เกิดใหม่เป็นเถ้าแก่เหลาสุรา
เกิดใหม่ครั้งที่ 1
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของพนักงานที่กำลังช่วยกันจัดร้านเพื่อเตรียมเปิดต้อนรับลูกค้าดังขึ้นอย่างสนุกสนาน ร้าน Mao-nae-non เป็นบาร์กึ่งผับที่มีลูกค้าแน่นขนัดทุกคืนเนื่องจากฝีมือชงเหล้าและหน้าตาที่หล่อเหลาของบาร์เทนเดอร์มือทองที่มีชื่อว่าหลิน
แม้จะเป็นชื่อที่ฟังในครั้งแรกแล้วขมวดคิ้วสงสัยว่าคนที่ดูชื่อหน่อมแน้มแบบนี้น่ะหรอเป็นบาร์เทนเดอร์มือทองของร้าน ลูกค้าหน้าใหม่ทุกคนที่เข้ามาในร้าน Mao-nae-non ก็มีสงสัยบ้าง แต่พอได้ลิ้มรสแอลกอฮอล์ที่หลินเป็นคนชงให้ก็ต้องเอ่ยชมออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่ารสชาติอร่อยแบบที่ร้านอื่นไม่สามารถทำให้ได้แน่นอน ขอแรงได้แรง ขอเข้มก็ได้เข้มแบบที่ทำให้ล้มนอนดูดาวได้ภายในแก้วเดียว
“พี่หลินหวัดดีค้าบ” พนักงานคนหนึ่งเอ่ยทักเมื่อหลินเปิดประตูเดินเข้าไปในร้าน
“เออหวัดดี จัดร้านเสร็จกันยัง วันนี้มีปาร์ตี้วันเกิดเจ๊มุ่ยต่อนะเว้ยอย่าลืม” หลินตอบรุ่นน้องที่เดินเข้ามาทัก ก่อนจะหันไปคุยกับรุ่นน้องอีกหลายคนที่กำลังช่วยกันจัดร้านอยู่
“จะเสร็จแล้วพี่ ทันเปิดร้านแน่นอน”
“เออๆ เอาให้ดีนะพวกมึง แล้ววันนี้อย่าโดนลูกค้ามอมจนเมาล่ะ ไม่งั้นอดแดกเหล้าที่กูชงแน่”
“โห ไม่มีทางพี่หลิน เดี๋ยวพวกผมรีบล้างคอรอเลย”
“เออ กูจะรอดู”
หลินว่าแบบนั้นก่อนจะเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของตัวเอง เนื่องจากเขาเป็นตัวทำเงินเจ๊มุ่ยเจ้าของร้านเลยทำห้องส่วนตัวไว้ให้เขา ภายในห้องก็ไม่ได้มีอะไรมาก มีโต๊ะตัวใหญ่ ทีวี และโซฟานุ่มๆ ให้หลินได้มาพักผ่อนก่อนเริ่มงานและหลังเลิกงานงาน ร่างโปร่งนอนยืดขาบนโซฟาก่อนจะแอบงีบหลับสักหน่อย ช่วงนี้เขาโดนลูกค้าซื้อดื่มให้จนแทบจะคลานกลับบ้านทุกวันแล้ว วันนี้ก็ต้องดื่มอีกเนื่องจากวันเกิดเจ้าของร้าน เห็นทีว่าเดี๋ยวต้องลาหยุดขอพักตับพักไตสักอาทิตย์แล้ว
“เพิ่งอายุยี่สิบหกเอง กูจะเป็นโรคตับแข็งตายก่อนไหมไอ้ห่า”
หลินว่าอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหลับไป ไม่นานเด็กในร้านก็เดินเข้ามาเรียกเนื่องจากลูกค้าประจำมาแล้ว หลินจะต้องเข้าไปเอาใจสักหน่อยเพราะลูกค้าคนนี้ค่อนข้างมือหนักเวลาให้ทิป
“ผมเอาเป็นวิสกี้แบบนี้ทสองแก้วครับ” หนุ่มหน้าใสที่เป็นลูกค้าประจำเอ่ยสั่งทันทีที่หลินเดินเข้าไปในบาร์น้ำ หลินยิ้มเอาใจก่อนจะรีบเทวิสกี้ลงแก้วให้สองที่ตามลูกค้าสั่ง “ของผมแก้วหนึ่ง อีกแก้วของคุณหลินครับ”
ลูกค้าดันเอาแก้ววิสกี้มาให้หลินที่แอบทำหน้าพะอืดพะอมเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปยิ้มกว้างแล้วรับเอาแก้ววิสกี้มากรอกใส่ปากจนแล้วทำหน้าเบ้ ไอ้ที่กินไปเมื่อคืนยังอยู่ในท้องอยู่เลย หลินรู้สึกคลื่นไส้แทบจะอ้วกออกมาแต่ก็ต้องเก็บอาการไว้เพราะต้องทำงานต่อ
และเขาก็โดนลูกค้าขาประจำซื้อดื่มให้จนแทบจะยืนอยู่บนพื้นต่อไปไม่ไหว เขารับแก้วสุดท้ายมาไว้ก่อนจะโบกมือส่งลูกค้าขาประจำที่ค่อยๆ เดินออกจากร้านไป
หลินเก็บเอาทิปทั้งหมดที่ได้มาวันนี้เข้ากระเป๋าถึงแม้ว่าแบงก์สีเทาจะหลายใบแต่ตอนนี้เขาว่าเขาดื่มอะไรลงไปอีกไม่ได้แน่นอน ดื่มสุดท้ายที่ลูกค้าซื้อให้จึงยื่นให้กับเด็กเสิร์ฟคนหนึ่งแทน
“โหย วอดก้าเลยหรอวะพี่”
“เออ แดกๆ ไปกูไม่ไหวแล้ว” หลินทำหน้าพะอืดพะอม
“ไหวไหมพี่ หน้าพี่ซีดมากเลยตอนนี้”
“ไหวๆ น่าจะชงเหล้าให้พวกมึงได้ฉลองวันเกิดเจ๊มุ่ยได้อยู่”
“โอเคๆ งั้นผมไม่กวนแล้วนะครับ”
หลินพยักหน้าให้รุ่นน้องก่อนจะเดินกลับมาทำเครื่องดื่มที่ต้องเตรียมไว้ให้ทุกคนปาร์ตี้ในคืนนี้ เขากะว่าจะทำเป็นค็อกเทลเบาๆ เพราะว่าพรุ่งนี้ทุกคนยังต้องมาทำงานอยู่ จะมอมให้เมากันไปเลยก็กลัวว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีคนมาทำงานแล้วเจ๊มุ่ยจะอาละวาดเอา
“สวัสดีค่าอีกพวกเด็กเปรต” เจ๊มุ่ยที่เพิ่งจัดการบัญชีเสร็จเดินลงมาทักทายลูกน้อง
“หวัดดีค้าบเจ๊/หวัดดีค่าพี่มุ่ย” เจ๊มุ่ยพยักหน้าให้กับลูกน้องก่อนจะเดินมาหาหลิน
“อีหลิน ทำไมหน้ามึงซีดเบอร์นั้น”
“เวียนหัวนิดหน่อยเจ๊ ลูกค้ามอมเหล้าแรงมาหลายวันแล้ว”
“คุณมีนน่ะหรอลูกค้าที่ว่า”
“เออดิเจ๊ ไอ้เหี้ยเหล้าแพงขนาดไหนก็ไม่บ่น เบิ้ลสองๆ จนผมจะอ้วกรดหน้าเขาอยู่แล้ว”
“แต่เขาก็ให้ทิปดีไม่ใช่หรอ”
“ก็ดีอ่ะ วันนี้ก็ได้สีเทามาหลายใบ แต่ร่างกายผมไม่ไหวแล้วเจ๊ ขอลางานได้ไหมสักอาทิตย์ให้ผมได้พักร่างกายหน่อย”
“เออๆ งั้นพรุ่งนี้มึงก็พักไปเลย ค่อยมาทำงานอาทิตย์หน้า มึงเป็นบ่อเงินบ่อทองของกู กูก็ต้องดูแลให้ดีที่สุดดิ”
“ขอบคุณครับเจ๊” หลินหันไปยกมือไหว้ของคุณเจ๊มุ่ยก่อนจะหันกลับมายกโหลเครื่องดื่มที่ชงเสร็จแล้วไปให้เจ๊มุ่ย แต่ยังไม่ทันได้วางโหลค็อกเทลดีเลยหลินก็ตัวโงนเงนประคองร่างกายไม่อยู่ ล้มลงในบาร์น้ำท่ามกลางเสียงตกใจและร้องเสียงดังของเจ๊มุ่ย
“ว้ายอีหลิน!!!!!”
หลินเห็นภาพเลือนรางว่าเจ๊มุ่ยรีบวิ่งอ้อมเข้ามาหาเขา แต่เจ๊มุ่ยยังไม่ทันจะวิ่งถึงตัวเขาด้วยซ้ำ ภาพก็ตัดไปเป็นสีดำ.. แล้วเขาก็มองไม่เห็นอะไรอีกเลย.....
“อาหลิน”
“....”
“อาหลินลูกพ่อ”
“....”
“อาหลิน!!!!”
“เห้ย!!!”
หลินตกใจสะดุ้งขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้นเขารู้สึกราวกับว่าโลกมันหมุนไปพักหนึ่งก่อนที่เขาจะสบัดหัวน้อยๆ เพื่อเรียกสติ หลินหันไปมองคนที่ร้องเรียกชื่อของเขา ก่อนจะพบว่าเป็นพ่อของเขาที่ดูใส่ชุดแปลกๆ เหมือนคนจีนยุคโบราณยังไงยังงั้น
“ป๊าใส่ชุดบ้าอะไรเนี่ย”
“ไอ้หยา เจ้าล้มจนสมองมันกระทบกระเทือนเพี้ยนไปแล้วหรือ”
“หา.. อะไรนะ”
“ไม่ได้การๆ ข้าต้องไปตามท่านหมอมาแล้ว” แล้วพ่อของหลินก็เดินออกไปทันที ทิ้งให้หลินทำหน้างง
หลินที่เหมือนสติยังไม่กลับเข้าสมองได้แต่มองไปรอบๆ อย่างไม่เข้าใจว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ห้องนี้น่าจะเป็นห้องนอนเพราะเขานอนอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าผืนบางๆ แต่มองดูการตกแต่งที่แสนโบราณนี่แล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ไม่นานพ่อของหลินก็เดินเข้ามาพร้อมกับคนที่น่าจะเป็นหมอ
“ท่านหมอช่วยลูกข้าด้วย เมื่อวานเขาล้มอยู่หน้าจวน กว่าข้าจะไปเจอเขาก็นอนแน่นิ่งไปแล้ว ฟื้นขึ้นมาพูดจาก็ไม่รู้เรื่อง"
เดี๋ยวตาแก่ ใครกันแน่ที่พูดไม่รู้เรื่อง หลินขมวดคิ้วก่อนจะค่อยๆ อ้าปากเพื่อพูดออกมาแต่ก็รู้สึกเหมือนจะไม่สามารถเปล่งเสียงได้ จนคนที่พ่อของหลินเรียกว่าหมอค่อยๆ เดินเข้ามาหาหลินแล้วจับตรงนั้นตรงนี้เพื่อตรวจอาการ หลินก็พยายามดิ้นหนีเนื่องจากไม่ชอบให้ใครมาแตะตัว
“เดี๋ยวก่อนลุง มาแตะตัวคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ได้ยังไง”
“ข้ามาตรวจร่างกายเจ้าตามที่พ่อเจ้าไปเรียกข้ามาอย่างไรเล่า”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรจะมาตรวจทำไม”
“ไอหยา.. แล้วลูกชายข้าจะเป็นอะไรมากไหมท่านหมอ” พ่อของหลินทำหน้าตาตื่นก่อนจะเดินเข้ามาใกล้อย่างเป็นห่วง
