ครู่ต่อมา…
“กินข้าวซะ”
ป้าอิ่มถือจานข้าวที่ราดมาด้วยกับข้าวสองสามอย่าง วางลงตรงหน้าเธอ โดยลืมเสียสนิทว่ามือเล็กๆ ทั้งสองข้างยังคงถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยเชือก ดูราวกับว่าหญิงสาวผู้นี้คือนักโทษคดีอุกฉกรรจ์
‘ฉันมีความผิดอะไร?…เป็นการสมควรแล้วหรือที่นายมากระทำย่ำยีกับชีวิตฉันแบบนี้’
หญิงสาวท้วงถามถึงความถูกต้อง
เธอมองดูจานข้าวด้วยสายตาเลื่อนลอย รู้สึกหมดอาลัยตายอยากที่จะมีชีวิตอยู่ จะมีประโยชน์อันใดเล่า… กับการกินหรือไม่กิน แม้ไม่อดข้าวตาย… แต่เธอก็ต้องตายทั้งเป็นอยู่ดี เมื่อนึกถึงหน้าคนหื่นที่รอจะกระทำย่ำยีเธออยู่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่…
อย่าว่าแต่หนทางหนีเอาตัวรอดที่ดูมืดมน เพราะเพียงแค่คิดว่าจะต้องประคับประคองลมหายใจให้ผ่านค่ำคืนอันเลวร้ายนี้ไป ให้ได้… ก็ดูช่างยากเย็นเหลือเกินสำหรับเธอ
“ถ้าป้าแก้มัด... เอ็งต้องสัญญาก่อนนะ ว่าจะไม่หนี”
“ค่ะป้า…” หญิงสาวพยักหน้า
“กินข้าวซะ... กินดีๆ ทำตัวดีๆ” ป้าอิ่มไม่อยากให้มีอะไรวุ่นวายมากไปกว่านี้”
“ป้าบอกให้หนูกินข้าวดีๆ ทำตัวดีๆ แต่หนูสงสัยว่าสำหรับสถานที่แห่งนี้… ยังมีคำว่า ‘ดี’ ให้ต้องคิดถึงอีกหรือป้า ผู้ชายคนนี้ใจร้ายใจมาร นับตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาลากหนูขึ้นรถตู้มา… ชีวิตก็เจอแต่เรื่องเลวๆ ซึ่งป้าก็เห็น”
หญิงสาวแดกดันด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เงยใบหน้าขึ้นมองเพดาน เพราะเสียดายหยาดน้ำตาที่กำลังจะร่วงรินลงมาให้กับความอัปยศอดสูของโชคชะตา ที่นำพาเธอมาสู่ขุมนรกแห่งนี้
“ถ้าขืนเอ็งยังปากดี ไม่ลดไม่ละกับคุณอาทิตย์แบบนี้แล้วละก็… ป้าชักจะห่วงอนาคตของเอ็งซะแล้วสิ”
ป้าอิ่มเตือนด้วยความหวังดี
หญิงสาวยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา
“ท่องเอาไว้นะนังหนู บอกกับตัวเองว่าเอ็งจะมาตายตรงนี้ไม่ได้เป็นอันขาด… ป้าเชื่อว่ามีคนข้างหลังอีกมากมายที่กำลังห่วงใยและรอคอยเอ็งอยู่”
เพียงสิ้นถ้อยคำของป้าอิ่ม ทำนบน้ำตาของหญิงสาวก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
ป้าอิ่มมองอย่างเข้าใจ… บางครั้งคนที่เข้มแข็ง ก็ไม่ได้หมายความว่าร้องไห้ไม่เป็น
“ร้องไห้ออกมาเถอะ ให้น้ำตามันไหลออกมา อย่าให้มันท่วมอยู่ในหัวอก” ป้าอิ่มบอก ดวงตาของแกแดงไปด้วยรื้นน้ำตาเช่นกัน เพราะความสงสารลูกผู้หญิงด้วยกัน
รัตติกรนึกถึงถ้อยคำของแม่
‘เมื่อความอ่อนแอหลั่งไหลออกมาเกินจะรับไหว… ความเข้มแข็งจะเข้ามาแทนที่เอง’
“แม่…”
หญิงสาวรำพึงถึงมารดา
นึกถึงใบหน้าเศร้าๆ ของแม่ที่กำลังนั่งทำขนมอยู่ในบ้านเช่าหลังเล็กๆ นึกถึงใบหน้าแก่นแก้วของน้องชายที่มักจะมารอรับเธอทุกวัน ตรงหน้าปากซอยซึ่งอยู่ลึกและเปลี่ยว ในวันที่เธอกลับดึก
“ป่านนี้ไม่รู้ว่าแม่กับน้องจะเป็นอย่างไรบ้าง?” เธอรำพึงเสียงแผ่ว
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะอีหนูเอ๋ย…” ป้าอิ่มเอ่ย
หญิงสาวเห็นจริงตามนั้น
คำพูดนั้นทำให้ได้ฉุกคิดขึ้นมาได้ เมื่อนึกถึงความน่าสะพรึงกลัวจากซาตานร้ายที่รอคอยเวลาเพื่อจะย่ำยีเธอ
หญิงสาวตักข้าวเข้าปากอย่างเชื่องช้า… บางคำฝืดเผื่อนและข่มขื่นเกินจะกลืน ดวงตาเลื่อยลอยมองเหม่อไปยังขันน้ำตรงหน้า ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวจับใจกับน้ำที่เพิ่งทำให้เธอสำลักปางตาย
คิดแล้วก็กลืนข้าวลงคอไปอย่างช้าๆ ไม่ใช่เพราะหิวหรือรู้สึกเอร็ดอร่อยแต่อย่างใด หากเป็นเพราะสงสารกระเพาะอาหาร หลังจากที่มันต้องย่อยตัวเองมาตั้งแต่ตอนเช้ามืด
ขณะเคี้ยวข้าว ดวงตางดงาม… ซึ่งบัดนี้เจือไว้ด้วยแววเศร้าเคล้าน้ำตาของเธอ… เหม่อมองออกไปจากกระท่อมไม้อย่างเลื่อนลอย
‘ยิ่งความหวังเหลืออยู่น้อย เธอยิ่งต้องกินเข้าไปมากๆ ไม่ใช่เพื่ออิ่ม... แต่เพื่อต่อลมหายใจ’ เธอบอกตัวเองอยู่ในความคิด
จากนั้นก็หันมาตักข้าวเข้าปากอย่างตั้งใจขึ้น
ใบหน้าของแม่และน้องชาย ผุดพรายขึ้นซ้ำๆ ในห้วงคำนึง ในความคิดถึง… และความหวังซึ่งดูเหมือนว่ากำลังจะเลือนลางริบหรี่ลงเต็มที เมื่อสายตาเหลือบแลไปเห็นใบหน้าครึ้มเคราของคนใจร้ายคนนั้น เขาลอบชำเลืองมาที่เธอ
‘ฉันต้องกิน…กินเพื่อให้มีแรงสู้กับแก…ไอ้คนเถื่อน’
หญิงสาวบอกตัวเอง แล้วก้มหน้าก้มตาจัดการกับข้าวในจานทั้งมือที่สั่น…และฟันที่กัดกรอดด้วยความแค้นฝังอก
ย้อนไปหนึ่งเดือนก่อนเกิดเหตุ
ที่ท้ายซอยเปลี่ยว ภายในบ้านเช่าหลังเล็กเก่าคร่ำ อยู่ลึกเป็นหลังสุดท้ายของซอย
“แม่คะ... แม่”
หญิงสาวตะโกนด้วยเสียงดังลั่น ทันทีที่มือเรียวเอื้อมไปผลักบานประตูซึ่งเปิดแง้มอยู่น้อยๆ ร่างบอบบางของลูกสาวถลาเข้ากอดผู้เป็นแม่จากทางด้านหลัง
ผู้เป็นมารดากำลังทำงานบางอย่างอยู่ในมือ แลเห็นใบตองสีเขียวซึ่งตัดเอามาจากดงกล้วยที่ขึ้นหนาแน่นอยู่ริมคลอง วางทับซ้อนกันอยู่ข้างๆ กับร่างของแม่ มือเรียวคลี่ใบตองออกมาเช็ดทีละใบ ช้าๆ อย่างชำนิชำนาญ
“เหนื่อยไหมคะ”
ถามแล้วจมูกโด่งและเชิดรั้นของลูกสาวก็หอมไปที่พวงแก้มซึ่งชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อของคนเป็นแม่
หญิงสาวสังเกตเห็นที่ด้านหลังใบหูของแม่ ใต้ตีนผมซึ่งขมวดเป็นมุ่นมวยเอาไว้หลวมๆ มีเหงื่อซึมเซาะออกมาเป็นสาย ไม่ใช่เหงื่อที่เหม็นหืนหรืออับชื้นสำหรับผู้เป็นลูกสาวเลยสักนิด หากมันเป็นเหงื่อที่เจือไว้ด้วยกลิ่นหอมแห่งชีวิต เม็ดเหงื่อใสๆ… วิบวับราวหยาดหยดอัญมณีแห่งความเหนื่อยยาก สะท้อนกับแสงแดดที่ส่องสาดมาจากรูรั่วของหลังคาสังกะสีเก่าผุ มันคือหยาดเหงื่อซึ่งมักจะหลั่งไหลออกมาย้ำเตือนทุกครั้ง… ให้เธอตระหนักในความยากจนข้นแค้น
“รัตติกร” แม่เรียกลูกสาว
มือยังไม่ละจากใบตองที่กำลังเช็ดอยู่ ได้ยินเสียงดังแกรกกรากอันเกิดจากใบพัดหมดสภาพของพัดลมตัวเก่า ที่เป่าแรงลมออกมาอย่างเหนื่อยล้า… เอื่อยอ่อน ไม่อาจไล่ไอร้อนระอุจากหลังคาสังกะสีต่ำเตี้ยเกือบติดศีรษะ ทำให้ภายในบ้านเล็กๆ หลังนั้นค่อนข้างร้อนและอุ่นอวลไปด้วยกลิ่นไอของใบตองอบ
“ดีใจอะไรกันยกใหญ่จ๊ะลูก”
ใบหน้าชดช้อยของแม่ ช้อนชำเลืองขึ้นมองหน้าลูกสาวด้วยความสงสัย
หญิงสาวยังไม่ตอบคำถามในทันที หากจ้องมองภาพของแม่ที่กำลังทำงาน ใบตองเขียวๆ ที่วางกองอยู่ตรงหน้า ไม่ช้าไม่นาน… มันจะกลายเป็นห่อหมก
‘ห่อหมก’ ที่แม่พร่ำบอกกับเธอและน้องชายอยู่เสมอๆ ว่ามันคืออาชีพ เพื่อการ ‘ยังชีพ’ ของสามชีวิต คือตัวของแม่ เธอ และน้องชาย
อ้อ!... เกือบลืมไป เธอยังมีพ่ออีกคนสินะ พ่อที่ชอบดื่มสุราเป็นชีวิตจิตใจ วันๆ ก็เอาแต่เมาหัวราน้ำ หรือไม่ก็เที่ยวออกไปหมกตัวอยู่ในบ่อนไก่ บ่อนไพ่ ไฮโล ที่ไหนสักแห่ง
หลายวันมาแล้วที่เธอไม่ได้เจอหน้าบิดาที่ไม่น่านับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในครอบครัวเลยแม้แต่น้อย… หากก็ทำไม่ได้ เพราะสายเลือดที่โยงใยกันอยู่