วันเวลาผ่านล่วงเลยไปจนเข้าปลายเหมันตฤดู นับจากวันที่ซูเยว่ซินฟื้นจากอาการป่วย วันนี้ก็นับได้เกือบหกเดือนแล้ว และถึงแม้ซูฮูหยินหรือสวีซูหลิง จะส่งสารมาตามตัวบุตรสาวให้กลับจวน ทว่าซูเยว่ซินกลับไม่ยินยอมที่จะกลับไป อีกทั้งฝีมือการฝึกวรยุทธ์ของนาง ก็ดูจะก้าวหน้าขึ้นไปทุกวัน มีหรือที่นางจะกลับไปให้มารดาเคี่ยวกรำงานของสตรีเรือนหลังให้แก่นาง
นางรู้ดีว่าถึงเยี่ยงไรแล้ว สงครามชายแดนเมืองโหย่วถิงในครานี้ บิดาและพี่ชายจะเป็นผู้ชนะศึก ก่อนพิธีปักปิ่นของนางในอีกสองปีข้างหน้าอย่างแน่นอน นางเองก็อยากที่จะมีส่วนร่วม เป็นส่วนหนึ่งในสนามรบ ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมกับบิดาและพี่ชาย ถามว่านางกลัวหรือไม่ นางตอบได้เลยว่าไม่กลัว เพราะจะมีสิ่งใดที่น่ากลัวไปยิ่งกว่า การถูกคนที่รักทรยศและหักหลังอีก
"คุณหนูรอง ท่านจะไม่กลับจวนตระกูลซูในยามนี้จริงๆ หรือเจ้าคะ" สาวรับใช้คนสนิทของซูเยว่ซินถามนางออกมาในขณะที่ส่งลูกธนูให้
“ไม่…ข้าจะกลับไปพร้อมกับท่านพ่อและพี่ใหญ่”
นางตอบก่อนที่จะรับลูกธนูมาจากมือของสาวรับใช้ จากนั้นจึงใส่เข้าไปในคันธนู แล้วง้างสายจนสุดแขน ลูกธนูถูกปล่อยไปอย่างมั่นคง มุ่งสู่เป้าหมายอย่างไม่ลังเล
ชิงหลวนสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของคุณหนูรองก็นึกประหลาดใจ จากคุณหนูที่ไม่ค่อยชอบการสู้รบ แต่ที่ร้องตามบิดากับพี่ชายมาชายแดนเป็นเพราะอยากมาเที่ยวเล่น เพราะอยู่ในจวนถูกซูฮูหยินเคี่ยวกรำเรื่องงานของสตรี ทว่ายามนี้คุณหนูรองกลับมาสนใจฝึกวรยุทธ์ อีกทั้งผ่านไปไม่นานคุณหนูรองของนางก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพสกุลซูอย่างไม่มีผู้ใดโต้แย้ง
ซูเยว่ซินแต่งกายด้วยชุดเกราะของทหาร มุ่งหน้าสู่สนามรบขับไล่พวกข้าศึกศัตรูไปพร้อมกับบิดาและพี่ชาย ที่ท่านแม่ทัพซูยินยอมให้บุตรสาวคนเล็กออกรบด้วยกัน เป็นเพราะเขาอยากให้นางแข็งแกร่ง และนางเองก็ผ่านการฝึกฝนวรยุทธ์ และประลองกับเหล่าทหารกล้าของเขามาไม่น้อย นางพิสูจน์ให้เขาได้เห็นแล้วว่า นางมีฝีมือไม่แพ้กับบุตรชายคนโตเลย เช่นนั้นแล้วเขาจึงไม่มีสิ่งใดต้องให้เป็นกังวล
“ท่านพ่อ เหตุใดซินเอ๋อร์ถึงได้กลายเป็นสตรีที่ดุดันเช่นนั้นไปได้ล่ะขอรับ นางไม่กลัวโลหิต หรือแม้แต่ร่างกายที่บาดเจ็บของเหล่าทหารเลย ยามที่ข้าได้เห็นนางถือทวนฟาดฟันกับพวกศัตรูอยู่บนหลังม้า ทุกท่วงท่าช่างองอาจเหนือบุรุษยิ่งนัก บางคราข้าก็แอบนึกกังวลว่า เกรงว่าภายภาคหน้า ว่าที่น้องเขยของข้าจะรับมือนางไม่ได้” ซูเยว่คงพูดคุยกับบิดาในขณะที่มองน้องสาวที่ควบม้าใช้ทวนสังหารพวกทหารฝั่งศัตรูอยู่เบื้องหน้า
“ข้าว่าดีเสียอีก บุรุษใดจะได้ไม่กล้ารังแกนาง”