“ข้าว่าอาจจะเป็นเพราะลูกชายท่านหัวกระทบกระเทือนเลยพูดจาไม่รู้ความ เอาเป็นว่าเดี๋ยวข้าเขียนเทียบยาให้ แล้วท่านไปซื้อยามาต้มให้เขาดื่มเสีย ไม่กี่วันก็น่าจะดีขึ้น”
“ได้ขอรับ”
พ่อของหลินและคุณหมอพูดคุยกันถึงเรื่องยาก่อนจะเดินออกไปจากห้อง หลินที่ยังไม่เข้าใจอะไรสักอย่างค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไปช้าๆ ตาเรียวมองของตกแต่งภายในบ้านก็ต้องรู้สึกงงมากขึ้นไปอีก
“กูมาอยู่ที่ไหนวะเนี่ย ทำไมมันแปลกหูแปลกตาไปหมด”
หลินตาโตก่อนจะวิ่งออกไปข้างนอกบ้าน แต่ก็ต้องตาโตกว่าเดิมและอ้าปากค้างเมื่อวิ่งออกมาแล้วเจอกับผู้คนที่แต่งตัวด้วยชุดจีนโบราณ บางคนก็แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สวยงามหรูหรา บางคนก็เสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ
“นี่มันอะไรวะเนี่ยยยยยยย”
หลินตะโกนออกไปเสียงดัง ไม่นานพ่อก็วิ่งเข้ามากอดหลินไว้ก่อนจะเอ่ยปลอบให้หลินใจเย็นๆ แต่หลินที่เหมือนกำลังสติหลุดได้แต่ดีดดิ้นอยู่ในอ้อมกอดของพ่อ จนชาวบ้านที่อยู่โดยรอบได้แต่มองมาด้วยความสนใจก่อนจะหันไปนินทากัน
“ใจเย็นๆ อาหลินของพ่อ”
“เย็นเหี้ยไรล่ะป๊า นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!”
ว้ายตายแล้ว เกอผู้นี้ตะคอกใส่บิดางั้นรึ
ถ้าเป็นลูกชายข้าเห็นทีว่าต้องตบปากจนกว่าจะมีเลือดไหล
แย่มาก บิดาก็แก่จนปานนั้น
เสียงนินทาของผู้คนที่อยู่โดยรอบทำให้หลินรู้สึกงง ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งที่พื้นก่อนจะเอามือมาขยี้ผมตัวเอง
“ไอ้เหี้ยยยยย ผมกูยาวขนาดนี้ได้ไงเนี่ยยย”
“อาหลิน ใจเย็นๆ ก่อน”
“เหี้ยยยยย ลายดอกส้นตีนอะไรบนข้อมือกูเนี่ย”
“ฮึก...อาหลินลูกพ่อ”
เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของคนเป็นพ่อก็ทำให้เหมือนหลินจะได้สติ ร่างบางกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหยุดดิ้นแล้วมองหน้าพ่อตัวเอง มือบางค่อยๆ ยกขึ้นเช็ดน้ำตาของพ่อออก ก่อนจะสูดหายใจเข้าปอดฟอดใหญ่
“เข้าบ้านกันเถอะป๊า หนูมีเรื่องอยากคุยกับป๊าเยอะแยะเลย”
สองพ่อลูกเดินประคองกันเข้าบ้านไป เหล่าจีนมุงทั้งหลายเลยแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเองต่อเพราะไม่มีอะไรให้ดูแล้ว เมื่อหลินได้มีโอกาสมานั่งตั้งสติเรื่องราวหลายๆ อย่างก็พุ่งเข้ามาในหัวจนหลินรู้สึกเบลอ
