ตอนที่ 1
คลีฟ เวสเนอร์ เพราะบาดแผลฉกรรจ์จากสงครามทิ้งรอยบาดลึกไว้ในใจ เขา...จึงเลือกปกป้องความรักของตัวเองด้วยการดำดิ่งลงไปในหุบเหวแห่งความเจ็บปวด กีดกั้นหัวใจจากความรักทั้งที่รู้ว่าไม่มีวันลบเลือน เธอ ได้ตลอดชีวิต
นิตา รัตนะรัศมี เพราะหัวใจที่ร้อยรัดความรักไว้กับ เขา อย่างแนบแน่นแม้ต้องแลกกับความเจ็บปวดทรมานสาหัสแม้ความฝันจะถูกทำลายจนย่อยยับหากแต่เธอก็ยินดี
นิตา เฝ้ารอคอยการกลับมาของ คลีฟ เวสเนอร์ นาวิกโยธินหนุ่มชาวอเมริกันที่จดทะเบียนสมรสกับเธอก่อนกลับไปร่วมปฏิบัติการทางการทหารในอาฟกานิสถาน หลังจากนั้นเขาไม่ได้ติดต่อกลับมาหาเธอเป็นเวลาเกือบสองปี หญิงสาวตัดสินใจไปตามหาสามีที่อเมริกา จนกระทั่งได้พบกับเขา ทว่า คลีฟ เวสเนอร์ที่เธอเคยรู้จักกลับไม่ใช่นายทหารนาวิกโยธินคนนั้นอีกต่อไป
...แต่ เขา คือประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ เวสเนอร์ เรียล เอสเตท กรุ๊ป ที่ทำเหมือนไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน นิตาไม่รู้ว่าเธอทำอะไรผิด เขาถึงลงทัณฑ์เธอให้เจ็บปวดทรมานทั้งด้วยสายตาและคำพูด กรีดหัวใจของเธอให้เป็นแผลบาดลึกและผลักไสเธอลงสู่หุบเหวแห่งความเศร้าอย่างไร้ปราณี
The destiny ติดตาม ความรัก
ล็อคเก็ตเงินทรงรีขนาดเล็กถูกกำไว้ในมือเรียวและบอบบางแน่น หลายครั้งมันถูกเปิดออกเพื่อที่เจ้าของซึ่งนั่งอยู่บนเบาะด้านหลังของรถแท็กซี่ซึ่งติดอยู่ท่ามกลางการจราจรแออัดใจกลางมหานครนิวยอร์คจะได้พินิจดูด้วยดวงตาที่รื้นด้วยน้ำคลอหน่วยทว่ามันกลับถูกสะกัดกั้นไม่ให้ไหลลงมาบนแก้มนวลของใบหน้าสวยหวานรูปไข่ตามแบบฉบับของสาวเอเชียใต้กรอบเรือนผมยาวตรงสีน้ำตาลเข้มยามต้องแสงอ่อนที่ลอดผ่านกระจกรถเข้ามา
ภายในล็อคเก็ตนั้นเป็นรูปใบหน้าคมคายของบุรุษผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มแกมทองแดง ดวงตาสีอำพันราวฉายประกายสว่างแม้เป็นเพียงรูปถ่ายเล็ก ๆ จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากหยักหนาได้รูปอย่างชาวอเมริกัน ผู้ที่จ้องมองคลี่รอยยิ้มอ่อนหวานราวกับได้รับไออุ่นจากจี้เล็ก ๆ ในมือกระนั้น
“ขอโทษนะครับ...ไม่ทราบว่าจะลงที่ไหนครับ คุณผู้หญิง?”
