"จริงหรือท่านยมบาล ท่านให้ข้ากลับไปมีชีวิตอีกครั้งได้จริงๆ หรือครับ ข้าเลือกได้หรือไม่ว่าข้าจะไปอยู่ที่ใด แล้วท่านจะให้พรวิเศษกับข้าหรือไม่ท่านยมบาล ข้าสาบานไม่ว่าจะอีกกี่ชีวิตจากนี้ไป ข้าจะไม่ปริปากเรื่องนี้ให้ผู้ใดได้รับรู้เป็นอันขาด" หลี่ต้งหมิงตื่นเต้นจนคิดว่าเวลานี้หน้าตนคงจะแดงก่ำเพราะเลือดไหลเวียนไปทั่วตัวแล้วเป็นแน่ แต่คิดอีกทีว่าตนเองก็ได้ตายไปแล้วจะมีเลือดไหลเวียนได้อย่างไร จึงกลับมาสงบได้อีกครั้ง
"ไม่มีทั้งนั้นล่ะ พรอะไรพวกนั้นมันเป็นแค่เรื่องในนิยายเจ้าอย่ามาซี้ซั้วร้องขอให้วุ่นวาย ข้าให้เจ้ากลับไปเกิดใหม่ได้ก็เป็นบุญของเจ้าแล้วยังจะเรียกร้องอะไรอีกเล่า รีบไปให้พ้นหน้าข้าเลยแล้วอย่าลืมคำสัญญาของเจ้าเสียล่ะ"
กล่าวจบท่านยมบาลก็สะบัดมือครั้งหนึ่งนำเอาร่างผอมบางของชายชราเข้าไปติดอยู่ในกลุ่มพายุหมุนวนขนาดใหญ่มหึมา พัดร่างลอยละลิ่วหมุนวนอยู่ภายในพายุและได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของช่วงเวลาที่ฉายออกมาเป็นภาพวิ่งผ่านไปมาอยู่รอบพายุอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถระบุเรื่องราวหรือเหตุการณ์ใดได้ชัดแจ้ง
หลี่ต้งหมิงคล้ายว่าตนเองติดอยู่ในพายุใหญ่ลูกนั้นนานนับร้อยนับพันปี หมุนวนจนเขารู้สึกเริ่มจะตาลายหูอื้อและตัดสินใจหลับตาลงไป เพื่อรอคอยว่าตนเองจะได้ไปเกิดใหม่ในช่วงไหน จะกลายเป็นทารกแรกเกิด หรือว่าจะเข้าไปแทนร่างสวมวิญญาณเป็นชายหนุ่มรูปงามเหมือนนิยายย้อนเวลาที่ตนเคยอ่านกันแน่
แม้จะเสียดายที่ตัวเองไม่ได้รับพรวิเศษใดๆ แต่เมื่อคิดว่าเมื่อครู่ตนได้บอกกล่าวกับท่านยมบาลไปแล้วว่าอยากจะไปตักเตือนบรรพชนสกุลหลี่ เช่นนั้นอย่างไรชีวิตใหม่ที่จะได้มาย่อมไม่พ้นเป็นคนสกุลหลี่อย่างแน่นอน เท่านี้เขาก็พึงพอใจแล้วและยิ่งหากได้อยู่ในช่วงยุคสมัยที่ตระกูลหลี่ยังคงร่ำรวยเฟื่องฟู เขาจะเร่งสอนลูกหลานไม่ให้เดินในทางที่ผิด ไม่มีพรแต่มีเงินจะทำสิ่งใดก็คงจะไม่ลำบากเกินไปนักใช่หรือไม่?
"ข้าแนะนำว่าท่านควรลืมตาแล้วพิจารณาภาพที่ปรากฏรอบด้านให้แจ่มชัด" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาช้าๆ ฟังดูวังเวงชวนให้หวาดหวั่นอย่างน่าประหลาดใจ ดังออกมาทำลายความคิดฟุ้งซ่านของหลี่ต้งหมิงทันที
"เหวอ!! ท่านยมทูต ท่านตามข้ามาด้วยหรือ?" หลินต้งหมิงสะดุ้งสุดตัว เมื่อลืมตาแล้วเห็นยมทูตที่ไปรับดวงวิญญาณเขามากำลังทำท่านั่งลอยค้างอยู่บนอากาศภายในพายุตรงข้ามกับตนเองในระยะประชิด
"เจ้าเป็นดวงวิญญาณที่ถูกส่งไปต่างยุคต่างสมัย ท่านยมบาลไม่วางใจจึงให้ข้าตามไปดูเจ้าไม่ให้ก่อเรื่องวุ่นวาย"
ยมทูตร่างใหญ่จะไม่ยอมกล่าวออกไปเป็นอันขาด ว่าแท้จริงแล้วท่านยมบาลโมโหที่เขาทำผิดพลาดหลายครั้งติดต่อกันจึงได้ลงโทษให้ไปเฝ้าดูหลี่ต้งหมิงในชีวิตใหม่ ส่วนหนึ่งก็คอยระวังคำพูดของชายชรา ด้วยเกรงว่าเขาจะพลั้งปากเผลอพูดเรื่องที่ตนเองย้อนเวลามาได้โดยความช่วยเหลือของยมบาล หากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป ภายหลังคงจะมีดวงวิญญาณนับหมื่นนับแสนที่ขอทำตามอย่างหลี่ต้งหมิงบ้างเป็นแน่
"เช่นนั้นท่านก็คงจะมีอิทธิฤทธิ์บ้างสินะ อย่างเช่นเสกเงิน เสกอาหารหรือว่าหายตัวได้!!" หลี่ต้งหมิงถูฝ่ามือสองข้างของตนไปมา พลางเม้มปากอย่างลุ้นระทึก แม้ว่าตนเองจะไม่ได้รับพรอันใดแต่ท่านยมบาลยังใจดีส่งยมทูตมาช่วยเหลือตนเองอีกทั้งคน
"ไม่ ข้าไม่มีอิทธิฤทธิ์อันใดสักอย่าง และข้าก็ไม่จำเป็นต้องหายตัวเพราะจะไม่มีผู้ใดมองเห็นข้านอกจากเจ้า" ยมทูตตอบคำถามชายชราด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในใจก็คิดว่ายังดีที่เขาไม่สามารถแสดงอารมณ์ออกทางใบหน้าได้มากนัก ไม่เช่นนั้นหลี่ต้งหมิงคงจะได้เห็นว่าบัดนี้เขาหน้าแดงอับอายเหลือเกินแล้ว ที่ตนเองไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากมีหน้าที่รับ-ส่งดวงวิญญาณเท่านั้น
"เพ่ย!! เสียแรงที่เกิดเป็นยมทูตไปเปล่าๆ เช่นนี้ท่านจะติดตามข้าไปหาสวรรค์อันใดกันเล่า ไปเป็นภาระข้าชัดๆ ข้าต้องหาข้าวให้ท่านกินด้วยหรือไม่ล่ะนี่"
กล่าวตามตรงยมทูตก็ไม่รู้เช่นกัน ว่าตนเองติดตามหลี่ต้งหมิงไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด แม้ว่าท่านยมบาลไม่อยากให้หลี่ต้งหมิงเปิดเผยเรื่องความลับในครั้งนี้ แต่ปากก็ยังเป็นของหลี่ต้งหมิง ตัวเขาเองไม่สามารถใช้วิชาอะไรมาปิดปากชายชราได้เสียหน่อย อีกอย่างเมื่อชายชรากลับไปมีร่างกายเลือดเนื้ออีกครั้ง ยมทูตผู้น้อยร่างใหญ่เช่นเขาก็ไม่สามารถสัมผัสร่างกายของมนุษย์ได้ด้วยซ้ำ จะเอามือไปปิดปากหลี่ต้งหมิงไม่ให้พูดก็ยังทำไม่ได้
เมื่อรู้ตัวว่าตนเองไร้ประโยชน์อย่างที่ชายชรากล่าวหาจริงๆ ยมทูตร่างยักษ์ก็เบะปากอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ เสียจริง อยู่ในยมโลกก็โดนทำโทษจะไปอยู่โลกมนุษย์ก็เป็นเพียงอากาศธาตุ เขาเป็นวิญญาณไร้ประโยชน์ที่ไม่รู้จะไร้ประโยชน์ไปกว่านี้ได้อย่างไรอีกแล้ว จึงแสร้งทำหน้านิ่งไม่ตอบคำถามของหลี่ต้งหมิง ปล่อยให้ชายชราคิดเอาเองว่าตนเป็นผู้ทรงภูมิมีความลึกลับยากจะหยั่งถึงไปก็แล้วกัน
หลี่ต้งหมิงเห็นว่ายมทูตไม่ได้ตอบคำถามตนเองและยังทำหน้านิ่งไม่ใส่ใจสิ่งใด เขาจึงเบนความสนใจไปที่ภาพเคลื่อนไหวที่อยู่รอบกายแทน เมื่อตั้งใจดูภาพในพายุเข้าจริงๆ ไม่นานเขาก็มองเห็นร่างชายสูงวัยและเด็กหนุ่มกำลังนั่งพับถุงกระดาษอยู่ในกระท่อมเก่าผุพัง สองคนนั้นจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากท่านปู่และบิดาของตน ทำให้ชายชราเข้าใจได้ในทันทีว่าภาพฉายที่อยู่รอบตัวล้วนเป็นเรื่องราวชีวิตของผู้คนสกุลหลี่บรรพบุรุษของตัวเอง เขาจึงพยายามจดจำและใช้สมาธิในการรับชมมากขึ้นกว่าเดิม
ชายชราได้เห็นผู้คนสกุลหลี่หลายรุ่นที่มีชีวิตความเป็นอยู่ไม่สู้ดี บางคนก็เป็นพ่อค้าหาบเร่ บ้างก็รับจ้างทำไร่นา หลายคนยังติดพนันและใช้ชีวิตเหลวแหลกมีการทะเลาะเบาะแว้งทุบตีระหว่างคู่สามีภรรยาหลายคู่ ผ่านยุคสมัยที่บุรุษและสตรีสวมเสื้อผ้าสมัยใหม่หลี่ต้งหมิงก็ได้เห็นคนอีกกลุ่มที่สวมเสื้อผ้าเก่าขาดกำลังเดินทางไกลไปกับคนกลุ่มใหญ่มีการสลับกันไปขอเศษอาหารและเศษเหรียญเงินเป็นทานเพื่อดำรงชีวิต เขาเบือนหน้าหนีภาพความแร้นแค้นของบรรดาบรรพบุรุษชายหญิงที่ลำบากยากเข็ญจนแทบจะกรีดเลือดเนื้อตัวเองกินไปอย่างรันทดใจ
หันกลับไปมองอีกทางก็ได้เห็นภาพของยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเป็นช่วงยุคโบราณ ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สง่างามถืออาวุธอยู่บนหลังม้า เห็นการดื่มกินในสถานเริงรมย์ ผู้คนมัวเมาอยู่ในลาภยศสรรเสริญ และเห็นช่วงเวลาที่หลี่เซิ่ง บิดาของเขาและบุตรชายถูกประหารชีวิตทั้งสามคน ศีรษะที่ตกลงบนพื้นยังคงลืมตาที่ฉายแววอัปยศอดสูและเศร้าโศกคล้ายกับว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นต่อหน้าชายชราไม่มีผิด
"ข้ามีชีวิตยืนยาวถึง 101 ปี ไม่คิดว่าช่วงเวลาที่ติดอยู่ในพายุลูกนี้กลับเป็นระยะเวลาที่ข้ารู้สึกว่ามันยาวนานนับพันปี ข้าไม่อยากดูต่อไปแล้วท่านยมทูต ท่านพอจะบอกได้หรือไม่ว่าข้าจะได้ย้อนกลับไปในช่วงเวลาใด หรือมีโอกาสที่จะได้ช่วยเหลือใคร" หลี่ต้งหมิงถอนหายใจยาวเหยียด ปลดปลงกับความเสื่อมถอยของตระกูลหลี่ที่เขาเห็นด้วยตาตนเองว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากการกระทำของบรรพบุรุษทั้งสิ้น ไม่ได้มีผู้ใดมากลั่นแกล้งรังแกอย่างที่ตนพยายามหาเหตุผลมาอ้างถึงความล่มสลายของลูกหลานองครักษ์พิทักษ์มังกรจนถึงจุดที่ไร้ซึ่งทายาทสืบสกุล
"ข้าไม่รู้เช่นกัน เหตุนี้ข้าจึงแนะนำให้ท่านพิจารณาภาพเหล่านี้และจดจำเรื่องราวต่างๆ ไว้ให้มากที่สุด เมื่อท่านไปถึงโลกมนุษย์อีกครั้งท่านจะได้มีวิธีการแก้ไข" ยมทูตร่างยักษ์ตอบตามความเป็นจริงที่เขารู้
"ขอบคุณ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่มีอิทธิฤทธิ์อันใด แต่อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าชีวิตเบื้องหน้าของข้าจะมีท่านคอยเป็นเพื่อนรับฟังความทุกข์ในใจของข้าบ้างก็ยังดี ก่อนหน้านี้ข้าอยู่โดดเดี่ยวลำพังมาหลายสิบปีท่านเป็นสหายคนแรกของข้าเลยเชียวนะ เอาอย่างนี้ข้าจะตั้งชื่อให้ท่าน หลี่จิ้ง เป็นอย่างไร? โอ้..ไม่ต้องตอบๆ ข้ารู้ท่านชอบชื่อนี้ ข้าจะเรียกอย่างนี้ก็แล้วกัน" หลี่ต้งหมิงพูดเองเออเองเสร็จสรรพ เพราะรู้ดีว่าหลี่จิ้งสหายใหม่ของตนไม่ค่อยพูดจาเท่าใดนัก
ยมทูตเองก็เป็นร่างวิญญาณมานานหลายพันปี ก่อนหน้านี้เป็นเพียงคนเฝ้าประตูภายหลังด้วยรูปร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามจึงได้รับเลือกให้เลื่อนระดับมาเป็นยมทูตคอยรับ-ส่งวิญญาณ เขาเองก็ไม่เคยมีสหายและแทบจะไม่เคยพูดคุยกับผู้ใดนอกจากท่านยมบาลเลยด้วยซ้ำ บัดนี้ได้พบพานสหายใหม่ ทั้งยังมีชื่อแซ่ วิญญาณร่างยักษ์ถึงกับหลั่งน้ำตาแห่งความสุขออกมาแต่หลี่ต้งหมิงไม่สามารถมองเห็นถึงเบื้องลึกของวิญญาณยมทูตได้ สิ่งที่เขาเห็นจึงยังคงเป็นใบหน้าที่เรียบเฉย สงบนิ่งดังเดิม