บทที่ 2.3 มารดาผู้นี้ของข้างดงามที่สุด
ยามที่กลับมาถึงเรือน เซี่ยอวี้เฉินก็เร่งเอาน้ำไปตั้งตากแดด เขาเคยอ่านเจอในตำรากล่าวว่า ยามที่ตักน้ำจากลำธารมาเพื่อใช้สอย จะต้องเอาน้ำมาตั้งตากแดดทิ้งไว้ราวสองชั่วยามเพื่อให้ฝุ่นผงในน้ำตกตะกอน ตอนนี้สายมากแล้วหากเขายังชักช้าเกรงว่าคงไม่ทันให้ผู้เป็นมารดาได้ใช้สอยแน่นอน หากแต่เด็กน้อยยังไม่ทันปล่อยมือจากถังน้ำ เสียงของผู้เป็นมารดาก็ดังขึ้น
“อาเฉินถือถังน้ำตามข้ามา”
แม้จะสงสัยแต่เซี่ยอวี้เฉินก็ยกถังน้ำตามอีกฝ่ายไปยังข้างโรงเรือนเก็บของ เมื่อวางตะกร้าสานบนบ่าลง เซี่ยอวี้ฉีก็หันไปรับถังน้ำเล็กจากบุตรชายแล้วเทน้ำลงในถังไม้ใบใหญ่ตรงหน้า
“ท่านแม่ ทำเช่นนี้เกรงว่า...”
เซี่ยอวี้เฉินเม้มริมฝีปากเล็ก พยายามนึกถ้อยคำที่จะเอ่ยบอกแก่มารดาโดยที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขากำลังเอ่ยตำหนิ เซี่ยอวี้ฉียิ้มอ่อนโยนก่อนจะนั่งลงดึงจุกไม้ที่ก้นถังออก แล้วนำถังไม้สะอาดมารองรับน้ำ
เซี่ยอวี้เฉินขมวดคิ้วมองน้ำที่ไหลออกมาจากก้นถังช้าๆ ด้วยความสงสัย แม้ก่อนหน้านี้เขาจะพักน้ำและค่อยๆ ตักน้ำใส่ถังอย่างระมัดระวัง แต่น้ำที่ถือมาก็ยังมีขุ่นตะกอนอยู่มาก เช่นนี้แล้วมารดาทำอย่างไรกันน้ำจึงได้ใสสะอาดในพริบตาเช่นนี้
“เรียกว่าการกรองน้ำ”
เซี่ยอวี้ฉีมองแววตาที่ทวีความสงสัยของบุตรชายแล้วคลี่ยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินไปหยิบไหก้นรั่วใบหนึ่งออกมาจากห้องเก็บของ ในมืออีกข้างยังมีตะกร้าใบเล็กอีกใบ
“หยิบนุ่นใส่ลงไปในไห”
เซี่ยอวี้เฉินมองนุ่นในตะกร้าสานแล้วหยิบใส่ลงไปในไหตามคำของมารดา
“ตามด้วยถ่าน ทรายละเอียด ทรายหยาบ กรวดเล็ก กรวดใหญ่”
เซี่ยอวี้เฉินค่อยๆ หยิบทุกสิ่งในตะกร้าใส่ลงไปในไหตามคำมารดา ยามที่เทกรวดเม็ดใหญ่ลงไปแล้ว ก็รับน้ำขุ่นขันหนึ่งมาจากมือเรียว
“เทลงไป”
ใช้เวลาไม่นานสายน้ำขุ่นที่ไหลผ่านชั้นต่างๆ ในไหใบเล็กก็ค่อยๆ หยดออกจากก้นไหรั่ว เซี่ยอวี้เฉินเบิกตากว้างเมื่อพบว่าสายน้ำที่หยดลงในถ้วย ทั้งใสทั้งสะอาดจนสะท้อนเห็นลายของก้นถ้วย
“ท่านแม่ น้ำ! น้ำใสขอรับ”
เซี่ยอวี้ฉีมองท่าทางเต้นของเด็กน้อยแล้วอดที่จะยิ้มกว้างไม่ได้ นึกถึงยามเยาว์วัยของตน ทุกครั้งที่ได้ทำการทดสอบเชิงวิทยาศาสตร์ไม่ว่าเรื่องอันใดนางก็มักตื่นเต้นยินดีเช่นนี้
“ท่านแม่ ท่านทำได้อย่างไรขอรับ”
“ล้วนเกิดจากการสังเกต”
หากบอกว่านี่เป็นหนึ่งในหัวข้อที่นางเคยเล่าเรียนมา เด็กน้อยตรงหน้าคงมีคำถามมากมายตามมาอีกเป็นแน่
“เช่นนั้นข้าจะไปตักน้ำมาอีก”
เซี่ยอวี้เฉินอยากลองใช้ถังกรองน้ำใบใหญ่ของมารดาอีกครั้ง ดังนั้นจึงวิ่งไปหยิบถังไม้หมายใจวิ่งกลับไปยังลำธารเพื่อตักน้ำมาลองเทใส่อย่างที่มารดาทำ หากแต่ยังไม่ทันก้าวเดินแขนเล็กก็ถูกผู้เป็นมารดาจับเอาไว้เสียก่อน
“ต่อไปไม่ต้องไปตักน้ำอีก”
“ท่านแม่ ข้าทำได้ขอรับ”
เซี่ยอวี้เฉินเม้มปากแน่น เขารู้ว่าตนเองนั้นอ่อนแอและยังเยาว์วัย เพียงแต่งานตักน้ำไม่ใช่เรื่องยากลำบาก เขาจึงอยากช่วยแบ่งเบางานของผู้เป็นมารดา
“ตามข้ามา”
เซี่ยอวี้ฉีจับจูงแขนเล็กของบุตรชายไปที่ด้านหลังเรือนอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้นางไม่ได้พาเขาเดินออกไปทางรั้วด้านหลัง แต่ลัดเลาะผ่านแปลงผักไปยังกลางสวน เมื่อไปถึงก็พบสระน้ำกว้างและลึกราวครึ่งจั้ง
เพียงแต่สระน้ำที่ลึกแค่ครึ่งจั้งจะมีน้ำได้อย่างไร
ดวงตาเล็กกวาดมองรอบๆ สระเล็กก่อนที่สายตาจะไปสะดุดกับกระบอกไม้ไผ่ลำหนึ่งที่บริเวณขอบสระ แต่ที่ทำให้เด็กน้อยเบิกตากว้างก็คือบริเวณปลายกระบอกไม้ไผ่มีสายน้ำไหลออกมา
“เหตุใดจึงมีน้ำไหลออกจากกระบอกไม้ไผ่ขอรับท่านแม่”
“นั่นเรียกว่ากระบอกส่งน้ำ”
เซี่ยอวี้ฉีเอ่ยบอกเสียงราบเรียบ
“กระบอกส่งน้ำ คืออะไรของรับ”
เซี่ยอวี้ฉียิ้มกว้าง ย่อตัวลงนั่งข้างบุตรชายแล้วเอ่ยบอกวิธีการทำท่อไม้ไผ่ เพื่อใช้ลำเลียงน้ำมาจากลำธารให้เด็กน้อยฟัง
เซี่ยอวี้เฉินแม้อายุยังไม่ถึงสิบปี แต่ชีวิตที่ผ่านมาเขาก็อ่านตำรามาไม่น้อย ทว่านอกจากการทำบ่อพักน้ำ และนำน้ำมาตากแดดเพื่อให้น้ำขุ่นตกตะกอน วิธีการอื่นๆ ที่มารดาของเขาทำ เขาล้วนไม่เคยพบเจอในตำรา
“ท่านแม่ ท่านศึกษาเรื่องพวกนี้จากตำราใดหรือขอรับ”
“อาเฉิน เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องศึกษาจากตำรา เจ้าสามารถเรียนรู้ได้จากรอบๆ ตัว”
สิ่งรอบๆ ตัวอย่างนั้นหรือ ดวงตากลมเล็กพลันเปล่งประกาย มองสายน้ำที่ไหลจากปลายกระบอกไม้ไผ่ช้าๆ ก่อนหันมาจดจ้องมารดาของตนด้วยความชื่นชม
“ท่านแม่ ระยะทางจากลำธารมาถึงที่นี่ไม่ใช่ใกล้ๆ เหตุใดข้าไม่เห็นกระบอกส่งน้ำของท่านเลย”
“เช่นนั้นตลอดทางจากบ้านไปลำธารเจ้าสังเกตเห็นสิ่งใดบ้าง”
คิ้วเล็กขมวดมุ่นก่อนจะนึกทบทวนเส้นทางที่พึ่งเดินผ่านมา แม้มองผ่านๆ จะไม่พบความผิดปกติอะไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาสังเกตเห็นตลอดเส้นทางนั่นก็คือ
“เหมยกุ้ยฮวา มีต้นเหมยกุ้ยฮวาอยู่เป็นแนวทางเดินขอรับ”
แม้ต้นเหมยกุ้ยฮวาจะไม่ได้ขึ้นแนบชิดจนเห็นเป็นเส้นทางที่เด่นชัด ทว่าหากมองดูดีๆ แล้วกลับเห็นเป็นแนวทาง ตามเส้นทางเดินไปยังลำธาร
“หรือว่าท่านฝังลำไม้ไผ่ไว้ที่ใต้ดินตามแนวเดินนั่นขอรับ”
เซี่ยอวี้เฉินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เมื่อคล้ายจะวิเคราะห์คาดเดาการกระทำของมารดาได้
“อาเฉินของข้าช่างสังเกตได้ดี”
ยามที่ได้รับคำชมของมารดาริมฝีปากของเด็กน้อยก็คลี่ยิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกายด้วยความยินดีและภาคภูมิใจ
“เช่นนั้นข้าตักน้ำตรงนี้ไปใส่ถังกรองน้ำได้หรือไม่ขอรับ”
“อย่าตักให้มากเกินไป จะปวดแขนในภายหลังได้”
“ทราบแล้วขอรับ”
สิ้นคำอนุญาตของเซี่ยอวี้ฉี เด็กน้อยก็ตักน้ำในบ่อเล็กใส่ถังแล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินนำไปเทใส่ถังกรองใบใหญ่ เซี่ยอวี้ฉีมองดูความกระตือรือร้นตักน้ำมาใส่ถังกรอง แล้วนั่งรอสายน้ำสะอาดไหลออกมาจากก้นถังด้วยความตื่นเต้นแล้วก็อดที่จะขบขันไม่ได้
ช่างเป็นเด็กที่ชื่นชอบการเรียนรู้เสียจริงๆ
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยกำลังสนุกกับการกรองน้ำ เซี่ยอวี้ฉีก็กลับไปหยิบตะกร้าเนื้อหมู เดินเข้าห้องครัวเพื่อทำหมูตากแห้ง อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าหน้าหนาว ตอนนี้นางมีอีกหนึ่งชีวิตมาร่วมเรือน ดังนั้นเสบียงต่างๆ จึงจำเป็นต้องเตรียมเพิ่มขึ้น
.............................................................