เสียงคนขับรถแท็กซี่ที่ดังข้ามเบาะด้านหน้ามาทำให้นิตารีบคืนสติของตัวเองขณะปิดฝาล็อคเก็ตและกระชับสายกระเป๋าสะพาย หญิงสาวมองผ่านกระจกรถออกไปพร้อมกับความคิดที่แท้จริงมันแทบจะไร้ที่หมายก่อนจะเดินทางมายังมหานครแห่งนี้ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะก้าวย่างลงที่ตรงไหนของเมืองซึ่งจอแจไปด้วยผู้คนและการจราจร สิ่งที่เธอปรารถนาคือการมาเพื่อหวังจะพบ ใคร คนหนึ่งต่างหาก
“ตรงนี้ก็ได้ค่ะ”
หญิงสาวบอกคนขับทั้งที่สายตาของเธอไม่ได้จับจดอยู่กับสถานที่ที่จะลง นัยน์ตาคู่หวานดูเลื่อนลอยเหมือนยังไม่แน่ใจในเป้าหมายของตัวเอง
“ขอบคุณนะคะ”
นิตากล่าวกับคนขับรถด้วยรอยยิ้มหลังจากที่เขาเลือกจะมาจอดลงตรงหน้าตึกสูงแห่งหนึ่งก่อนช่วยหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางใบเดียวของหญิงสาวชาวเอเชียร่างเล็กบอบบางในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์แบบสกินนี่ลงไปวางไว้บนฟุตบาท คนขับรถแท็กซี่รับเงินจากหญิงสาวและรีบบึ่งรถออกไป ท่าทางเขาไม่ได้สนใจอะไรซึ่งเป็นธรรมดาของอาชีพที่ต้องเร่งรีบในเมืองศิวิไลซ์แห่งนี้
ร่างแน่งน้อยยืนหันรีหันขวางและเริ่มรู้สึกว่าท้องของเธอจะร้องจ๊อกเพราะความหิว หลังจากใช้เวลาอันยาวนานเดินทางจากประเทศไทยและลงจากเครื่องเหยียบลงบนแผ่นดินอเมริกาก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเพราะความพะวักพะวงและเป็นกังวลทั้งที่ตั้งใจว่าเธอจะต้องเข้มแข็งก่อนมาที่นี่ เธอไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะมาเที่ยว เป้าหมายของเธอคือการมาเพื่อตามหา ใครคนหนึ่ง ต่างหาก
แต่ตอนนี้เธอยังไม่มีที่ไป นิตามาถึงนิวยอร์คอย่างที่ตั้งใจแล้วก็จริงทว่ากลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่ตรงไหน ทว่าความสับสนใจก็ยังไม่มากพอที่จะกลบทับความหิวของเธอได้ คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางตรงไปยังร้านอาหารที่อยู่ใกล้ที่สุด
หญิงสาวนั่งลงที่มุมหนึ่งของร้านอาหารซึ่งเต็มไปด้วยชาวอเมริกัน มันออกจะเป็นร้านที่ดูหรูเล็กน้อยแต่เธอก็ไม่สามารถเดินไปได้ไกลมากกว่านี้นอกจากต้องเร่งรีบสั่งอาหารเพื่อที่จะได้หาที่พักสำหรับนอนคืนนี้ต่อไป นิตาบอกกับตัวเองว่าเธอไม่ได้พิสมัยเบอร์เกอร์หรือสเต็กจานใหญ่ แต่ตอนนี้เธออยู่ในภาวะจำเป็นที่ต้องกินอะไรก็ได้ซึ่งไม่ใช่อาหารไทยอย่างที่เคยชิน
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงขณะที่นิตานิ่งมองไปรอบ ๆ และค่อย ๆ ใช้ส้อมจิ้มสเต็กเนื้อขนาดสุกพอดีเข้าปาก ความคิดของเธอกระหวัดไปถึงใครคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ใครคนหนึ่งซึ่งทำให้เธอต้องเดินทางมาเพียงคนเดียวถึงอเมริกาทั้งที่เมื่อก่อนเธอไม่เคยมีความกล้าหาญมากถึงขนาดนี้
“นีน่า...ถ้าผมปลดประจำการจากกองทัพ ผมจะกลับมารับคุณไปอยู่ด้วยกันที่อเมริกา”
เสียงห้าวทุ้มลึกทว่าทรงพลังยังดังก้องในความนึกคิดของหญิงสาวพร้อม ๆ กับภาพใบหน้าคมเข้มคมคายของ เขา คนนั้นยังแจ่มชัดในมโนนึกเสมอ นิตาเกือบจะทำน้ำตาร่วงลงในจานสเต็กหากก็เก็บกลั้นมันไว้ได้เสียก่อน
“เราจะสร้างครอบครัวด้วยกัน...ถึงวันนั้นผมอยากมีลูกสาวกับลูกชายกับคุณสักห้าคน”
เธอยังคิดถึงประโยคนี้เสมอและมันทำให้นิตาอดไม่ได้ที่จะดึงล็อคเก็ตที่ห้อยคอขึ้นมาเปิดดู
“คลีฟ...”
เสียงแผ่วเบาลอดออกมาจากเรียวปากอิ่มสีชมพูระเรื่อ เธอเกือบต้องเสียน้ำตาอีกแล้วหากไม่มีสิ่งที่เข้ามาขัดจังหวะความคิดนั้นเสียก่อน นั่นคือภาพที่ผู้ชายชาวอเมริกันสวมชุดสูทดูภูมิฐานคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้กันลุกขึ้นเดินออกไปทั้งที่กระเป๋าเอกสารของเขายังวางอยู่บนเก้าอี้
“คะ...คุณ...คุณคะ!”
เร็วกว่าความคิด นิตารีบวางส้อมในมือลงและปรี่เข้าไปหยิบกระเป๋าเอกสารใบนั้นก่อนวิ่งออกไปหน้าร้านและตะโกนเรียก
“คุณคะ!...คุณ...คุณลืมกระเป๋าค่ะ!”
ผู้ชายคนนั้นหันกลับมาและทำสีหน้าประหลาดใจ สักครู่เขาก็มีสีหน้าเหมือนนึกอะไรได้เมื่อนิตาวิ่งเข้าไปหยุดตรงหน้าและยื่นกระเป๋าให้