ตอนที่ 3

2912 คำ
เหตุการณ์เมื่อหนึ่งเดือนก่อน สำนักการสังคีตหวางเถียน โคมไฟน้อยใหญ่ถูกแขวนประดับไว้โดยรอบสำนักการสังคีตหวางเถียน จนละลานตาไปหมด แสงไฟส่องสว่างแข่งกันสาดแสงเผยให้เห็นผู้คนมากมายกำลังหลั่งไหลเข้าไปภายในกันอย่างคับคั่ง ซึ่งถูกออกแบบอย่างวิจิตรสวยงาม ตกแต่งด้วยฝีมือการแกะสลักและเล่นโทนสีเข้ม ขับแสงไฟหลากสีสันในยามเย็นย่ำครั้นเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ผู้คนมากมายเดินทางเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย มาเป็นหมู่คณะหรือแม้กระทั่งฉายเดี่ยว เพื่อมาผ่อนคลายความน่าเบื่อกับชีวิตประจำวันที่แสนจะวุ่นวายชวนปวดหัวให้เบาลงไปได้บ้าง ลูกค้ามีมากมายหลายระดับ ซึ่งสำนักการสังคีตหวางเถียน ให้บริการลูกค้าเท่าเทียมกันทุกระดับชนชั้น นอกจากนี้ยังมีห้องส่วนตัวสำหรับต้อนรับลูกค้าชนชั้นเชื้อพระวงศ์ ขุนนางระดับสูงและคหบดีผู้มั่งคั่งทั้งในเมืองหลวงและจากต่างเมือง “หลิงเอ๋อลูกค้าห้องโบตั๋น ต้องการฟังเสียงพิณกู่เจิ้ง” “ได้เจ้าค่ะ...เดี๋ยวข้าไป” เสียงของสตรีสาววัยแรกรุ่นรับคำ ก่อนจะเอื้อมถ้วยชายกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด สาเหตุเพราะนางวิ่งเข้าวิ่งออกตั้งแต่ช่วงค่ำจนถึงตอนนี้แทบไม่ได้หยุดพักเลย นั่งบรรเลงกู่เจิ้งและร้องเพลงขับกล่อม ให้กับบรรดาแขกที่เข้ามาเยี่ยมชมและหาความสำราญภายในหอสังคีตของนาง ด้วยเพราะอยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของบิดาเพื่อลดค่าใช้จ่ายของนักแสดงหรืออาจจะทั้งหมดลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย เพราะสถานะทางการเงินของตระกูลหวางในเวลานี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว “ไหนดูหน่อย แต่งตัวให้เรียบร้อย ห้องโบตั๋นเป็นลูกค้าคนสำคัญของหวางเถียนเลยนะ”เสียงของสตรีวัยกลางคนพูดพร้อมกับจัดเผ้าจัดผมที่ยุ่งเหยิงให้กับหลานสาวคนงามของนาง หวางเย่หลิงสวมอาภรณ์สูงค่าแตกต่างไปจากนางรำและนักดนตรีคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในหอสังคีตดังกล่าวอย่างเห็นได้ชัด เสื้อคอปกตั้งสูงกลัดกระดุมบริเวณลำคอ ตัวเสื้อมีความยาวคลุมสะโพกบน ชายแขนเสื้อกว้างปักลวดลายด้วยไหมสูงค่าหลากสีสัน สวมทับกระโปรงยาวถึงข้อเท้าสีน้ำเงินเข้มแวววาวจับจีบด้านข้างทั้งซ้ายและขวาปักลวดลายอย่างวิจิตรงดงามตลอดทั้งผืนผ้า อาภรณ์ดังกล่าวช่างขับกับเรือนร่างทรงนาฬิกาทรายอันแสนงดงาม ทำให้เจ้าของร่างช่างยั่วยวน และยิ่งทำให้นางแลดูโดดเด่นกว่าสตรีนางใดภายในหอสังคีตนั้นทั้งหมด ด้วยเพราะมีผิวกายที่ขาวเนียนละเอียดและดวงตากลมโต ใบหน้าสวยถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางบางเบา รับกับผมสีน้ำตาลเข้มที่ถูกเกล้าขึ้นและจัดแต่งอย่างสวยงามพรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องประดับที่สูงค่า เพียงแค่พิศแรกก็ล่วงรู้ทันใดว่าเป็นสตรีจากชนชั้นสูง อาภรณ์ที่งดงามอยู่แล้วยิ่งมาอยู่บนเรือนร่างของหวางเย่หลิง จึงเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจยิ่งนัก “งาม!งามที่สุดๆ งามมากจริงๆเลยหลิงเอ๋อของอา รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณแบบนี้ ไปหลอกผู้คนว่าเป็นสตรีชาวบ้านธรรมดาทั่วไปไม่มีผู้ใดหลงเชื่อเจ้าหรอกนะรู้หรือเปล่า แค่แวบแรกก็รู้เลยว่าเจ้าแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางแบบนี้คุณหนูจากตระกูลชั้นสูงทั้งนั้นแหละ หาใช่นักดนตรีหรือนางรำที่จะมาคลุกอยู่ในหอสังคีตเช่นนี้ เฮ้อ! พี่ใหญ่นะพี่ใหญ่ไม่น่าเกิดเรื่องกับสำนักคุ้มกันของท่านเลย ลูกสาวแสนสวยของท่านและหลานสาวของข้าจึงต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้”ท่านอาสาวบ่น หวางเย่หลิงได้แต่ส่งยิ้มบางเบาเมื่อได้ยินท่านอาของนางกล่าวออกมาเช่นนั้น นางไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วคือบุตรีเพียงคนเดียวของหวางเจี้ยนเฉิง ทั้งนี้เพื่อสามารถทำงานในหอสังคีตนี้ได้อย่างราบรื่น เพราะโดยปกติก็คอยดูแลสำนักการสังคีตนี้อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว นางเป็นเจ้าหอคอยดูแลความเรียบร้อยและบัญชีรายรับ รายจ่ายของที่นี่ทั้งหมด แต่นางดูแลเฉพาะเรื่องเอกสารที่ถูกส่งไปรายงานที่จวนไม่เคยย่างกายเข้ามาในสำนักการสังคีตเช่นเดียวกับสำนักคุ้มกันที่นางก็มีหน้าที่ดูแลบัญชีรายรับรายจ่ายเช่นกัน ครั้นเกิดเหตุการณ์เงินห้าหมื่นตำลึงทองสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อสิบห้าวันก่อนทำให้หวางเจี้ยนเฉิงเป็นทุกข์ยิ่งนัก เพราะหลายร้อยชีวิตของตระกูลหวางจะต้องพบจุดจบด้วยโทษประหารกันทุกคนหากไม่สามารถหาเงินห้าหมื่นตำลึงทองนำส่งท้องพระคลังหลวงได้ตามกำหนด ด้วยเหตุนี้จากที่ไม่เคยย่างกายเข้ามาในสำนักการสังคีต นางจึงจำเป็นต้องเข้ามาดูแลด้วยตัวเองเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวดและตัด ลด สิ่งใดที่ไม่จำเป็นออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ “ท่านอาก็พูดเกินไปเจ้าคะ หลิงเอ๋อก็แค่คนธรรมดาเท่านั้น ไม่เห็นจะแปลกและแตกต่างจากผู้อื่นตรงไหน อย่างไงก็อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าข้าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไรก็เพียงพอ เพื่อความสะดวกในการทำงานของข้า และเพื่อช่วยท่านพ่อลดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าตัวของเหล่านางรำและนักดนตรีรวมไปถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของที่นี่ อย่าลืมนะเจ้าคะท่านอา”นางตอบกลับไป “ก็แหมพูดนะง่ายแต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีผู้ใดเชื่อเสียเท่าไรหรอกหลิงเอ๋อ ผู้หญิงที่งดงามมากถึงเพียงนี้ไม่มาอยู่ในสถานที่เช่นนี้หรอก ออกเรือนไปตั้งแต่ครบวัยปักปิ่นโน้นแล้ว นี่เจ้าปีนี้อายุก็ 17 แล้วนะ อยู่ในวัยที่จะต้องออกเรือนไปกับผู้ชายที่มาจากชาติตระกูลสูง มั่งคั่งหรือเป็นนักปราชญ์ที่มีความรู้มากมาย”นางพูดพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “และอีกอย่างนะส่วนใหญ่ก็เข้าวังถวายตัวเป็นนางสนมเพื่อหน้าตาและเกียรติยศของตระกูล ไม่มาทำงานให้ตัวเองต้องเหนื่อยแบบนี้หรอก อีกอย่างสถานที่แบบนี้อันตรายยิ่งนัก หากเกิดไปพบกับกลุ่มขุนนางที่มีอำนาจภายในราชสำนักละก็ มีหวังได้นำเจ้าไปเป็นนางบำเรอจะทำอย่างไง”คนเป็นอาอธิบายให้หลานสาวฟัง “หลิงเอ๋อเข้าใจเจ้าค่ะท่านอา แต่พวกคนเหล่านั้นทำได้ก็แค่คิดเท่านั้น เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามหลิงเอ๋อจะไม่มีทางตกอยู่ในสภาพแบบนั้นอย่างแน่นอน ท่านพ่อจะต้องพยายามปกป้องข้าอย่างสุดกำลัง ข้าเชื่อเช่นนั้น”นางตอบกลับไปพร้อมก้าวเดินออกจากห้องทำงานของเจ้าหอ โดยมีสายตาของอาสาวมองตามหลัง พานหยวนอี้หรืออาห้า ยืนกอดอกมองตามร่างหลานสาวคนสวยด้วยความกังวล ด้วยเพราะไม่ว่านางจะเดินผ่านไปที่แห่งไหน หวางเย่หลิงสะกดสายตาของทุกคู่ให้หยุดมองมาที่นางเป็นจุดเดียวกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งสตรีด้วยกันเอง สายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมมองตามหลังหลานสาวของนางตาไม่กะพริบ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “แย่แล้ว! ข้าลืมไปว่าห้องโบตั๋นจวิ๋นอ๋องเข้ามาหาความสำราญในวันนี้ ถ้าเห็นหลิงเอ๋อแล้วละก็ นางงดงามมากขนาดนั้นมีหวังโดนหมายตาเอาไว้แน่เลย”ท่านอาห้ารีบโกยอ้าววิ่งตามหลานสาวของนางไปอย่างรวดเร็ว ห้องโบตั๋น “ขออนุญาตเจ้าค่ะ”สตรีสาวแสนสวยพูดอย่างสุภาพบริเวณหน้าประตูทางเข้าห้องโบตั๋น แอดดดดด!!! เสียงบานประตูทั้งสองข้างถูกเปิดออกกว้างจากคนที่อยู่ภายในพร้อมเสียงบุรุษดังขึ้น “นักดนตรีพ่ะย่ะค่ะ”เสียงของทหารองครักษ์รายงาน ก่อนจะหันกลับไปเปิดประตูที่สองซึ่งอยู่ตรงกับห้องบรรเลงพิณที่สร้างแยกออกจากกันเป็นสัดส่วน บริเวณพื้นสร้างยกระดับขึ้นมาอีกประมาณห้าฉื่อให้สูงขึ้น โต๊ะตัวยาวเหมาะสำหรับวางกู่เจิ่งตั้งอยู่ตรงกลางพร้อมเก้าอี้สำหรับนั่งพื้นวางไว้อย่างครบครัน แอดดด!!! บานประตูที่สองค่อยๆ เปิดออกกว้างเพื่อให้นักดนตรีซึ่งเป็นสตรีวัยแรกรุ่น คะเนอายุแล้วเพิ่งจะผ่านพ้นวัยปักปิ่นได้ไม่กี่ปี หวางเย่หลิงก้าวเข้ามาภายในห้องดังกล่าวพร้อมกับอุ้มกู่เจิ่งคู่กายของนางเข้ามาด้วยพร้อมกัน ใบหน้าแสนสวยมีผ้าคลุมหน้าปิดคลุมเอาไว้ตั้งแต่ดั้งจมูกลงมาทั้งหมดเพื่ออำพรางรูปโฉมของนาง หวางเย่หลิงก้มหน้าก้มตาวางกู่เจิ่งคู่กายโดยไม่ได้สบสายตากับกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกค้าระดับสูงเลยแม้แต่น้อย นางสังเกตเห็นผู้ชายสวมชุดทหารองครักษ์หลายคนยืนเรียงรายอยู่รอบข้าง โดยมีผู้ชายเพียงคนเดียวนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่เท่านั้น แลดูราวกับว่าแขกคนนี้เป็นผู้มีอิทธิพลหรือเป็นบุคคลสำคัญจากทางราชสำนักเป็นแน่ จวิ้นอ๋อง เชื้อพระวงศ์ระดับสูงเสด็จออกจากจวนอ๋องเพื่อมาหาความสำราญในสำนักสังคีตหวางเถียน แต่จุดประสงค์ในการมานั้นก็เพื่อสนทนากับรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร จางหยุนฟ่านหรืออิ๋งชวนโหวนั่นเอง เพื่อแลกเปลี่ยนหาข่าวสารที่สำคัญแก่กัน ในขณะเดียวกันบานประตูห้องโบตั๋นพลันถูกเปิดออกกว้างอีกครั้ง พร้อมร่างสูงใหญ่ของบุรุษหนุ่มรูปงาม ใบหน้าชวนฝันยิ่งนัก สวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มเนื้อดีราวชาวยุทธ์ ก้าวเข้ามาภายในห้องดังกล่าวพร้อมกับร่างสูงโปร่งของบุรุษอีกห้าคนซึ่งทั้งหมดสวมอาภรณ์ดำราวชาวยุทธ์เดินตามหลังมาติดๆ ซึ่งล้วนเป็นผู้ติดตาม พร้อมเสียงของบุรุษสวมอาภรณ์สีน้ำเงินดังขึ้น “น่าแปลกยิ่งนักที่ครั้งนี้จวิ้นอ๋องต้องการสนทนากับข้า ท่ามกลางเสียงบรรเลงเพลงพิณ”เสียงดังกล่าวทำให้จวิ้นอ๋องที่กำลังทอดพระเนตรหวางเย่หลิง ในคราบนักดนตรีกำลังจัดเตรียมกู่เจิ่งของนางเพื่อบรรเลงเพลงพิณ “อ้าว! หยุนฟ่านเจ้ามาแล้วเหรอ..รีบนั่งลงก่อนสิ...เด็กๆ ไปบอกให้ยกอาหารและกับแกล้มมาได้แล้ว”ประโยคสุดท้ายหันกลับไปสั่งกับคนสนิทที่ติดตามเสด็จ “วันนี้ข้าเอาเหล้าเจี้ยนหนานซุนติดตัวมาด้วย ตั้งใจนำมาดื่มฉลองกับอิ๋งชวนโหว ที่ได้รับปูนบำเหน็จความดีความชอบจากฝ่าบาท”พูดพลางรินสุราจากขวดลงในถ้วยเหล้าอย่างรวดเร็ว หากแต่สายตากลับทอดพระเนตรไปทางนักดนตรีที่กำลังจะบรรเลงกู่เจิ่งอยู่ตลอดเวลา ท่ามกลางสายตาของจางหยุนฟ่าน สังเกตเห็นอาการดังกล่าวของจวิ้นอ๋องที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผยและเห็นได้อย่างชัดเจนเช่นนั้น ก่อนจะคว้าถ้วยเหล้ามาถือเอาไว้ในมือพร้อมเอ่ยขึ้น “ดูท่าจวิ้นอ๋องจะไม่มีกะจิตกะใจที่จะสนทนากับข้าเสียแล้วกระมัง เพราะมัวแต่จับจ้องแต่นักดนตรีนางนั้นตลอดเวลา ถ้าเช่นนั้นข้าคิดว่าโอกาสหน้าค่อยสนทนากันใหม่จะดีกว่า เหล้าถ้วยนี้ถือเป็นการดื่มขอบคุณที่เชิญข้ามา”กล่าวพร้อมยกถ้วยเหล้ากระดกรวดเดียวจนหมด ถ้อยวาจาดังกล่าวทำให้จวิ้นอ๋องรู้สึกตัว ละสายตาจากนักดนตรีหันกลับมาทอดพระเนตรสหายที่ร่วมคบหากันมาอย่างช้านานพลางมีรับสั่ง “อะไรกันหยุนฟ่าน! เหตุใดเจ้าจึงจะรีบกลับไม่ง่ายเลยที่เจ้าและข้าจะหาเวลามาสนทนาแลกเปลี่ยนกันเช่นนี้ ข้ามีข่าวสำคัญจากวงในมาบอกแก่เจ้าหลายเรื่องเลยเชียวนะ”จวิ้นอ๋องรับสั่งพร้อมยกถ้วยสุราขึ้นจิบอย่างละเมียดละไม พร้อมเสียงบรรเลงกู่เจิ่งค่อยๆ ดังขึ้นอย่างช้าๆ เสียงบรรเลงกู่เจิ่งที่กำลังดังก้องกังวานขึ้นมานั้น ทำให้จางหยุนฟ่าน หันกลับมามองนักดนตรีสาวที่กำลังบรรเลงเพลงพิณดังกล่าวทันที และถึงกับนิ่งงันไปโดยพลันเพื่อฟังเสียงกู่เจิ่งให้แจ่มชัดว่าหูไม่ฝาด บทเพลงที่ถูกกรีดกรายออกมาจากสายพิณทุกเส้นเสียงนั้น สะกดทุกคนที่อยู่ภายในห้องต่างพากันนิ่งฟังด้วยกันทุกคน หวางเย่หลิงกรีดกรายนิ้วเรียวสวยไปตามสายพิณอย่างชำนาญ วันนี้นางเลือกบทเพลงที่เคยได้รับจากอาจารย์หญิงที่สอนเล่นกู่เจิ่งในวัยเด็กนำมาเล่นในวันนี้ ด้วยเพราะท่านอาห้าบอกว่าเป็นแขกคนสำคัญของหอสังคีต จึงตั้งใจบรรเลงเพลงพิณบทนี้ให้แขกคนสำคัญภายในห้องซึ่งล้วนมีแต่บุรุษด้วยกันทั้งสิ้น ก่อนจะจบลงท่ามกลางเสียงชื่นชมของจวิ้นอ๋องดังขึ้น “ดื่มสุราพร้อมฟังเสียงบรรเลงเพลงพิณที่ไพเราะจับใจ ช่างยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้ นักดนตรีหญิงผู้นี้ช่างเล่นกู่เจิ่งได้ยอดเยี่ยมเสียนี่กระไร”รับสั่งพร้อมทอดพระเนตรร่างสตรีตรงหน้าที่กำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ เตรียมนำกู่เจิ่งไปบรรเลงต่อที่ห้องลูกค้าลำดับต่อไปที่จองเอาไว้ “นั่นเจ้าจะไปไหน...ข้ายังไม่สั่งให้หยุดเล่น เหตุใดจึงทำราวกับว่าจะออกไปจากห้อง แล้วนั่นเอากู่เจิ่งไปด้วยทำไม” รับสั่งของจวิ้นอ๋องทำให้ร่างของหวางเย่หลิงหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบอธิบายกลับไป “ข้าน้อยบรรเลงครบสามบทเพลงแล้วเจ้าค่ะ ดังนั้นจึงหมดหน้าที่นี้แล้ว อีกทั้งยังมีแขกห้องอื่นกำลังรอข้าน้อยไปบรรเลงกู่เจิ่งให้ฟัง จึงไม่อาจอยู่ต่อไปอีกได้”หวางเย่หลิงอธิบายเหตุผลออกไปอย่างชัดเจน หากแต่คนฟังมีหรือจะยอมด้วยเพราะต้องการให้นางอยู่ด้วยตลอดเวลานั่นเอง นอกจากจะชื่นชอบเสียงบรรเลงเพลงพิณแล้วยังต้องการเห็นโฉมหน้าและยังต้องการนางไปอุ่นเตียงด้วยเช่นกัน “ถ้าเช่นนั้นเจ้าเข้ามาหาข้า! จะให้รางวัลที่บรรเลงเพลงได้ไพเราะจับใจข้ายิ่งนัก”จวิ้นอ๋องรับสั่งเชิงบังคับ ท่ามกลางสายตาของจางหยุนฟ่านครั้นได้ยินเช่นนั้น ดวงตาสีนิลคมกล้าหันกลับไปสบพระเนตรคมที่เปล่งประกายความเจ้าเล่ห์เอาไว้เห็นได้อย่างชัดเจน และแน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นที่ต้องการจะครอบครองนักดนตรีสาวนางนั่นเป็นแน่ ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาทันที “นี่ท่านกำลังจะทำอะไรจวิ้นอ๋อง หากคิดที่จะนำนางกลับจวนอ๋องไปด้วย ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าจงเลิกคิดเสียเพราะนักดนตรีนางนี้เป็นผู้หญิงของข้า”จางหยุนฟ่านบอกอีกฝ่ายกลับไป และถ้อยคำดังกล่าวทำให้จวิ้นอ๋องหรี่พระเนตรลง หันกลับมาสบตากับอีกฝ่ายราวกับว่ากำลังประเมินคำพูดว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ที่ผ่านมานั้นเป็นเรื่องจริง “ข้าก็เพิ่งจะรู้ว่านางคือผู้หญิงของอิ๋งชวนโหว ไม่น่าเชื่อเลยว่าจอมอำมหิตแห่งกู้กงมีจิตใจฝักใฝ่ในนารีเหมือนกับผู้อื่นเป็นด้วยอย่างนั้นเหรอ ช่างน่าแปลกเสียจริง”จวิ้นอ๋องรับสั่งถามกลับไป “จวิ้นอ๋องยังไม่คุ้นชินนิสัยของข้าอีกเหรอ ท่านและข้าต่างคบหาเป็นสหายกันมานานหลายปี ย่อมล่วงรู้ดีว่าข้าเป็นเช่นไร หากสิ่งใดที่ข้าพูดออกไปไม่ใช่เรื่องจริงมีหรือที่คนเช่นข้าจะพูดออกมา ท่านเองก็น่าจะล่วงรู้ดี เช่นนั้นจงล่วงรู้เอาไว้เถิดว่านักดนตรีผู้นี้คือผู้หญิงของข้าก็เพียงพอแล้ว”ประโยคสุดท้ายย้ำเสียงเน้นหนักอย่างชัดถ้อยชัดคำ บ่งบอกให้อีกฝ่ายล่วงรู้ว่าอย่าได้คิดกระทำเกินเลยกับคนของอิ๋งชวนโหวอย่างเด็ดขาด หึหึหึหึ!!!! เสียงหัวเราะดัง ลอดออกมาจากลำคอของอีกฝ่ายครั้นได้ยินเช่นนั้น แต่เพื่อการใหญ่จำต้องอดทนและอยู่อย่างสงบ เพราะจางหยุนฟ่านเป็นขุนนางที่จักรพรรดิหยงเล่อโปรดปรานที่สุด และกำลังมีอิทธิพลมากอยู่ในราชสำนักเวลานี้เหลือเพียงแค่รอคอยเวลาขึ้นเป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรเท่านั้น ซึ่งในเวลานี้ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรคนปัจจุบันกำลังป่วยหนักด้วยโรคประจำตัว คาดว่าจะรั้งอยู่ได้อีกไม่นานเกินสามเดือน “ข้าคงจะดื่มสุรารอเจ้ามากเกินไปหน่อย จะออกไปเดินเล่นชมสวนหย่อมเพียงครู่ แล้วจะกลับมาสนทนาเรื่องสำคัญที่จะต้องหารือด้วยกันในวันนี้อีกครั้ง” รับสั่งพลางรีบลุกขึ้นจากพระเก้าอี้เสด็จออกไปจากห้องดังกล่าวอย่างรวดเร็ว โดยมีองครักษ์เฝ้าติดตามเสด็จไปทุกฝีก้าว ด้วยความขุ่นเคืองพระทัยอย่างยิ่งยวดแต่พยายามเก็บพระอาการเอาไว้อย่างที่สุด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม