ตอนที่ 7 แสงสว่าง Part.1

1496 คำ
ตอนที่ 7 แสงสว่าง [Talk องศา] ผมได้แต่มองตามภาพของวาโยกอดคอกับเพื่อนชายคนหนึ่งออกไป ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ตอนนี้มันอัดแน่นอยู่ในหัว ผมก็ดีใจนะที่ได้เจอเธออีกครั้งแม้มันจะมาในรูปแบบแปลกๆ ดีใจมากเลยล่ะ แต่ในความดีใจนั้นมันก็อดทำให้ผมรู้สึกน้อยใจไม่ได้เลยเหมือนกัน น้อยใจที่วาโยจำผมไม่ได้ หรือจะให้ถูกก็คือ...เธอคงไม่เคยจดจำผมเลยด้วยซ้ำ เรื่องราวจุดเริ่มต้นของผมที่มีกับคนหน้าใบหวานที่เพิ่งออกไปนั้น มันเริ่มขึ้นเมื่อตอนที่ผมเข้าเรียนต่อระดับชั้นปริญญาโท จุดเริ่มต้นที่คงมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น ที่จำมันได้ดี เพราะความที่ผมเป็นลูกคนเดียว บวกกับพ่อและแม่มักจะยุ่งวุ่นวายกับธุรกิจการงานของท่าน ทำให้ผมค่อนข้างเป็นคนเก็บตัว พูดน้อย และไม่ค่อยเข้าหาใครไม่เป็น แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากมีเพื่อนนะ ก็อยากมีนั่นแหละ แต่ผมแค่ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดคุยกับใครยังไงเท่านั้นเอง "พ่อครับ แม่ครับ ผมขอไปเรียนต่อโทที่เมืองนอกได้ไหม" ประโยคสั้นๆ ที่ผมตัดสินใจเอ่ยบอกแก่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองในวันที่คว้าปริญญาตรีมาได้แล้ว เพราะคิดว่าหากผมไปเรียนที่อื่นคงจะเหมือนเปิดโลก ผมคงจะกล้าเข้าหาคนอื่น หรือไม่ก็คงมีเพื่อนต่างชาติที่อยากเข้ามาคุยกับผมบ้าง ซึ่งท่านทั้งสองก็ไม่ได้ว่าอะไร หรือความจริงอาจจะไม่ได้สนใจผมเลยด้วยซ้ำ แต่แล้วนั่นก็ทำให้ผมรู้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดถนัด เพราะแทนที่ผมจะได้เพื่อนใหม่อย่างน้อยสักคนก็ยังดี กลับกลายเป็นว่าเหงาและเหมือนไร้ตัวตนมากขึ้นไปอีก 'หมอนั่นทำไมถึงได้ไร้ชีวิตขนาดนั้น ถามคำตอบคำ น่าเบื่อชะมัด' 'แล้วแกจะไปยุ่งกับหมอนั่นทำไม ในรุ่นเราไม่มีใครอยากไปใกล้เจ้าแว่นนั่นสักคน' 'ฉันก็แค่อยากทำความรู้จัก ใครจะคิดว่าจะมืดมนอะไรขนาดนั้น' ประโยคพวกนี้จากเพื่อนชาวต่างชาติที่อยู่ในรุ่นเดียวกันกับผม เป็นอะไรที่ผมได้ยินมาแทบจะนับครั้งไม่ถ้วนก็ว่าได้ ถึงพวกเขาจะไม่ได้เอ่ยออกมาต่อหน้า แต่เชื่อไหม การมาได้ยินพวกเขากำลัง 'นินทา' ผมอยู่แบบนี้ มันเจ็บกว่ากันเป็นสิบเท่า แต่จะให้โทษพวกเขาอย่างเดียวก็คงไม่ได้ มันต้องโทษตัวผมด้วยที่ทำตัวมืดมนและไม่กล้าพอจะเข้าหาใคร ผมจึงตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่คนเดียวไปแบบนั้นแหละ แล้วให้ตัวหนังสือเป็นเพื่อนคลายเหงาเอา แต่มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น... "ฮา ฮ่า ฮ่า ดูดิว่ะ เหมือนลูกหมาตกกระป๋องแป้งเลย" เสียงหัวเราะของฝรั่งตัวโตคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับผมดังขึ้นอยู่ข้างหู ตามมาด้วยเสียงของเพื่อนในห้องที่เริ่มหัวเราะขบขัน เมื่อมองมายังผมราวกับกำลังดูตัวตลกตัวหนึ่ง ใช่ครับ ผมกำลังเป็นตัวตลกของพวกเขา จากการที่ถูกกระป๋องแป้งผสมน้ำราดลงมาบนหัวทั้งถัง จากฝีมือของฝรั่งตัวโตที่ยืนอยู่ข้างตัว เสียงหัวเราะดังเสียดแก้วหูเหลือเกินในความรู้สึก มันทำให้ผมรู้สึกทั้งอับอายและนึกโกรธเจ้าพวกนี้ไม่น้อย แต่ผมก็ทำได้แค่ข่มใจตัวเองไว้เท่านั้น หนึ่งคือผมไม่อยากเดือดร้อนหากเกิดการวิวาทขึ้น และสองการมีเรื่องกับเจ้าถิ่นมันคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเลือกจะเงียบ และก้มหน้าก้มตาอย่างเจียมตัวเข้านั่งประจำที่ของตัวเอง แต่ก็มิวายถูกคนอื่นๆ แกล้งอยู่ดี กระดาษที่ถูกกำขยุ้มเข้าหากันจนเป็นก้อนกลมถูกปาใส่หัวผม หลายต่อหลายครั้งราวกับผมเป็นถังขยะของพวกนั้นก็ไม่ปาน เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานดังขึ้นจากกลุ่มคนกระทำอย่างที่ไม่นึกถึงใจคนโดนสักนิด... จนกระทั่งเสียงหนึ่งที่เหมือนระฆังช่วยชีวิตผมจากเรื่องราวเลวร้ายตรงหน้าก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะสนุกสนานของคนอื่น "นี่ เลิกเล่นกันได้แล้วน่า เดี๋ยวอาจารย์เห็นเข้าก็ซวยกันหมดหรอก" ผมพยายามจะเหลือบตาไปมองคนห้าม แต่เพราะมีกลุ่มนักเรียนชายหลายคนห้อมล้อมตัวเธออยู่ ตอนนั้นผมเลยไม่ทันจะได้เห็นหน้าคนใจดีคนนั้นเลย และไม่ว่าเธอจะตั้งใจห้ามหรือไม่ก็ตามแต่ เพราะคำพูดรื่นหูนั่นขับให้เพื่อนเริ่มหยุดก่อกวนผมไปชั่วครู่ ถึงจะไม่นาน แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องทนอับอายไประยะหนึ่ง 'ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครนะ อยากรู้จักจัง' และอย่างที่ผมบอก เวลาอิสระของผมมันมีไม่มากเลย พอผ่านไปสักระยะเจ้าพวกอันธพาลนี่ก็หาเรื่องแกล้งตัวตลกอย่างผมอีก จนผมแทบทนไม่ไหว นึกอยากกลับบ้านให้มันรู้แล้วรู้รอดไปซะ แต่มันก็คงเป็นได้แค่ความคิดเท่านั้น ที่ผมทำได้คือพยายามเลี่ยงเจ้าพวกนี้และก้มหน้าตั้งใจเรียนต่อไปเท่านั้น และก้มหน้าเป็นตัวตลกให้พวกมันแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะอย่างน้อยพวกมันก็ยังไม่ถึงกับใช้กำลังรุนแรงกับผมเหมือนที่เคยแอบกลัว "Hey, stop it. (เฮ้ย หยุดนะเว้ย!)" ใครมันจะไปหยุดกันวะ ผมคิดในใจแล้วซอยเท้าวิ่งหนีให้ถี่ขึ้น เพื่อหลีกพ้นจากการตามล่าตัวของเจ้าฝรั่งผมทองกลุ่มเดิม และถ้าถามว่าผมไปทำอะไรให้มันน่ะเหรอ ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย แค่ไม่ยอมให้เงินมันตามที่รีดไถเท่านั้น สองขาของผมก้าววิ่งหนีสุดชีวิต ก็รู้ว่าวันอื่นคงจ้องโดนแกล้งมากกว่าเดิม แต่วันนี้ขอให้รอดพ้นไปหน่อยแล้วกัน และในตอนที่ผมทั้งเหนื่อยและตื่นเต้นว่าจะทำยังไงให้หลบพ้นเจ้าบ้าพวกนี้ได้ แขนของผมก็ถูกใครคนหนึ่งดึงไว้เสียก่อน ในตอนที่กำลังจะวิ่งผ่านมุมหนึ่งของมหาลัย "มาหลบตรงนี้" ผมได้ยินแค่เสียงเท่านั้น และใช่เสียงของผู้หญิงคนเดิมที่เคยช่วยผมไว้ในห้องวันก่อน ผมอยากหันไปมองหน้าเธอนะ แต่เธอก็กดตัวผมไว้กับมุมอับมุมหนึ่งของบริเวณที่เธอนั่งอยู่ แล้วก้าวออกไปทันทีราวกับว่ากำลังจะไปรับหน้าเจ้าพวกนั้น สิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้จักเธอมากขึ้นอีกนิด คือกลิ่นกายที่หอมติดจมูกของเธอนั่นเอง กลิ่นหอมที่ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ เสียงฝีเท้าหลายคู่ที่ตรงเข้ามาทำให้ผมหลุดจากภวังค์ตรงหน้า แล้วกลับมาอยู่ในอาการตื่นตระหนกนกอีกครั้ง ขอล่ะ ขอให้ไอ้พวกบ้านี่มันวิ่งเลยไปทางอื่นทีเถอะ "โย เห็นเจ้าลูกหมาผ่านมาทางนี้ไหม" ใจผมแทบหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มกับคำถามของเจ้าพวกนั้น ที่ดังห่างไม่ถึงสิบเมตร ในใจเต้นตุบตับว่าถ้ามันเจอ จะหาเรื่องแกล้งอะไรผมอีก แล้วเมื่อครู่มันเรียกคนตัวหอมนี่อย่างสนิทสนมกันมันคืออะไร หรือจริงๆ แล้วเธอจะวางแผนกับไอ้พวกบ้านั่นเอาไว้ก่อนแล้วนะ ให้ตายเถอะผมจะซวยถึงขนาดนั้นกันเลยเหรอ แต่แล้วผมก็เริ่มยิ้มออกได้อย่างมีความหวัง ว่าจะรอดพ้นจากสถานการณ์ตอนนี้ เมื่อคนตัวหอมที่พาผมเข้ามาซ่อน เอ่ยตอบพวกมันออกไป "นู้น เราเห็นเขาวิ่งไปทางนู้น ว่าแต่พวกนายจะตามหาเขาทำไมล่ะ" "เราแกล้งรีดไถเงินมัน แต่เจ้าแว่นนั่นมันดันไม่ยอมแถมด่าเราอีกต่างหาก น่าเจ็บใจนัก เจอตัวต้องแกล้งให้หนักกว่าเดิม ไปก่อนนะ ตอนเย็นเจอกัน" เจ้าบ้าที่คาดโทษผมบอกพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งออกไปอีกครั้ง ทำเอาผมแอบเป่าปากด้วยความโล่งใจออกมา "ปลอดภัยแล้วออกมาเถอะ" น้ำเสียงของเธอที่ผมจำไม่เคยลืม มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับวาโย แต่สำหรับผม เธอเหมือนกับแสงสว่างในคืนอันมืดมิดที่มาในรูปแบบของหญิงสาวผมสีน้ำตาลยาวสลวยและหอมยิ่งกว่ากลิ่นใดในโลก ***
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม