงออก คำว่าเหนียมอายให้ตัดออกไปจากพจนานุกรมได้เลย (ซึ่งแตกต่างจากมาตรฐานกุลสตรีในยุคคอมมูน 70) สืออู๋เฉินตาเบิกโพลง เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวผู้นี้สร้างความประหลาดใจและตื่นเต้นให้กับเขา “เอ่อ ผม ผมอยากแต่งงานกับฟางหรงแน่นอน และไม่เคยคิดว่าคุณเป็นคนขี้เกียจ ผมเห็นฟางหรงทำงานเยอะ ทำงานให้ทุกคนในบ้าน เรื่องที่คุณเป็นลมบ่อยๆ น่าจะเกิดจากสุขภาพที่อ่อนแอ ไม่ใช่ความขี้เกียจ เพียงแต่…เอ่อ แล้ว เผิงเจียวหวงล่ะ?” เรื่องของเผิงเจียวหวง ลูกติดแม่เลี้ยงของเขาก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้สืออู๋เฉินนั้นรู้สึกเป็นกังวลและมั่นใจขึ้นมา …นั่นเป็นเพราะในชีวิตก่อนหยางฟางหรงคนโง่นั้นหลงรักผู้ชายอย่างเผิงเจียวหวงอย่างหัวปักหัวปำน่ะสิ ก็เขามีดีกรีเป็นถึง ‘หนุ่มโรงพยาบาล ได้งานชามข้าวเหล็ก’ แถมยังรู้หนังสือ นับได้ว่าเป็นอีกผู้หนึ่งที่มีโปรไฟล์ดี มีทั้งหน้าที่การงาน การศึกษาและความรู้ (จากหลักสูตรเร่งรัด 1 ปีอ่ะนะ) หยางฟางหรงหัวเราะคิก อย่างน้อยที่สุดก็มีหนึ่งคนในคอมมูนนี่ล่ะที่ไม่มองเธอเหมือนอย่างคนอื่น ด้วยความเป็นห่วงหญิงสาวทำให้สืออู๋เฉินคอยทำตัวเป็นนินจามาด้อมๆ มองๆ แอบดูหยางฟางหรง เขาจึงได้รู้ว่าในแต่ละวันหญิงสาวนั้นทำงานสารพัดอย่างแทนคนในบ้าน ทั้งทำความสะอาด ทำอาหาร ล้างจานชาม หาบน้ำ ตำข้าว และยังต้องซักเสื้อผ้าให้กับทุกๆ คนในบ้าน เขาสังเกตเห็นมาตลอดว่าหญิงสาวนั้นมีท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงมานาน ดูเหมือนคนที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง นี่คงเป็นสาเหตุให้เธอต้องเป็นลมแดดบ่อยๆ พอเป็นบ่อยหนักเข้าคนในคอมมูนจึงมองว่าเธอนั้นสำออยและขี้เกียจ แต่เขาไม่คิดอย่างนั้น นับจากวันที่เขาได้ถังหูลู่ไม้นั้นจากเธอในวัยเด็กตอนที่เขาร้องไห้เพราะโดนกลั่นแกล้งในวันนั้นหยางฟางหรงก็กลายมาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจของเขาเรื่อยมา เด็กน้อยหยางฟางหรงในตอนที่แม่ของเธอยังคงมีชีวิตอยู่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมากกว่าเด็กคนอื่นๆ เธอมักจะมีขนมอร่อยๆ กินเสมอๆ และในวันหนึ่งที่เขากำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะถูกเด็กคนอื่นกลั่นแกล้งไม่ยอมให้เล่นด้วย และยังพูดว่าเขาเป็นตัวอัปมงคลทำให้แม่ตัวเองตาย เขาหลบไปร้องไห้หลังต้นไม้ใหญ่ และเด็กน้อยหยางฟางหรงก็ตามไปยื่นถังหูลู่ให้เขา “พี่อู๋เฉิน กินถังหูลู่ แล้วไม่ร้องไห้แล้วนะ” น้ำเสียงแจ่มใส ใบหน้าเปื้อนยิ้มและแก้มแดงๆ ของเด็กน้อยคนนั้นทำให้หัวใจของคนที่สะอึกสะอื้นอยู่อุ่นวาบขึ้นมา เขาหยุดร้องไห้ ใช้แขนปาดน้ำตาและยิ้มให้เธอในขณะที่รับถังหูลู่ไม้นั้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย …มันคือขนมที่อร่อยที่สุดและคือของโปรดของเขาตลอดกาลแม้ว่าเวลานี้เขาจะโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วก็ตาม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม