แม้ว่าเขามักจะนำความเดือดร้อนมาให้ครอบครัวไม่หยุดหย่อน
แต่ ‘พ่อ’ ก็คือ ‘พ่อ’ คือคนที่ให้กำเนิดเธอมา เป็นคนที่ลูกควรต้องเคารพรัก หากเธอก็ ‘รัก’ ด้วยหน้าที่ของลูก… หาใช่ความผูกพันไม่
“หนูได้งานทำแล้วค่ะแม่”
น้ำเสียงใสๆ ของหญิงสาว กระซิบข้างหูของผู้เป็นมารดาที่เอี้ยวตัวมาฟังด้วยแววตาปลาบปลื้ม
คำพูดที่ได้ยิน ทำให้มารดาลืมทุกข์ลงชั่วขณะ
หล่อนละมือจากใบตองที่กำลังเช็ดอยู่ในมือ หันมาโอบกอดลูกสาวแรงๆ
‘มีงานทำ’ แน่ละ… ดวงแขรู้ว่ามันเป็นเรื่องดีของทั้งครอบครัว ‘เรื่องดี’ ที่นานๆ จะผ่านเข้ามาในชีวิตสักที และบางทีมันอาจจะเป็นเรื่องดีเรื่องเดียว… และเรื่องสุดท้ายของปีนี้ที่เธอจะได้ยินก็เป็นได้
“หนูมีงานทำแล้ว… คราวนี้แม่กับน้องจะได้ไม่ต้องลำบากกันอีกต่อไป” น้ำเสียงจริงจัง ราวกับเป็นการให้คำมั่นสัญญา
ดวงแขเงยหน้าขึ้นสบตาลูกสาว ระบายยิ้มละไมออกมาเต็มดวงหน้า ด้วยความภาคภูมิใจในตัวของรัตติกร
“แม่ดีใจจัง… วันนี้แม่หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเชียว”
หล่อนบอกถึงความปลาบปลื้ม ครั้นแล้วสองแม่ลูกก็โผเข้ากอดกันแนบแน่น ท่ามกลางกองใบตองสีเขียวและเสียงพัดลมเก่าที่ครางอยู่เบาๆ
“หนูช่วยแม่เตรียมใบตองนะคะ” ลูกสาวบอก
“ไม่ต้อง… ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเถอะ เนื้อตัวแม่เลอะเหงื่อออกอย่างนี้ มากอดมาหอมกันอยู่ได้ เหม็นจะตาย”
“แม่ของหนูสวยเสมอ… หอมเสมอ หนูหอมแม่มาตั้งแต่เด็กๆ แม่ของหนูไม่เคยเหม็นเลยสักครั้ง”
ลูกสาวทำเสียงออดอ้อนราวกับเด็กๆ และมันทำให้ดวงแขหวนระลึกถึงเด็กผู้หญิงแก้มป่อง ตากลม ช่างเจื้อยแจ้ว เมื่อครั้งที่รัตติกรยังเป็นเด็ก
เป็นธรรมดาของผู้หญิง… เมื่อถูกลูกสาวชมว่าสวย มันทำให้ดวงแขอดไม่ได้ที่จะแอบชำเลืองมองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่ข้างกระจกของตู้เสื้อผ้า
แม้ตอนนั้น ดวงแขจะอยู่ในชุดแต่งกายที่เป็นเพียงเสื้อคอกระเช้าเก่าซีด ทว่าความงามที่มีมาตามธรรมชาติ ในความเรียบง่ายนั้น… ก็ยังฉายแววผุดผาดไม่สร่างซา
ดวงแขมีคติในการดูแลตัวเองว่า ‘กินให้น้อย ทำงานให้หนัก… การทำงานคือการออกกำลังกายที่ดี’ จึงไม่แปลกเลยที่ทรวดทรงองเอวของเธอยังน่ามองอยู่เสมอ
หลายครั้งที่รัตติกรมองดูแม่ของตัวเอง แล้วก็อดที่จะตั้งคำถามไม่ได้ว่าผู้หญิงสวยๆ อย่างดวงแข… เหตุใดจึงมาเลือกเอาผู้ชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างพ่อของเธอมาเป็นสามี?
แต่รัตติกรก็ไม่เคยถามออกไปเลยสักครั้ง เพราะตระหนักดีถึงคำถามที่อาจจะเป็นการตอกย้ำ ทิ่มแทงใจในสิ่งผิดพลาดของชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง บางทีแม่ของเธอคงอยากลืม… มากกว่าที่จะไปพูดถึงมัน
“พ่อไม่กลับบ้านมากี่วันแล้วคะแม่”
หญิงสาวถาม แม้การที่ไม่มีพ่ออยู่ด้วย จะทำให้บ้านเงียบสงบและอบอุ่นขึ้น… เมื่อนึกถึงวันที่พ่อกลับมาในสภาพเมามายสุรา เคยมีหลายครั้งหลายคราที่ขาดสติถึงขั้นตบตีให้มารดาของเธอต้องเจ็บตัวหลายครั้ง
“คงจะอยู่ในบ่อนตามเคย”
ดวงแขตอบคำถามของลูกสาว น้ำเสียงหน่ายเนือยอย่างเห็นได้ชัด ชินชาเสียแล้ว… ว่ามันเป็นเรื่องเดิมๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างซ้ำๆ ซากๆ
รัตติกรชำเลืองมองดวงหน้างดงามได้รูปของมารดา ซึ่งแม้จะทาด้วยแป้งฝุ่นเพียงบางๆ แม้ไม่มีสีสันของลิปสติกที่ริมฝีปาก หากความงามก็ยังคงฉายแววออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ดุจเดียวกับใบหน้าสะสวยที่ถ่ายทอดมาถึงเธอผู้เป็นลูกสาวอย่างไม่ผิดเพี้ยน
รัตติกรวางถ้วยขนาดเท่าฝ่ามือ คว่ำทาบไปกับใบตองเขียวๆ ตรงหน้า กรีดด้วยมีดคัดเตอร์ตามรูปทรงกลมของปากถ้วย
เมื่อได้ใบตองกลมๆ ขึ้นมาสองอัน ก็วางใบตองสองแผ่นนั้นเข้าด้วยกัน ไขว้แนวให้ลายใบสลับกัน ป้องกันใบตองแตก ก่อนจะค่อยๆ จีบและหนีบด้วยแม็คหนีบกระดาษจนครบทั้งสี่มุม
“เดี๋ยวจ้ะ! ใช้ไม้กลัดดีกว่า”
ดวงแขท้วง ยื้อมือของลูกสาวที่กำลังจะกดแม็คลงที่มุมใบตอง
“ทำไมไม่ใช้แม็คหนีบล่ะคะแม่… เร็วด้วย สะดวกดีออก?” ลูกสาวแย้งไปตามจริง
“แม่ว่ามันรู้สึกขัดแย้งยังไงพิกล! ใบตองกับตัวแม็คที่เป็นโลหะมันเป็นวัสดุคนละอย่าง ใบตองมาจากธรรมชาติ ลูกแม็คมันเป็นโลหะ ดีไม่ดีหากแกะออกไม่หมด เผลอกลืนลงคอ ทิ่มแทงปากเอาได้ง่ายๆ แม่ห่วงคนกิน”
ดวงแขว่าไปตามประสาคนเป็นแม่ที่มองทุกอย่างได้อย่างละเอียดอ่อน อย่างคนที่มองโลกในแง่ดี และลึกซึ้งเสมอ
แต่มีอย่างหนึ่ง… ที่หล่อนยอมรับว่าไม่อาจจะมองได้ลึกซึ้ง… ทะลุปุโปร่ง นั่นก็คือการเลือกผู้ชายดีๆ สักคนมาเป็น ‘สามี’ และ ‘พ่อที่ดีของลูก’ นั่นเอง
ดวงแขเพียงแต่ครุ่นคิดในใจ ไม่ได้กล่าวออกมาให้เป็นการตอกย้ำซ้ำเติมความพลั้งพลาดของอดีตที่ผ่านๆ มา
“แต่แม็คมันเร็วดีกว่าใช้ไม้กลัดนะคะ” ลูกสาวแย้งขึ้นมาอีก
“แต่แม่ก็ไม่ได้ต้องการความรวดเร็วขนาดนั้น ชีวิตแม่ไม่ได้รีบร้อนอะไรนี่นา มันก็เดิมๆ ซ้ำๆ… เป็นของมันอยู่อย่างนี้ชั่วหน้าตาปี”
ดวงแขกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากก็อดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันชะตาตัวเอง
รัตติกรมองดูแม่ด้วยสายตาชื่นชม แม้ในการทำกระทงห่อหมก แม่ก็ยังมองได้ลุ่มลึกถึงสัจธรรมบางอย่างของชีวิต
ดวงแขเคยบอกกับรัตติกรเสมอว่าชีวิตมนุษย์ทุกวันนี้… ทุกคนล้วนแต่มุ่งมองไปข้างหน้า มองแต่ความสำเร็จของตน… ต่อสู้และแข่งขันกันจนไม่สนใจว่าในบางครั้งความสำเร็จเหล่านั้นมันได้มาจากการแก่งแย่งและเอารัดเอาเปรียบผู้คนรอบข้างหรือไม่?
คนที่มุ่งแต่จะไปให้ถึงความสำเร็จ… จนบางครั้งก็หลงลืม ละเลยกับชีวิตผู้คนรอบข้าง ก้าวเร็วจนลืมว่าระหว่างเส้นทางที่ก้าวไปนั้น… ยังมีความสุข และความงามเล็กๆ น้อยๆ เรียงรายอยู่สองข้างทางให้หยุดชื่นชม… แต่หลายคนก็ไม่สนใจ จึงไม่แปลกที่การตะเกียกตะกายเข้าถึงเส้นชัยมักจะมาพร้อมกับชีวิตที่เหนื่อยจนแทบจะเป็นลมล้มพับ เคร่งเครียดจนเป็นบ่อเกิดแห่งโรยภัยไข้เจ็บ และน่าเสียดาย… ที่หลายคนกลับมีชีวิตอยู่ชื่นชมกับความสำเร็จนั้นได้ไม่นาน
ครู่ต่อมา
โครม…!
เสียงอึกทึกโครมคราม ดังมาจากภายนอกบ้าน จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเอะอะ ด่าทอ เอ็ดตะโรโวยวายคล้ายคนกำลังวิวาท
ด้วยความตกใจ รัตติกรและดวงแขละมือจากงานในทันที
“เสียงอะไรน่ะแม่…?”
ถามพลางยื่นใบหน้าออกไปตามเสียงซึ่งฟังดูคล้ายคนกำลังมีปากเสียงกันรุนแรงอยู่ที่หน้าบ้าน หากไม่เพียงแค่ถกเถียงกัน เพราะเสียงที่ได้ยินนั้น มันคือการลงไม้ลงมือชัดๆ ยืนยันด้วยเสียงดังตุ๊บตั๊บตามมา
“พ่อ..!”