คนที่ทะลุมิติมาสู่โลกนิยายสลัดเรื่องทุกข์ท้อใจออกจากหัว พยายามคิดว่าต้องทำอย่างไรถึงจะออกจากสถานที่แห่งนี้ อีกอย่างเมื่อออกไปอี้เหรินจะเดินหน้าไปทางไหน เพียงคิดก็อยากเอาเท้าก่ายหน้าผาก
กระทั่งความเงียบทำให้ฟุ้งซ่าน อี้เหรินจึงยื่นหน้าและมองไปยังห้องขังข้างๆ มองอยู่นานจนขนลุกซู่
เขาสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล อีกทั้งมีกลิ่นสาบประหลาดๆ ลอยมาเข้าจมูก ทั้งที่ภายในบริเวณนี้แทบไม่มีลมพัดผ่าน
ในห้วงเวลานั้น เขามองเห็นการเคลื่อนไหวช้าๆ ในความสลัวราง
“นะ นั่น...เป็นคนหรือผี จงแสดงตัว!”
ไร้การสื่อสาร หากมีเพียงเสียงครางแปลกๆ เมื่อได้ยินก็ชวนให้ครั่นคร้ามยิ่งนัก
“ว่ากันว่า ในตำหนักบุปผามิรู้โรยมีห้องลับมากมายซ่อนอยู่”
ใครบางคนเอ่ยขึ้น อี้เหรินเกลียดน้ำเสียงอีกฝ่ายมาก กระนั้นก็คุ้นหูจนเขาเอะใจ
“ขะ ข้าไม่กลัวหรอก เจ้ามันแค่ตัวละครโง่ๆ ในนิยายที่ข้าแต่ง” อี้เหรินเอ่ยจบก็รีบยกมือปิดปาก เขาไม่ควรบอกเรื่องนี้กับใคร มันอาจนำภัยร้ายมาสู่ตัว
“มั่นใจเช่นนั้นหรือ นี่มันคือความจริงต่างหาก หาใช่นิทานหลอกเด็ก พรุ่งนี้เจ้าก็จะถูกพาตัวไปไต่สวน บีบบังคับให้คายความจริงด้วยเครื่องลงทัณฑ์สุดโหดเหี้ยม ไข่สองใบน้อยๆ แสนบอบบางของเจ้าคงบอบช้ำ นิ้วมือเจ้าจะแตก เส้นเอ็นทั่วร่างถูกทำลาย ยิ่งกว่านั้น...ฟันทุกซี่อาจหลุดออกจากปาก!”
อี้เหรินขนลุกและกลัวมาก กลัวจนตัวสั่น อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่ประเภทไหน ถึงได้หาเรื่องมาข่มขู่เด็กอย่างเขา!
“เหลวไหล ข้าไม่ใช่เด็กอมมือที่เจ้าจะมาข่มขู่ให้กลัวได้นะ” เสียงแหลมๆ กับท่าทางถือตัว เป็นไปตามบทบาทที่เขาได้รับ และทำให้คนที่อยู่อีกกรงขังชอบใจ
“โถ เด็กน้อยอี้เหริน...” ใครบางคนทอดเสียงทุ้มต่ำ
“ทะ ท่านรู้จักข้า”
“มิใช่เรื่องน่าตกใจอันใด ข้ามีหูตายิ่งกว่าสับปะรด ใต้หล้านี้ผู้ใดทำสิ่งใดข้าย่อมรู้เห็น”
“ที่เป็นเช่นนั้น ข้าคิดว่าเพราะท่านแส่ไม่เข้าเรื่องมากกว่า” อี้เหรินแขวะกลับ
“ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมโดยแท้”
“มันเรื่องของข้า อย่ามาเป็นธุระเลย ปล่อยให้ข้าได้อยู่เงียบๆ เพื่อใช้ความคิดจะได้ไหม”
“อย่าตัดช่องน้อยแต่พอตัว ในเมื่อเจ้าเป็นที่โปรดปรานของอ๋องแปด ไฉนไม่ใช้ความงามนี้มัดใจเขา”
อี้เหรินได้ยินเข้าก็หูผึ่ง แต่ยังวางมาดนิ่ง ไม่ผลีผลามซักไซ้อีกฝ่าย
“เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ ตำหนักบุปผามิรู้โรย เป็นที่กักขังนางและนายเล็กๆ ไว้เป็นทาสบำเรอกามของอ๋องแปด”
คนที่ถูกเขย่าขวัญแทบกลั้นหายใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ในนิยายเขาเขียนเพียงว่า เติ้งไห่หลงนั้นเพียงแค่แสร้งเมามาย มิใช่ชายที่ชอบเสพสุขกับเด็กชายหญิงเยี่ยงนี้!
“ทุกค่ำคืนว่ากันว่าจะมีเสียงครวญครางดังจากตำหนักบุปผามิรู้โรย เสียงครางต่ำๆ สลับเสียงหวีดร้อง เสียงเหล่านั้นคล้ายเสียงภูตผีปีศาจ หลอกหลอนผู้คนไม่ให้ได้หลับนอน ฉะนั้นหากใครไม่มีกิจธุระ ก็อย่าเฉียดกายเข้าใกล้ตำหนักราคะของอ๋องแปด ผู้ขึ้นชื่อว่าดาบใหญ่และขยันทำเตียงหัก!”
อี้เหรินได้ยินคำพูดดังกล่าวก็ใจหายวาบ แต่เขายังประคองสติเอาไว้
“ละ แล้วเหตุใดคืนนี้ข้าถึงไม่ได้ยินเสียงที่ท่านกล่าวถึง”
“ที่ไม่ได้ยินก็เพราะบุรุษผู้นั้นหมายมั่นจะพิชิตหัวใจและร่างกายของเจ้าอย่างไรเล่า และทางเดียวที่เจ้าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือเขาก็คือ...”
อี้เหรินอยากรู้ถ้อยความต่อจากนั้นใจจะขาด แต่คนที่เล่นซ่อนแอบในห้องขังมืดๆ ยังคงเล่นลิ้น
“หากยังชักช้าไม่ยอมไขความลับ ข้าจะใช้เวทมนตร์กับท่านให้สิ้นใจตายเสียเดี๋ยวนี้”
“ฮ่าๆ ๆ หากเก่งกาจถึงขั้นนั้น เจ้าคงไม่ต้องมานอนคุกกระมัง”
อี้เหรินทำเสียงฮึดฮัดขัดใจ
“รู้หรือไม่ เพราะเจ้างามเยี่ยงนี้จึงได้มีภัยถึงตัว”
เด็กน้อยพึงใจคำที่อีกฝ่ายเอ่ยมิน้อย แต่ยังสงสัยคนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืด
“ที่กล่าวมาทั้งหมด ท่านต้องการสิ่งใดจากข้า”
“คิดมาก ข้าเพียงต้องการช่วยเหลือเจ้าเล็กๆ น้อยๆ ด้วยรู้ว่าในอนาคตเจ้าจะทำให้โลกของอ๋องแปดเปลี่ยนไป ถ้อยคำนี้เจ้าคือผู้กล่าวกับเขามิใช่หรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นสมองของอี้เหรินก็ประมวลผลเร็วรี่ อีกฝ่ายคือใครเขาคิด คิดจนหัวแทบระเบิดในเวลาจำกัด
“ทะ ท่านล่วงรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร ทะ ท่านคือใครกันแน่”
“แผ่นดินกว้างใหญ่ โลกนี้มีหมอดูเทวดาที่ข้าเคารพ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่เหนือการคาดเดา อีกทั้งเจ้ายังป่าวประกาศว่าตนจะเป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างอ๋องแปด เป็นหวางเฟยเคียงคู่เขา”
อี้เหรินสะดุดใจ ตั้งแต่โผล่มายังโลกในนิยาย เขาพูดคุยกับเติ้งไห่หลงแค่คนเดียว ความลับนี้จะรั่วไหลเข้าหูคนอื่นได้อย่างไร หรือว่า...นอกจากเขาที่โผล่เข้ามายังโลกคู่ขนาน ยังมีคนอื่นติดตามมาด้วย บอย ปีเสือ...เฮียนก หรือใครอีก
“ผู้น้อยมิกล้ารับ ตอนนี้มิแน่ใจว่าอี้เหรินคู่ควรอยู่เคียงข้างอ๋องแปดผู้สูงศักดิ์หรือไม่” เขาประชดประชันเสียงขึ้นจมูก
“หึ! วาจาเจ้าช่างชวนให้หัวหลุดจากบ่า เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่รู้จะช่วยเยี่ยงไร คงต้องขึ้นอยู่กับกรรมเวรของเจ้า”
“ถึงอย่างไรศีรษะของข้าคงไม่หลุดออกจากบ่าง่ายๆ แน่นอนว่าคนงามและยังแสนดีจะมีชีวิตยืนยาวเพื่อคอยดูอนาคตของใครบางคนล่มสลาย” คราวนี้อี้เหรินกล่าววาจาเล่นลิ้นบ้าง
“หึๆ ๆ ตอบได้ดี อยากรู้นักพรุ่งนี้เช้าเจ้าจะทนรับการทรมานจากเหล่ามือปราบได้กี่มากน้อย ผิวขาวๆ ริมฝีปากสีสวย แผ่นหลังนวลเนียน รวมถึงบั้นท้ายงอนงามจะต้องระบมสักเพียงใดกันหนอ”
“นั่น ท่านขู่ข้ารึ”
“หาได้เป็นเช่นนั้น ข้าจะขู่เจ้าไปไย เพียงแต่รู้สึกสงสาร ไม่อยากให้ต้องตายก่อนได้เสพสุขกับบุรุษผู้ยิ่งใหญ่จากตำหนักบุปผามิรู้โรย”
“เหลวไหล ข้าเป็นชาย เหตุใดต้องพึงใจรสรักเพศเดียวกัน”
“ได้ยินเจ้ายืนยันเช่นนี้ ข้าก็อดเสียดายความงามของเจ้ามิได้...”
สิ้นเสียงนั้นพลันปรากฏกลุ่มควันลอยเข้ามาในกรงขังห้องข้างๆ ควันดังกล่าวหนาทึบ และเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว อี้เหรินรู้สึกหวาดหวั่น จึงพยายามดิ้นรนเพื่อหลบหนี
“ผะ ผู้ใดคิดลอบทำลายข้า” อี้เหรินตัวสั่นงันงก และถามเสียงดังออกไป
“อา...เจ้าเด็กน้อย นี่คือ ‘พิษรัญจวนใจ’ หากใครสูดดมเข้าไปจะต้องเสพสังวาสกับผู้คนไม่เลือกหน้าจนตัวตาย”
“ท่าน พะ พูดจริงรึ พิษต่ำช้าเช่นนี้ใครกล้าใช้ลอบกัดผู้น้อย!” อี้เหรินกัดฟันกรอด แน่นอนเขาไม่เคยเขียนเรื่องราวบัดซบเช่นนี้ในนิยาย “ละ แล้วมันมีทางแก้เยี่ยงไร”
“ไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ โอ้สวรรค์ สิ่งที่แก้พิษได้มีเพียงแค่ฉี่ที่บริสุทธิ์ ตะ แต่...แฮกๆ ข้า...ไม่ไหวแล้ว เจ้ารีบกระทำตามที่ข้าสั่งเดี๋ยวนี้!”
“ทะ ท่านต้องการให้ข้ากระทำสิ่งใด จะ จงรีบกล่าว” อี้เหรินละล่ำละลักถาม
“ถอดกางเกงเจ้าออก!” อีกฝ่ายสั่ง
“บ้าบอ! ข้าต้องทำเช่นนั้นเพื่อ?”
“รีบเปลือยกายและฉี่ออกมา ก่อนที่...แค็กๆ ๆ” คนที่อยู่อีกกรงขังอาการคงวิกฤตหนัก
“ข้า...ทำเช่นนั้นหาได้ไม่ ข้าไม่ได้ปวดฉี่นี่นา”
“อย่าร่ำไร เจ้าจะปล่อยให้ข้าตายอย่างนั้นรึ และไม่เพียงชีวิตข้า ตัวเจ้าก็เช่นกัน แค็กๆ ...เร็วเข้า ข้า มะ ไหวแล้ว เด็กน้อยอี้เหริน...”
เสียงอีกฝ่ายเร่งเร้า ทำให้คนที่ยามนี้สมองขาวโพลนจำใจดึงกางเกงสีขาวตัวบางลง!