ตอนบทที่ 3.1 เด็กน้อยที่คุ้นหน้า

2495 คำ
บทที่ 3.1 เด็กน้อยที่คุ้นหน้า  ยามตะวันทอแสงรางเลือน เซี่ยอวี้เฉินลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาเสร็จผู้เป็นมารดาก็เอ่ยบบอกให้เขาเดินตามนางออกมาที่หลังเรือน ยามที่มาถึงหน้าเล้าไก่ก็ส่งตะกร้าใบเล็กให้ “ไข่ไก่ในเล้ายกให้เจ้า เวลาเก็บระวังด้วย” เซี่ยอวี้ฉีเอ่ยเพียงเท่านั้นก็เดินจากไป เซี่ยอวี้เฉินมองแผ่นหลังของมารดาที่เดินไปเก็บผัก แล้วมองย้อนกลับมาที่ตะกร้าเล็กในมือสลับกับเล้าไก่ตรงหน้า พรางขมวดคิ้วเล็ก ก็แค่แม่ไก่ตัวเล็กๆ มีอันใดต้องระวังกัน มือเล็กเปิดประตูตรงหน้าพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปในเล้าไก่ด้วยความมั่นคง เพียงแต่ยามที่เท้าเล็กเหยียบลงบนฟางแห้งในเล้าไก่ บรรดาแม่ไก่ในเล้าก็ร้องลั่น บางตัวโผบินไปมาจนเด็กน้อยตกใจทำตะกร้าในมือหล่นลงพื้น สองขาพลันสั่นเทา ค่อยๆ ก้าวเดินช้าๆ แล้วยื่นมือเข้าไปเก็บไข่จากใต้อกแม่ไก่ตัวเล็ก “โอ๊ย! เจ้าแม่ไก่... โอ๊ย! เจ้ากล้าจิกข้าหรือ โอ๊ย! ” เสียงเด็กน้อยร้องลั่นยามที่โดนปากเล็กๆ ของแม่ไก่จิกลงบนหลังมือ ใบหน้าก็พลันซีดเซียว ความกล้าเมื่อครู่จางหายไปในทันที ในดวงตากลมมีหยาดน้ำเอ่อคลอขึ้นมา หากแต่แม้ในใจตื่นกลัวแต่กลับไม่คิดถอยหนี จวบจนเก็บไข่ได้เต็มตะกร้า จึงก้าวขาออกมาจากเล้าไก่ เซี่ยอวี้ฉีเดินกลับมาจากเก็บผักดวงตาเรียวมองเด็กน้อยที่นั่งนิ่งน้ำตาคลอหลังมือแดงก่ำด้วยความสงสาร ทว่าเรื่องเหล่านี้หากนางไม่ฝึกฝนอีกฝ่ายตั้งแต่วันนี้ ภายหน้าผู้ลำบากย่อมเป็นเขา “เก็บไข่เสร็จแล้วหรือ” “ขอรับ” เซี่ยอวี้เฉินเอ่ยขานรับ ลุกขึ้นหยิบยื่นตะกร้าไข่ไปยังเบื้องหน้ามารดา เซี่ยอวี้ฉียิ้มกว้างวางมือลงบนศีรษะเล็ก “ลำบากเจ้าแล้ว เจ็บมากหรือไม่” เซี่ยอวี้ฉีเอ่ยพรางเลื่อนมือลงมาลูบไล้รอยแดงบนหลังมือเล็ก เซี่ยอวี้เฉินยิ้มกว้างเอ่ยเสียงสดใสพร้อมส่งรอยยิ้มบางๆ ให้ผู้เป็นมารดา “ไม่เป็นไรขอรับ” “อาเฉินของข้าเก่งมากจริงๆ” ยามที่ได้รับความห่วงใยและคำชื่นชมจากมารดา จิตใจที่ตื่นกลัวเมื่อครู่ของเด็กน้อยก็พลันแปลเปลี่ยนเป็นยินดี ดวงตากลมเล็กมีประกายสดใส บนใบหน้ามีรอยยิ้มกว้าง “เช่นนั้นข้าเอาไปเก็บไว้ในครัวนะขอรับ” “ไข่ไก่นี่ข้ายกให้เจ้า จะเก็บหรือจะทำอะไรก็แล้วแต่เจ้า” แล้วแต่เขาอย่างนั้นหรือ คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันแน่นมองไข่ไก่ในตะกร้าด้วยความสงสัย ไข่ไก่มากมายเพียงนี้จะทำอะไรกินดี “ข้าจะเอาผักไปฝากท่านลุงสี่ขาย เจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่” ขาย หากท่านแม่เอาผักไปฝากขาย เช่นนั้นไข่ไก่นี่เขาเอาไปฝากขายบ้างได้หรือไม่ “ท่านแม่ ข้าสามารถเอาไข่ไก่นี่ไปขายได้หรือไม่ขอรับ” “ย่อมแล้วแต่เจ้า” เอ่ยจบเซี่ยอวี้ฉีก็เดินออกจากบ้าน ด้านข้างมีเด็กน้อยเดินเคียงคู่ไปด้วย มือเล็กสอดเข้ากำมือเรียวของผู้เป็นมารดา ทุกย่างเท้าที่ก้าวเดินเต็มไปด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มกว้าง เซี่ยซือเอินนั้นเป็นผู้ไม่ค่อยเจรจา ทว่าผู้เป็นภรรยานั้นกลับเป็นสตรีปากยาว ดังนั้นเรื่องที่เซี่ยอวี้ฉีแอบเลี้ยงบุตรชายไว้ผู้หนึ่ง เพียงสามวันนับจากที่เซี่ยซือเอินไปตรวจอาการเซี่ยอวี้เฉิน ผู้คนก็ล่วงรู้ไปทั้งหมู่บ้านตระกูลเซี่ย หากแต่เซี่ยอวี้ฉีเป็นสตรีไม่สนคำนินทาของผู้คน ดังนั้นให้ผู้อื่นเอ่ยเรื่องราวของนางอย่างไรนางก็ไม่คิดอธิบายชี้แจงให้เสียเวลา สุดท้ายเรื่องนี้จึงเงียบหายไป “ฉีเอ๋อร์มาแล้วหรือข้าคิดว่าวันนี้เจ้าจะไม่มาเสียแล้ว อ้าว... แล้วนั่นพาเด็กที่ไหนมากัน” “คารวะท่านลุงสี่ นี่อาเฉินบุตรชายของข้าเจ้าค่ะ” “อาเฉินคารวะท่านตา” เซี่ยเจียไหลเห็นท่าทางรู้ความของเด็กชายข้างกายเซี่ยอวี้ฉีก็รู้สึกชื่นชอบขึ้นมา บนใบหน้าจึงมีรอยยิ้มกว้างจนดวงตาแทบปิด “อาเฉินนี่เอง แล้วนั่นถือตะกร้าอะไรมากัน” “วันนี้ท่านแม่ให้ข้าเก็บไข่ไก่ขอรับ แต่ที่เรือนมีไข่มากอยู่แล้วจึงอยากมารบกวนท่านตาช่วยนำไปขายให้ด้วยได้หรือไม่ขอรับ” “ย่อมได้ๆ ฉีเอ๋อร์บุตรชายของเจ้าช่างดีจริงๆ ตัวเล็กแค่นี้ก็รู้จักช่วยหาเงินแล้ว” เซี่ยอวี้ฉียิ้มกว้างวางผักตะกร้าใหญ่ลงบนล้อเกวียนของเซี่ยเจียไหลเอ่ยฝากขายของอีกประโยคก็ขอตัวพาบุตรชายกลับเรือน .................................................. ยามที่กลับถึงเรือนเซี่ยอวี้ฉีก็ยกข้าวต้มขาว ผักกาดดอง และไข่เค็มวางบนโต๊ะอาหาร หลังจากกินอาหารเสร็จก็ออกไปขึ้นแปลงผักแปลงใหม่ทดแทนแปลงเดิมที่เก็บไปขายวันนี้ จวบจนยามบ่ายคล้อย เซี่ยเจียไหลจึงแวะมาที่เรือนเพื่อนำเงินค่าขายผักและไข่มาให้สองแม่ลูก “อาฉี มารดาเจ้าเล่า” “ท่านแม่กำลังปลูกผักอยู่ขอรับ” “เช่นนั้นข้าฝากค่าผักไว้ให้นางด้วยก็แล้วกัน อ่อ... แล้วนี่ค่าไข่ไก่ของเจ้าทั้งหมดสามสิบฟองเป็นเงินสิบอีแปะ” เซี่ยเจียไหลส่งเงินสิบอีแปะให้เด็กน้อย ทว่านิ้วเล็กกลับส่งคืนให้สามอีแปะ เซี่ยเจียไหลพลันยิ้มกว้าง เซี่ยอวี้ฉีผู้นี้สั่งสอนบุตรได้ดียิ่ง “วันนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าฝากข้าช่วยขายของ เงินค่าฝากขายข้ายังไม่รับ” เซี่ยเจียไหลเอ่ยพร้อมกับวางเงินคืนในมือเล็ก เซี่ยอวี้เฉินเห็นอีกฝ่ายมีน้ำใจเช่นนี้ก็ก้มศีรษะเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณท่านตาขอรับ” เด็กน้อยมองเงินก้อนแรกที่ตนหามาได้ด้วยความภาคภูมิใจก่อนเงยหน้าถามบุรุษตรงหน้า “ท่านตา ท่านพอจะทราบราคาผ้านวมหรือไม่ขอรับ” แม้นี่จะเป็นเงินก้อนแรกของเขา หากแต่ล้วนได้มาจากการสนับสนุนของมารดา ดังนั้นเขาจึงอยากตอบแทนมารดาคนงามของเขา และเพราะอีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าฤดูหนาวแล้ว แม้ไม่รู้ว่ามารดาของตนวางแผนรับมือกับช่วงฤดูเลวร้ายนี้อย่างไร แต่ผ้าห่มผืนบางในห้องเขาคิดว่าควรเปลี่ยนให้หนาสักหน่อย “ผืนละห้าเหรียญทองแดง” ห้าเหรียญทองแดงก็เท่ากับห้าร้อยอีแปะ เด็กน้อยมองเหรียญอีแปะที่ตนภูมิใจแล้วพลันนึกหดหู่ขึ้นมา ก่อนที่ดวงตากลมจะเปล่งประกายขึ้น “ในเมืองรับซื้อไข่เค็มหรือไม่ขอรับท่านตา” “รับซื้อที่ราคาฟองละหนึ่งอีแปะ” ฟองละหนึ่งอีแปะ ราคาเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าจากเดิม ดวงตาที่หม่นหมองพลันเปล่งประกายขึ้นมา เช่นนั้นหากเขาสามารถทำไข่เค็มได้สักห้าร้อยฟองก็จะสามารถซื้อผ้านวมให้มารดาได้แล้ว .......................................................... เซี่ยอวี้ฉีมองมือเล็กที่กำลังพอกดินรอบๆ ไข่ไก่ ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย เช้าวันนี้นางจงใจทำข้าวต้มขาวไข่เค็ม โดยตั้งใจเอาไว้ว่าจะเอ่ยสอนเขาเรื่องการแปรรูปอาหารชนิดต่างๆ เพื่อเก็บรักษาและเพิ่มมูลค่า ไม่คิดว่าไม่ทันเอ่ยปากแนะนำ เด็กน้อยตรงหน้าก็รู้จักสังเกตและวิเคราะห์ได้ด้วยตนเองเช่นนี้ “อาเฉิน วันพรุ่งนี้ข้าจะเข้าเมืองเจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่” เซี่ยอวี้เฉินชะงักมือที่กำลังปั้นไข่เค็ม ดวงตากลมเปล่งประกายขึ้นมา ในแววตามีทั้งความยินดีและหวาดกลัว “เพียงแต่ข้าจะไปซื้อของแห้งแถวตลาดลู่หานเท่านั้น” ตลาดลู่หานเป็นตลาดชั้นกลาง เน้นขายอาหารแห้ง ผัก และของสดเป็นหลัก บรรดากลุ่มขุนนางและชนชั้นสูงจะไม่มีทางมาเหยียบตลาดแห่งนี้ ยามที่เห็นแววตาวิตกกังวลของเด็กน้อยคลายลง เซี่ยอวี้ฉีก็คาดเดาได้ว่าสถานะในอดีตของบุตรชายผู้นี้คงมิใช่ชนชั้นสามัญทั่วไป เพียงแต่ไม่ว่าในอดีตเขาจะเป็นผู้ใด ยามนี้เขาคืออาเฉิน บุตรชายของนาง “ที่ท้ายตลาดมีร้านตำราเปิดใหม่หากเจ้าสนใจก็สามารถซื้อหามาอ่านได้” เซี่ยอวี้เฉินอย่างไรก็เป็นคนเคยเรียนตำรา ยามได้ยินว่ามารดาของเขาจะส่งเสริมในใจก็พลันยินดี แต่เมื่อคำนึงถึงสถานะการเงินของอีกฝ่ายริมฝีปากเล็กก็เม้มเข้าหากันแน่น เอ่ยตอบเสียงแผ่วลง “ขอบคุณท่านแม่มากขอรับ แต่ในบ้านมีเรื่องต้องใช้จ่ายมากพอแล้ว ข้า...” “เช่นนั้นก็ซื้อแค่ที่จำเป็น” “ไม่เป็นไรขอรับท่านแม่ ข้าไม่ต้องการจริงๆ” เซี่ยอวี้เฉินเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ยกไหไข่เค็มของตนเข้าไปเก็บในโรงเรือนเก็บฟืน เซี่ยอวี้ฉีถอนหายใจยาว เด็กน้อยผู้นี้ปกติก็ว่าง่าย ไม่คิดว่ายามดื้อรั้นจะเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้ หากแต่แม้เซี่ยอวี้เฉินจะเอ่ยปฏิเสธไม่ต้องการตำรา สุดท้ายหลังจากซื้อของจนครบแล้วเซี่ยอวี้ฉีก็พาเขามาหยุดที่หน้าร้านตำราแห่งหนึ่ง “ท่านแม่ข้าไม่ต้องการตำราจริงๆ ขอรับ” “ผู้ใดบอกว่า ข้าจะพาเจ้ามาซื้อตำรา” เซี่ยอวี้เฉินขมวดคิ้วเอียงศีรษะมองมารดาด้วยความสงสัย หากไม่ซื้อตำราเช่นนั้นมารดาพาเขามาร้านตำราด้วยเหตุผลใด “เจ้าคัดอักษรได้หรือไม่” “ได้ขอรับ” “งดงามมากหรือไม่” เซี่ยอวี้เฉินนึกย้อนไปในวันวาน เขาอาจไม่เก่งการต่อสู้เช่นบิดา แต่เรื่องคัดอักษรแม้แต่อาจารย์อวี้ก็ยังชื่นชมเขาอย่างจริงใจ “ดีขอรับ” “เช่นนั้นก็ดี” เซี่ยอวี้ฉีเอ่ยจบก็พาเด็กน้อยเข้าไปในร้านตำรา เอ่ยสนทนากับเถ้าแก่หน้าร้านอยู่สองสามประโยคก็พาเซี่ยอวี้เฉินไปยังด้านหลังร้าน “ท่านแม่ ท่านจะพาข้าไปไหนขอรับ” “หาเงินเข้าบ้านอย่างไร” เซี่ยอวี้ฉีหันมาสบตาของเด็กน้อย แววตาที่สงสัยของเขาเด่นชัดจนนางไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยปากก็เข้าใจได้ในทันที “เจ้ามิใช่บอกว่า ในบ้านมีเรื่องต้องใช้จ่ายมาก หรอกหรือ” แม้มารดาจะเอ่ยมาหนึ่งประโยค แต่เซี่ยอวี้เฉินก็ยังคงไม่เข้าใจ จนกระทั่งนางกางกระดาษขาวพร้อมกับส่งพู่กันให้เขา “รับจ้างคัดลอกตำราอย่างไรเล่า” “รับจ้างคัดลอกตำรา?” “เล่มละสามเหรียญทองแดง” สามเหรียญทองแดง เช่นนั้นขอเพียงเขาคัดตำราสักสองเล่มก็สามารถซื้อผ้านวมผืนใหม่ให้มารดาได้แล้ว ดวงตากลมเล็กพลันเปล่งประกายสดใส หันไปหยิบแท่งหมึกมาฝนในจานหมึกในทันที ใช้เวลาเพียงชั่วชาเย็นก็คัดอักษรตรงหน้าเสร็จ “ท่านแม่ข้าคัดเสร็จแล้วใช้ได้หรือไม่” เซี่ยอวี้ฉียิ้มกว้างมองตัวอักษรที่หนักแน่นมั่นคงของบุตรชายแล้วยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ ก่อนส่งกระดาษแผ่นนั้นให้เถ้าแก่เจ้าของร้านตำรา “อาเฉิน ไปหยิบตำราที่เจ้าอยากได้มาสามเล่ม และจดชื่อเล่มที่เจ้าอยากได้มาอีกห้าเล่ม” เซี่ยอวี้ฉีเอ่ยบอกแก่เด็กน้อยเสียงราบเรียบ ก่อนจะนั่งมองแผ่นหลังเล็กเดินไปหยิบจับตำราด้วยสายตาชื่นชม เซี่ยอวี้เฉินเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์อีกทั้งยังรู้ความ นางได้เขามาเป็นบุตรนับว่าเป็นของขวัญล้ำค่าจากสวรรค์โดยแท้จริง “ทั้งหมดสี่สิบหกเหรียญทองแดง หากเจ้าคัดตำราทั้งสามเล่มมาส่งแล้ว ข้าจะคืนเงินค่าตำราต้นแบบสามสิบเหรียญทองแดงและจ่ายค่าคัดตำราให้อีกเล่มละสามเหรียญทองแดง” “ขอบคุณเถ้าแก่มากเจ้าค่ะ” เซี่ยอวี้ฉีเอ่ยบอกเสียงสุภาพ ขณะที่เซี่ยอวี้เฉินคำนวณตัวเลขในใจแล้วขมวดคิ้วเล็ก ยามที่เดินออกจากร้านตำราใบหน้าก็ยังไม่คลายความกังวล “ท่านแม่ข้าไม่อยากคัดลอกตำราแล้ว” เซี่ยอวี้ฉีชะงักเท้า หันมาจดจ้องแววตากลมรอให้อีกฝ่ายอธิบายเหตุผล โดยไม่เอ่ยถามหรือตำหนิ “แม้ข้าคัดลอกตำราเหล่านี้มาส่งจนครบก็ยังขาดทุนไปอีกเจ็ดเหรียญทองแดง เช่นนั้นการทำการค้านี้ย่อมไม่คุ้มขอรับ” การคิดคำนวณตัวเลขเหล่านี้เป็นเรื่องยุ่งยาก ท่านแม่ของเขาเป็นเพียงหญิงชาวบ้านจะไม่เข้าใจย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก ยามคิดถึงเรื่องเช่นนี้ ในใจก็พลันนึกโกรธเคืองเถ้าแก่ร้านตำราผู้นั้นที่คดโกงเอาเปรียบมารดาของเขา เมื่อได้ฟังความคิดของบุตรชายเซี่ยอวี้ฉีก็ยิ้มกว้าง ก่อนพาบุตรชายไปนั่งพักที่ศาลาริมน้ำแล้ววางข้าวของที่ซื้อมาจากร้านตำราเมื่อครู่บนโต๊ะหินอ่อน “อาเฉินเจ้ารู้หรือไม่ว่าเครื่องเขียนชุดนี้ราคาเท่าไหร่” “สิบเหรียญทองแดงขอรับ” “แล้วตำราเหล่านี้เล่า ราคาเล่มละเท่าไหร่” “สิบเหรียญทองแดงขอรับ” “แล้วหากเราไปซื้อตำราทั้งสามเล่มนี้ จะต้องจ่ายเงินเท่าไหร่กัน” “สามสิบเหรียญทองแดงขอรับ” “เช่นนั้นหากเจ้าคัดลอกเล่มละสองชุด ส่งคืนร้านตำราหนึ่งชุด เก็บไว้ศึกษาอีกหนึ่งชุด การค้านี้ยังจะขาดทุนหรือไม่” เซี่ยอวี้เฉินขมวดคิ้วพรางคิดตามคำพูดของมารดา เมื่อคิดวิเคราะห์ได้แล้วดวงตาเล็กก็พลันเบิกกว้าง ที่แท้มารดาของเขาไม่เพียงสามารถคิดคำนวณได้ แต่ยังคิดได้ลึกซึ้งเสียจนน่าตกตะลึง เพราะหากคำนวณตามที่มารดากล่าวมา เช่นนั้นเท่ากับการคัดลอกตำราครั้งนี้เขาได้กำไรถึงยี่สิบสามเหรียญทองแดง “แล้วหากครั้งหน้าเจ้ารับตำรามาคัดลอกส่งอีกหนึ่งเล่ม อาเฉินเจ้าคิดว่าจะได้กำไรจากการค้าครั้งหน้าเท่าไหร่กัน” “หักค่าตำราเปล่าแล้วเหลือสิบเอ็ดเหรียญทองแดงขอรับ” “เก่งมาก” .......................................................
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม