Chapter 1: ทะเลาะวิวาท
‘ด้วยชายที่รักดับสูญด้วยความอาดูรโถมถา
จึงถอดดวงใจให้ลูกยาไว้ปกปักรักษาเจ้าเอย’
รังเรขอ่านข้อความที่สลักไว้หลังจี้เงินสี่เหลี่ยมของสร้อยข้อมือที่มีพลอยสีแดงอมม่วงประดับอยู่เม็ดหนึ่ง เธอชอบอ่านข้อความนี้เวลาที่เหงา เหน็ดเหนื่อยกับชีวิต หรือแม้กระทั่งเวลาที่โกรธเกลียดพ่อแม่ที่ตายไปและทิ้งเธอไว้บนโลกอันโหดร้ายนี้เพียงลำพัง
สร้อยเส้นนี้น่าจะเป็นของมีค่ามากที่สุดที่แม่ทิ้งไว้ให้เธอก่อนตาย ดังนั้นถึงเธอต้องกัดฟันทนทำงานหรือชะลอการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยถึงสองปีเธอก็ยอม แต่เธอจะไม่มีทางขายสร้อยเส้นนี้เป็นอันขาด
“เลข! ยกเบียร์มาเติมหน่อย!” เสียงพี่เอฟ ผู้จัดการสาววัยกลางคนประจำซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ดังขึ้นมาจากทางประตูห้องเก็บสต๊อก
“ค่ะ!” สาวน้อยวัยยี่สิบปีสูดอากาศเข้าเต็มปอดก่อนจะยืดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง 158 เซนติเมตร เธอแกะยางรัดผมของเธอออกจากเส้นผมที่ยุ่งเหยิงก่อนจะใช้มือน้อย ๆ สางผมหยิกเป็นลอนอ่อน ๆ ยาวถึงกลางหลังของเธอแล้วรวบรัดมันใหม่ให้ทะมัดทะแมงมากขึ้นกว่าเดิม
รังเรขย่อตัวลงแล้วแบกลังเบียร์ซ้อนกันสามลังก่อนจะยกออกไปเติมตรงชั้นวางของ ยามเธอเดินผ่านลูกค้าที่แวะมาจับจ่ายซื้อของทุกคนต่างเหลียวหลังมองตามเธอ จะว่าเธอสวยหรือก็ใช่ แต่ไม่ได้สวยขนาดต้องเหลียวหลังมอง แม้จะมีหน้าตาหมดจด ปากนิดจมูกหน่อย แต่พอไม่มีเครื่องสำอางบนใบหน้าเธอก็ดูเป็นพวกที่สวยน่ารักแบบที่พบเห็นได้ทั่วไป ไม่ได้โดดเด่นแถมยังติดจะโทรมเพราะทำงานหนักอีกต่างหากแต่เธอรู้ว่าทำไมผู้คนเหล่านั้นถึงหันมามองเธอด้วยสายตาประหลาดใจปนตะลึง
ใครจะไปคิดว่าสาวน้อยรูปร่างแบบบางกับส่วนสูงไม่ถึง 160 จะยกลังเบียร์ทีละสามลังได้สบาย ๆ ล่ะ?
นอกจากสร้อยข้อมือเส้นสวยที่แม่ทิ้งไว้ให้รังเรขก็ต้องยอมรับว่าพลังราวช้างสารนี้ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งในมรดกที่ดีที่สุดจากพ่อและแม่ของเธอ หากไม่มีพลังแบบนี้เธอคงไม่ได้งานเป็นพนักงานของที่นี่แถมตั้งแต่เล็กจนโตก็อาจถูกพวกเด็กหัวโจกในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ารังแกอีกต่างหาก
ว่าแล้วก็ต้องขอบพระคุณแม่ของหนูมาก... หรือจะเป็นพ่อนะ? หนูไม่รู้หรอกว่าญาติฝ่ายไหนที่มียีนทรงพลัง รู้แต่ว่ามันมีประโยชน์กับชีวิตหนูที่บัดซบมาก ถ้าไม่มีแรงทุ่มช้างเหยียบม้าแบบนี้มีหวังไอ้เลขตายตั้งแต่ห้าขวบแล้ว
รังเรขคิดในใจพลางจัดวางขวดเบียร์เรียงกันบนชั้นแล้วยกลังที่เหลือปีนบันไดพับขึ้นไปไว้บนชั้นสูงสุดเผื่อเติมเมื่อของขาด หากเป็นคนอื่นงานแบบนี้คงใช้เวลานานกว่านี้ ไหนจะต้องยกลังเบียร์ลงจากรถเข็น กว่าจะเข็นมาถึง กว่าจะเติมของบนชั้นอีก กินเวลาน่าดูแต่สำหรับรังเรขมันใช้เวลาแค่นิดเดียวจริง ๆ
นอกจากหน้าที่การเติมของหนัก ๆ ลงไปบนชั้น รังเรขยังมีงานอื่นอันทำให้เธอต้องกลายเป็นแหล่งพึ่งหลักของคนในที่ทำงานด้วย
“ไอ้เลข! ออกมาดูหน้าซูเปอร์หน่อยแก! คนตีกัน!” เสียงใบบัวเพื่อนร่วมงานสาวและเพื่อนตั้งแต่วัยเยาว์ผู้ชักชวนรังเรขให้มาทำงานที่นี่ดังขึ้น
นั่นไง... ถึงเวลาที่หนูต้องไปปฏิบัติหน้าที่รองแล้ว
สาวน้อยคิดแล้วก้าวฉับ ๆ เดินไปทางด้านหน้าซูเปอร์มาร์เก็ตทันที ไม่มีท่าทีรีบร้อนแต่ก็ไม่ได้ชักช้ายืดยาด
พอออกไปถึงลานโล่งกว้างหน้าซูเปอร์มาร์เก็ตเธอก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงสองคนซัดหมัดใส่กันนัว ดีที่ตอนนี้ยังเช้ามาก ร้านรวงในห้างก็ยังไม่เปิด มีแต่ซูเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดให้บริการไวกว่าเพื่อนทำให้ไม่มีเหล่าไทยมุงมาดูเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทมากนัก
“รีบเข้าไปห้ามเขาสิเลข!” พี่เอฟหันมาตะโกนบอกเธอ
รังเรขกอดอกยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ครู่หนึ่ง
ชายหนุ่มสองคนที่กำลังฟัดกันอยู่ดูมีฝีไม้ลายมือไม่เบากันทั้งคู่ แถมยังหน้าตาหล่อจัดกันทั้งสองคน เสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูเป็นเสื้อผ้าราคาแพงของแบรนด์เนม ที่สำคัญรอบตัวคนทั้งคู่ต่างก็มีพรรคพวกของพวกเขายืนดูอยู่ด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมเจียมตัวฝั่งละ 2-3 คนแต่กลับไม่มีใครเข้าห้ามปรามการทะเลาะวิวาทของสองหนุ่มเลย
สองหนุ่มที่กำลังปล่อยหมัดตะบันหน้ากันอยู่ ฝ่ายหนึ่งสวมสูทสีดำหรูหรา หน้าตาหล่อเหลาคมคาย ปาก จมูก คิ้ว องค์ประกอบหน้าดูเข้มชัดเหมือนรูปปั้นเทพบุตร ส่วนชายหนุ่มอีกคนมีใบหน้าสวยงามเหมือนหญิงสาว ผมยาวเคลียบ่ามัดไว้ครึ่งหัว ท่าทางหน้าตาเหมือนนายแบบหรือพวกดาราเกาหลี แต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับแขนถึงข้อศอกสีฟ้าอ่อนและกางเกงยีนที่ดูก็รู้ว่าเป็นของแบรนด์หรูราคาแพงระยับ
แต่สิ่งที่สะดุดตารังเรขกลับไม่ใช่หน้าตาหล่อเหลาหรือเสื้อผ้าราคาแพงของสองหนุ่ม มันกลับเป็นบางอย่างที่แปลกออกไปของเขาทั้งคู่ต่างหาก... ตรงริมฝีปากหยักได้รูปน่าจูบของพวกเขาเหมือนมีเขี้ยวเสน่ห์งอกออกมายาวผิดปกติจากมุมปากทั้งสองข้างแถมยังโง้งตั้งขึ้น เสริมให้ใบหน้าหล่อดูน่าเกรงขามมากขึ้น
“เร็วสิเลข! เข้าไปแยกพวกเขาออกจากกันก่อน มัวแต่ยืนดูอยู่นั่นแหละ ไม่มีใครกล้าห้ามเลยเนี่ย ขืนทะเลาะกันมากไปกว่านี้มีหวังห้างพังอีกแน่” พี่เอฟสั่งสาวน้อยอีกครั้ง
รังเรขขมวดคิ้วบางแล้วคิดตามคำพูดของหัวหน้างาน แสดงว่าสองคนนี้เคยมีเรื่องกันที่นี่มาก่อนแล้ว เธอเองเพิ่งเริ่มงานกับทางซูเปอร์มาร์เก็ตได้ไม่ถึงสามเดือนดีเลยยังไม่รู้อะไรมาก
“หยุดได้แล้วค่ะ! ถ้าไม่หยุดก่อความวุ่นวายหนูจะโทรเรียกตำรวจนะคะ!” รังเรขเดินเข้าไปและตะโกนเสียงดังบอกสองหนุ่มแต่ไม่มีใครฟังเธอเลย แถมไม่พอพรรคพวกของสองหนุ่มกลับเดินมาดึงตัวเธอให้ออกห่างไกลจากรัศมีการวิวาทอีกต่างหาก
“ปล่อยพวกเขาไปสักแป๊บเถอะหนู เดี๋ยวเขาก็หยุดตีกันเอง” ชายร่างใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นในสูทสีดำซึ่งน่าจะเป็นพรรคพวกของหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคายใส่สูทราวนักธุรกิจพูดขึ้น
“แต่มาทะเลาะกันหน้าซูเปอร์มาร์เก็ตแบบนี้ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวลูกค้าไม่กล้าเข้ากันพอดี นี่ยังดีลูกค้ายังไม่เยอะ ถ้าสายหน่อยลูกค้าเยอะมีหวังทางซูเปอร์ไม่มีคนเข้าแน่” สาวน้อยประท้วงขึ้นมา
“เออ น่า ถ้าเสียหายเท่าไหร่เดี๋ยวพวกเขาก็เคลียร์ค่าเสียหายให้เองแหละ ไม่ต้องเป็นห่วง” ชายอีกคนที่ใส่แว่นดำและสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว รูปร่างใหญ่โตไม่แพ้กันเอ่ยขึ้นบ้าง
“ไม่ได้ค่ะ! นอกจากคนอื่นจะเดือดร้อน ถ้าเกิดคุณสองคนนั้นทำของในห้างพังหรือเผลอทำให้คนอื่นโดนลูกหลงจะแย่ค่ะ ถ้าพวกคุณเป็นเพื่อนเขาแล้วห้ามเขาไม่ได้ก็ถอยไปค่ะ หนูจะห้ามเอง” รังเรขบอกหนุ่มร่างใหญ่ทั้งสองคนแล้วทำท่าจะเดินเข้าไปหาสองหนุ่มหล่อที่ยังฟัดกันอยู่อุตลุด
“เฮ้ย! อย่าเข้าไปห้ามพวกเขาหนู! ถึงตายได้เลยนะ!” ชายร่างใหญ่ในสูทดำร้องบอกด้วยความตกใจแต่ไม่ทันเสียแล้ว รังเรขพุ่งตัวเข้าไปยังสองร่างสูงใหญ่ที่กำลังโรมรันพันตูกันอยู่ทันที
“หยุดค่ะ! หนูบอกให้หยุด! นี่หนูเตือนแล้วนะ” สาวน้อยพยายามดันร่างสองร่างให้แยกจากกัน ยิ่งมองใกล้ ๆ ยิ่งเห็นว่าพวกเขาหล่อลากมากกว่าพวกพระเอกหนังเสียอีก ที่สำคัญมีเขี้ยวเสน่ห์เหมือนกันอีกต่างหาก
“ไม่หยุดใช่ไหมคะ? หนูจะใช้กำลังแล้วนะ!” สาวน้อยเท้าสะเอวแล้วถามด้วยความโมโห
“ยัยจิ๋วนี่ใครวะไอ้เมฆ?! มาลากออกไปสิวะ เดี๋ยวก็โดนลูกหลงเจ็บหนักพอดี” หนุ่มรูปหล่อหน้าคมคายในชุดสูทตะโกนบอกพรรคพวกตัวเอง
“ไอ้เข้ม มาเอาเด็กนี่ออกไปสิวะ เดี๋ยวก็เจ็บตัวหรอก!” หนุ่มผมยาวหน้าสวยตะโกนบอกพวกตัวเองบ้าง
รังเรขถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะสูดอากาศเข้าเต็มปอดอีกครั้ง
ก็ยังดีที่ยังคำนึงถึงความปลอดภัยของคนอื่น...
“หนู-บอก-ให้.... ห-ยุ-ด!!!”
ตึง! ตึง!
ร่างใหญ่ของชายในสูทดำถูกจับทุ่มข้ามหัวของสาวน้อยทันที ส่วนหนุ่มหล่อผมยาวก็ถูกเธอเตะตัดขาจนล้มลง สองร่างของหนุ่มหล่อนอนกองกันอยู่กับพื้น
เหตุการณ์สงบลงทันที
สองหนุ่มจ้องมองหญิงสาวตัวเล็กที่พวกเขาไม่ได้เสียเวลาชายตามองเธอแม้แต่แวบเดียวก่อนหน้านี้
“ยัยจิ๋วนี่เป็นใครวะ?/ เด็กคนนี้.... มันเป็นใครกันวะ!?” สองหนุ่มลูบเนื้อตัวของพวกเขาแล้วจ้องใบหน้าสะอาดน้อยของสาวร่างเล็กพร้อม ๆ กันด้วยความงุนงง
หนูบอกให้หยุดไม่หยุดเองนะ เตือนแล้วนะ... แต่เอ๊ะ! ทำไมจู่ ๆ เขี้ยวเสน่ห์ของพวกเขามันหักหายไปไหนกัน? หรือตอนหนูทุ่มและเตะตัดขาพวกเขาดันทำฟันเขาหัก? หนูต้องจ่ายเงินค่าชดเชยให้เขาไหมเนี่ย?
อย่ามาถามหาเงินจากหนูนะ นอกจากสร้อยพลอยแดงที่พอจะมีค่าหนูก็มีแต่ตัวนี่แหละค่ะ ไม่มีเงินชดใช้นะ บอกเลย!