ท่านแม่ทัพซูบอกบุตรชายด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ ไม่นานนักเหล่าข้าศึกที่ยังเหลือรอดจากการปะทะ ก็รีบพากันล่าถอยกลับไปตั้งหลักในค่ายของฝ่ายตน ท่านแม่ทัพซูไม่ได้สั่งให้ทหารของตนตามไป เพราะเกรงว่าจะเจอกับแผนการดักซุ่มของอีกฝ่าย กองทัพทหารของตระกูลซูจึงล่าถอยกลับไปยังค่ายทหารชายแดนเมืองโหย่วถิงเช่นกัน
การออกรบในครานี้ทางฝั่งของกองทัพตระกูลซู สูญเสียกำลังทหารไปไม่ถึงร้อย และมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไม่ถึงห้าสิบ เป็นเพราะมีแม่ทัพที่แข็งแกร่ง อีกทั้งมีรองแม่ทัพอย่างคุณชายใหญ่ซูเยว่คง และยังมีทหารอาสาที่แม้จะมีรูปร่างเล็กทว่ากลับมีฝีมือยิ่งกว่าพวกทหารทั่วไป ซึ่งคนนอกไม่มีผู้ใดรู้เลย ว่าคนผู้นั้นก็คือบุตรีคนเล็กของท่านแม่ทัพซูนั่นเอง เหล่าทหารกล้าต่างพากันนับถือคุณหนูรองที่มีความกล้าหาญยิ่งกว่าบุรุษ นางไม่ได้เป็นภาระของท่านแม่ทัพและรองแม่ทัพ ทว่านางกลับเป็นกำลังสำคัญให้แก่กองทัพของพวกตน
“สมแล้วที่เป็นบุตรีของท่านแม่ทัพ คุณหนูรองช่างทำให้ข้าน้อยรู้สึกนับถือยิ่งนัก” อู่จง กุนซือของกองทัพตระกูลซูเอ่ยชมคุณหนูรองออกมาในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะในครานี้
“ท่านกุนซือชมข้าเกินไปแล้ว ฝีมือข้ายังห่างไกลจากท่านพ่อและพี่ใหญ่นัก” ซูเยว่ซินกล่าวออกมาอย่างถ่อมตน
เหล่าทหารทุกคนต่างพากันรู้สึกชื่นชมคุณหนูรอง เช่นเดียวกับที่ท่านกุนซือชื่นชมนางออกมา เพราะถึงแม้นางจะยังเยาว์วัย แต่ทว่ากลับมีวรยุทธล้ำเลิศได้ถึงเพียงนี้ย่อมมิใช่ธรรมดา
แท้จริงแล้วในชีวิตก่อนของซูเยว่ซินนั้น ก็เคยฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็กเช่นกัน แต่ทว่านางไม่เคยเข้าสู่สนามรบเช่นในชีวิตนี้ ในชีวิตก่อนนั้นนางเลือกที่จะละทิ้งความสามารถนี้ไปหลังจากเข้าสู่วัยปักปิ่น และทันทีที่ได้พบกับบุรุษที่สวมหน้ากากเป็นคนดีผู้นั้น นางก็ไม่กล้าที่จะกล่าวถึงความสามารถของนางออกมาให้ผู้ใดได้ฟังอีก นางต้องเสแสร้งแกล้งเป็นสตรีที่บอบบาง จนสุดท้ายคนพวกนั้นย่ามใจคิดว่านางอ่อนแอ จึงลงมือกับนางอย่างเย็นชา
สองปีต่อมา
ซูเยว่ซินอยู่ในค่ายทหารที่ชายแดนจนครบกำหนดเวลาที่นางล่วงรู้ ว่าเหล่าข้าศึกจากแคว้นต้าเยี่ยน จะเข้ามาสู้รบกับกองทัพของสกุลซูเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากที่เปลี่ยนกันรับผลัดกันรุกมานานเกือบสองปี จากเด็กหญิงวัยสิบสามในวันนั้น กลายมาเป็นสตรีวัยแรกแย้มในวันนี้ ซูเยว่ซินกลับไม่เคยนึกเสียใจเลย ที่นางได้สูญเสียวัยเด็กเช่นเด็กหญิงคนอื่นๆ ไป เพราะมีแต่ตนเองจะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น นางถึงจะสามารถปกป้องตัวนางเองและคนที่นางรักได้
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ศึกครานี้ลูกอยากจะขอร่วมด้วย”
สตรีที่มีใบหน้าหมดจดเกล้าผมเฉกเช่นบุรุษ สวมชุดเกราะเยี่ยงทหาร มือหนึ่งถือทวนที่เป็นอาวุธประจำกายตั้งแต่ออกรบกับบิดาและพี่ชายมากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ทั้งแม่ทัพซูและรองแม่ทัพอย่างซูเยว่คงต่างรู้ดี ว่าศึกครานี้ใหญ่หลวงนัก สองพ่อลูกไม่อยากให้บุตรสาวและน้องสาวต้องออกไปเสี่ยงอันตรายกับพวกเขาด้วย แต่ทว่าพวกเขากลับต้องพ่ายแพ้ในความมุ่งมั่นของนาง อีกทั้งนางยังเชื่อมั่นว่าครานี้กองทัพตระกูลซูจะต้องเป็นฝ่ายที่รบชนะ
และเพราะไม่มีคราใดเลย ที่ซูเยว่ซินบอกว่าชนะแล้วพวกเขาจะพบกับความพ่ายแพ้ ในครานี้เองก็เช่นกัน นางบอกว่าจะรบชนะและจะเป็นศึกครั้งสุดท้าย เหล่าทหารกล้าต่างเชื่อในคำพูดราวกับเป็นดั่งคำทำนายของคุณหนูรอง ที่ยังไม่เคยพลาดตั้งแต่นางได้กล่าวออกมา พวกเขานับถือทั้งฝีมือและความหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของนางยิ่ง
ศึกชี้ชะตาของสองแคว้น ณ ชายแดนเมืองโหย่วถิงเริ่มต้นขึ้นในยามเหม่า เสียงแตรสัญญาณรบดังขึ้นกึกก้อง ณ ลานกว้าง เหล่าทหารกล้าของทางฝั่งเมืองโหย่วถิงต่างรู้สึกฮึกเหิม สามพ่อลูกตระกูลซูต่างไม่มีผู้ใดหลบอยู่ด้านหลัง มีท่านแม่ทัพผู้องอาจเป็นด่านหน้า บุตรทั้งสองขนาบข้างซ้ายขวา แม้ศึกในครานี้คุณหนูรองบอกว่าจะชนะ แต่ก็หาได้มีผู้ใดประมาทไม่หรือย่ามใจไม่ ครั้นสิ้นเสียงคำสั่งออกรบของท่านแม่ทัพ ทหารทั้งสองแคว้นก็เดินหน้าเข้าหากัน
เสียงของคมดาบที่ปะทะกันดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณชายแดนเมืองโหย่วถิง ทำให้ชาวเมืองต่างพากันรู้สึกหวาดหวั่น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีผู้ใดยอมทิ้งเมืองนี้แล้วหนีไป เพราะต่างก็เชื่อมั่นในกองทัพตระกูลซู ท่านแม่ทัพซูและคุณชายใหญ่สกุลซูเปรียบเสมือนเทพแห่งสงคราม เข้าสู่สนามรบคราใดไม่มีทางที่เขาจะไม่ปลิดชีพแม่ทัพของอีกฝ่าย จนพวกข้าศึกศัตรูที่ได้ยินชื่อเสียงของเขาต่างพากันหวาดเกรง
การต่อสู้ระหว่างกองทัพของทั้งสองแคว้นเป็นไปอย่างดุเดือด ทว่าสตรีที่แต่งกายเฉกเช่นเดียวกับเหล่าบุรุษ ซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าศึกกำลังยกทวนทิ่มแทงข้าศึกศัตรูอย่างไม่หวาดหวั่น ภายในใจของนางยามนี้รู้สึกฮึกเหิมยิ่งนัก นางเพิ่งจะได้รู้ก็ในวันนี้ว่า เส้นทางชีวิตของนางในชีวิตก่อนนั้นช่างน่าเบื่อ หากรู้ว่าตนเองจะมีจุดจบที่น่าสมเพชเวทนาเช่นนั้น นางคงจะเลือกเดินบนเส้นทางนี้กับบิดาและพี่ชายมาตั้งแต่ต้นแล้ว