เขามีนามว่าซุยหลิน เป็นบุตรเพียงชายคนเดียวของเถ้าแก่ซุยเจียงที่ทำอาชีพเปิดร้านสุราและเขายังเป็นเกออีกด้วย
“เกอเหี้ยไรวะ กูมีจู๋นะ กูจะท้องได้ไง”
ซุยหลินลูบไปที่หน้าท้องตัวเองก่อนจะบ่นพึมพำราวกับคนเสียสติ เถ้าแก่ซุยเห็นว่าลูกชายมีท่าทีไม่ดีจึงรีบวิ่งเข้าไปในครัว เพื่อต้มยาที่เพิ่งได้มาจากใบเทียบยาใบนั้น ท่านหมอรับประกันว่าไม่นานซุยหลินก็จะต้องกลับมาเป็นปกติแน่นอน
ร่างบางมองลายดอกเหมยที่ข้อมือตัวเองอย่างเหม่อลอย จนไม่รู้ว่านั่งเหม่อมานานแค่ไหนแล้ว เถ้าแก่ซุยค่อยๆ เดินถือถ้วยยาเข้ามาหา กลิ่นเหม็นเขียวนั่นทำเอาซุยหลินเบ้หน้า
“นี่ยา เจ้าดื่มสักหน่อยเถิดอาหลิน” เถ้าแก่ซุยยื่นถ้วยยาให้ซุยหลิน
“ไม่เอาอ่ะพ่อ มันเหม็นเขียว”
“เห็นอย่างไรเจ้าก็ต้องดื่ม มันจะช่วยให้สติของเจ้ากลับคืนมา”
เถ้าแก่ซุยไม่ยอมให้ลูกชายปฏิเสธ ชายชรายกเอาถ้วยยาเข้าไปจ่อปากซุยหลินก่อนจะบังคับให้ดื่มเข้าไป ร่างบางสู้แรงไม่ไหวจึงจำใจยอมกลืนยาเหม็นเขียวนั่นลงคออย่างเลี่ยงไม่ได้
“แหยะ โคตรเหม็นเขียวเลย” ซุยหลินแลบลิ้นออกมา
“กิริยาไม่งาม” เถ้าแก่ซุยตีมือของซุยหลินที่กำลังขูดลิ้นของตัวเองอยู่
“พ่ออ่ะ”
“ไอหยาๆๆๆ” เถ้าแก่ซุยส่ายหน้าก่อนจะเดินหนีออกไปที่อื่น ทิ้งให้ซุยหลินนั่งอยู่คนเดียว
เมื่อได้มีโอกาสอยู่คนเดียวซุยหลินก็พยายามเค้นความทรงจำในสองของร่างนี้ ก่อนจะได้ความมาว่าตอนนี้เหลาสุราของเถ้าแก่ซุยมีปัญหาเนื่องจากมีคู่แข่งมาเปิดร้านที่ซอยข้างๆ แล้วด้วยความที่เถ้าแก่ซุยนั้นเป็นเพียงชายแก่ธรรมดาที่ต่อให้มีรสมือในการหมักเหล้าที่ดีเท่าไหร่ก็สู้การค้าของคู่แข่งไม่ได้ จะให้บุตรชายที่มีเพียงคนเดียวไปช่วยดูแลร้านแต่บุตรชายที่ว่าก็เป็นเพียงเกอตัวน้อยๆ เท่านั้น
คืนวันที่ซุยหลินต้องสลบนอนอยู่ที่หน้าจวนนั้นเกิดจากร่างบางเพิ่งเดินทางกลับมาจากการไปเก็บสมุนไพรบนเขา ว่าจะเอาสมุนไพรที่เก็บมาได้มาปรึกษากับบิดาว่าจะลองเปลี่ยนวิธีหมักเหล้าให้ดูมีอะไรที่น่าแปลกใจดีหรือไม่ แต่ก็โดนอันธพาลที่ร้านคู่แข่งจ้างมากระทืบเถ้าแก่ซุยที่กำลังพยายามจะปืนเข้าจวนเสียก่อน ซุยหลินที่รู้สึกตกใจจึงตะโกนออกไปเสี่ยงดัง
เป้าหมายจึงกลายมาเป็นซุยหลินแทน ร่างบางโดนฟาดเข้าที่หัวอย่างจังก่อนจะสลบไป ทีแรกพวกมันคิดจะเอาซุยหลินที่เป็นเกอไปร่วมกันข่มขืน แต่ว่ามีชาวบ้านเดินผ่านมาเสียก่อนพวกมันจึงต้องรีบหนีไป ซุยหลินที่โดนฟาดหัวนั้นนอนสลบไม่ได้สติ ลมหายใจค่อยๆ เบาลงจนทำให้ถึงแก่ชีวิต
แม้ว่าการที่ตัวเองตายจากร่างก่อนแล้วมาโผล่ในร่างนี้จะทำเอาไอ้หลินเกิดอาการไม่เข้าใจเล็กน้อย แต่ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำคือใช้ชีวิตเดินหน้ากันต่อไป เขาจะใช้ชีวิตแทนซุยหลินคนก่อนเอง
“เดี๋ยวต่อไปนี้ผมจะดูแลร้านและพ่อของคุณเอง ไม่ต้องห่วงนะครับ”
ซุยหลินพูดพลางใช้มือวางที่หน้าอกราวกับอยากจะสื่อสารกับเจ้าของร่างเดิม เถ้าแก่ซุยที่เดินเข้ามาเจอลูกชายทำท่าทางแปลกๆ อีกก็ได้แต่ส่ายหัว
“อ..เอ่อ.. ท่านพ่อ”
“ว่าไง” เถ้าแก่ซุยหันไปมองซุยหลิน
“แล้วเหลาสุราละขอรับ วันนี้ไม่เปิดหรือ”
“ก็ต้องมาดูแลเจ้า พ่อก็เลยไม่ได้เปิด แต่ก็คงไม่ได้กลับไปเปิดอีกแล้วแหละ” เถ้าแก่ซุยเสียงเบาในประโยคสุดท้ายก่อนจะก้มหน้ามองพื้น
“มันแย่มากเลยหรือขอรับ”
“ไม่มีลูกค้าเข้ามาซื้อเหล้าหลายวันแล้ว สงสัยเหล้าของพ่อมันยังไม่ดีพอ อีกทั้งพ่อเองก็แก่ตัวมาก คงถึงเวลาที่จะต้องหยุดพักแล้ว”
ซุยหลินกัดปากตัวเองอย่างลังเลว่าจะพูดออกไปดีไหม “งั้น.. ท่านพ่อให้ข้าเข้าไปช่วยดีหรือไม่”
“เกออย่างเจ้าจะไปช่วยอะไรพ่อได้ อยู่จวนไปแบบนี้ก็ดีแล้ว สักวันคงมีคนมาสู่ขอเจ้าไปเป็นภรรยา”
“แหยะ..ไม่เอาอ่ะ ขนลุกตาย” ซุยหลินทำท่าขนลุก “ท่านพ่อลองให้ข้าเข้าไปช่วยดูแลร้านเถิด หากว่าข้าไม่สามารถทำมันได้ ข้าจะยอมให้ท่านพ่อปิดเหลาสุรา และข้าจะออกเรือนแต่งงานทันที ค่าสินสอดคงจะช่วยให้ท่านพ่อได้อยู่กินไปอีกหลายปีอย่างไม่ลำบาก”
“อยู่ที่จวนเย็บปักผ้าทำความสะอาดจวนก็ดีอยู่แล้ว เป็นเกอไยจะต้องมาทำงานที่เหลาสุรา”
“ได้สิขอรับ ก็นั่นมันเป็นเหลาสุราของท่านพ่อ ท่านกับท่านแม่ช่วยกันสร้างมันขึ้นมา ข้าจะปล่อยให้มันพังลงไปได้อย่างไร”
“แต่ว่า..”
“ท่านพ่อเชื่อใจข้านะขอรับ ข้าสัญญาว่าร้านของเราจะกลับมายิ่งใหญ่และรุ่งเรืองอีกครั้งแน่นอน ให้ข้าทำมันนะขอรับ”
“อาหลินเอ๊ย.. ลูกพ่อ”
เถ้าแก่ซุยเดินเข้ามาโอบกอดซุยหลินก่อนจะร้องไห้ออกมา ชายชรารักเหลาสุรามาก ด้วยความที่คอยดูแลราวกับว่าเติบโตมาพร้อมกับมัน การที่ต้องมาปิดมันลงด้วยมือตัวเองเถ้าแก่ซุยก็ทำใจได้ยาก เขายืนกอดกับบุตรชายอยู่นานก่อนจะคลายกอดแล้วมองซุยหลินด้วยสายตาจริงจัง
“เช่นนั้นพ่อจะให้เจ้าดูแลร้านสองเดือน ถ้าหากว่ามันไม่ดีขึ้นพ่อจะปิดร้านแล้วขายที่ตรงนั้นออกเสีย”
“ขอรับ ข้าจะพยายาม”
ซุยหลินยิ้มหวานก่อนจะสวมกอดเถ้าแก่ซุยอีกครั้ง ตอนที่หลินตายก็ไม่ได้มีโอกาสไปเอ่ยลาพ่อของตัวเองเลย การที่ยังได้มีโอกาสกลับอยู่กับพ่ออีกครั้งหลินจึงอยากจะทำมันให้ดีที่สุด
เมื่อก่อนจวนตระกูลซุยรุ่งเรืองมีทรัพย์สินและจวนหลังใหญ่ มีคนใช้อยู่มากมาย แต่ก็ต้องให้คนใช้ออกจากจวนไปเนื่องจากแบกรับค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนไม่ไหว เหลาสุราที่เคยมีลูกค้าเดินเข้ามานั่งดื่มมากมาย จนพากันแย่งที่นั่งภายในร้านตอนนี้ก็กลายเป็นร้านที่ไม่มีใครเดินผ่านด้วยซ้ำ
ซุยหลินมั่นใจในฝีมือการเป็นบาร์เทนเดอร์จากชีวิตที่แล้ว เขามั่นใจว่าเขาจะต้องทำให้เหลาสุรากลับมารุ่งเรืองอีกครั้งให้จนได้ แต่ก่อนอื่นก็ต้องไปดูคู่แข่งก่อนว่าเขาทำงานกันอย่างไร เพื่อที่จะได้วางแผนตอกกลับไปเสียบ้าง ให้มันได้รู้ว่าเขาและเถ้าแก่ซุยจะไม่ยอมอีกต่อไป
ซุยหลินทำหน้ามุ่งมั่นแต่เถ้าแก่ซุยกลับเห็นเป็นว่าลูกชายทำหน้าพิลึก ชายชราส่ายหัวก่อนจะเดินกลับเข้าครัวไปต้มยาถ้วยใหม่มาให้ซุยหลินได้ดื่มอีกครั้ง เผื่อว่าจะช่วยให้อาการเพี้ยนหายไปเร็วๆ
“ท่านพ่อ ข้าไม่ดื่มแล้ว”
“ดื่มมันลงไป ท่านหมอบอกว่าเจ้าจะหายเร็วขึ้นถ้าดื่มบ่อยๆ”
“อันเก่ายังเหม็นเขียวอยู่ที่คออยู่เลย ไม่เอาว้อย”
Talk. แหะๆ เปิดตัวน้องหลินค่า หวังว่านักอ่านทุกท่านจะถูกใจกัน #เกิดใหม่เป็นเถ้าแก่เหลาสุรา