และแล้วเหตุการณ์ที่ซูเยว่ซินรู้ล่วงหน้าก็เกิดขึ้นจริงๆ เพราะหลังจากที่บิดาของนางกลับมายังจวนตระกูลซูได้เพียงแค่ไม่กี่วัน ฮ่องเต้ก็ทรงมีพระราชโองการ แต่งตั้งให้บิดาไปเป็นแม่ทัพประจำการอยู่ในเมืองหลวง มอบจวนหลังโตให้อีกหนึ่งหลัง ที่ไร่ที่นาอีกหลายหมู่ เงินทอง และผ้าแพรไหมอีกหลายหีบ ทำให้ยามนี้ตระกูลซูมีแต่ผู้คนอยากจะผูกมิตรไมตรีมากยิ่งขึ้น
เพราะยิ่งมีอำนาจและบารมีนั่นเอง ถึงได้ทำให้คุณชายรองสกุลกู้ตัดสินใจเข้าหานาง แต่ทว่าเขากลับมีแผนการที่เหนือกว่าบุรุษใด นั่นก็คือการส่งสตรีผู้นั้นให้มาเป็นสหายข้างกายนาง เสแสร้งแกล้งทำเป็นหวังดีและจริงใจ ทำให้นางไว้วางใจ และหลงเชื่อใจทั้งสองคนจนไม่ทันระแวดระวังตัว ครานี้มีหรือที่คนพวกนั้นจะได้สมหวัง ยิ่งคิดนางก็ยิ่งอยากให้ถึงวันนั้นไวๆ เสียจริง
“นี่พวกเราจะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองหลวงกันจริงๆ หรือเจ้าคะ”
ซูเยว่ซินแสร้งถามออกมา ราวกับว่ากำลังตื่นเต้นดีใจ ทว่าภายในใจนั้น เรื่องนี้หาใช่เรื่องแปลกใหม่ของนางเลยสักนิด เพราะชีวิตก่อนบิดาก็ได้รับตำแหน่งและจวนพระราชทานจากฮ่องเต้เช่นเดียวกัน
“จริงสิลูก เป็นเพราะตระกูลของเรามีความดีความชอบ ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานจวนหลังใหม่ให้แก่ตระกูลเรา พี่ชายของเจ้าก็จะได้เข้าไปรับตำแหน่งรองหัวหน้าของหน่วยองครักษ์ กองกำลังพยัคฆ์ขาว ทำหน้าที่ดูแลเชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับงานในค่ายทหารอีก”
ท่านใต้เท้าซูตอบบุตรสาวยิ้มๆ พลางมองภรรยาที่กำลังสั่งการสาวรับใช้ให้ทยอยเก็บของอยู่ ส่วนบุตรชายคนโตนั้นออกจากจวนไปร่ำลาเหล่าสหาย เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางเข้าเมืองหลวงกันแต่เช้า
ซูเยว่ซินรู้สึกประหลาดใจ เพราะเรื่องที่พี่ชายของนางได้รับตำแหน่งนี้ นั้นเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปจากในชีวิตก่อน นั่นก็หมายความว่าทิศทางของอนาคตได้เปลี่ยนไปบ้างแล้ว อย่างน้อยพี่ชายของนางก็ได้ไปทำงานอยู่ในที่ ที่ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับผู้ที่อยู่นอกวังหลวง ครานี้ก็จะได้ไม่มีผู้ใดกล้าหลอกใช้เขาเช่นในชีวิตก่อนอีก
“พ่อคิดว่าจะจัดพิธีปักปิ่นให้เจ้าหลังจากที่เราย้ายไปอยู่เมืองหลวงแล้ว จะได้จัดงานเลี้ยงฉลองจวนใหม่ด้วยเลย…เจ้าว่าดีหรือไม่”
“ไม่ต้องจัดให้มันเอิกเกริกอันใดหรอกหนาเจ้าคะท่านพ่อ เชิญเพียงแค่ญาติพี่น้องของตระกูลเรากับท่านตาท่านยายมาก็พอ เพราะข้ายังไม่คุ้นเคยกับธรรมเนียมปฏิบัติตนต่อสตรีอาวุโสเท่าใดนัก”
ใต้เท้าซูเข้าใจในความต้องการของบุตรีเป็นอย่างดี นางอยู่ในสนามรบกับเขามาตั้งสามปี มีหรือที่เขาจะมองบุตรสาวไม่ออก นางคงจะนึกกังวลเกรงว่าจะประพฤติตนไม่ถูกไม่ควร ยามที่ต้องอยู่ต่อหน้าพวกสตรีอาวุโสจากตระกูลอื่น เพราะถ้าหากเป็นคนในตระกูลหรือญาติมิตรกัน ย่อมเป็นกันเองมากกว่า
“พ่อย่อมทำตามที่เจ้าต้องการอยู่แล้วซินเอ๋อร์….ก็นั่นคือพิธีสำคัญของเจ้า เห้อ…พอมาคิดดูแล้วก็รู้สึกใจหายไม่น้อย แต่ก็ยังอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดีเช่นกัน"
“ใจหายเรื่องอันใดกันหรือเจ้าคะ แล้วที่ว่าอดตื่นเต้นไม่ได้นั่นคือเรื่องใด” ซูเยว่ซินเอ่ยถามบิดาออกมาด้วยความงุนงงไม่เข้าใจในสิ่งที่บิดากล่าวออกมา
"ก็ท่านพ่อของเจ้ากำลังรู้สึกใจหาย ที่เจ้ากำลังจะเข้าสู่วัยออกเรือนแล้วน่ะสิ และที่เขาบอกว่าตื่นเต้น ก็คือเขาอยากจะรู้ว่า คุณชายจากตระกูลใดที่จะมีความสามารถมาคว้าหัวใจบุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ตระกูลซูเช่นเขาไปครอบครองได้เยี่ยงไรเล่าซินเอ๋อร์…”
ซูฮูหยินเดินเข้ามาได้ยินที่สองพ่อลูกพูดคุยกันพอดี นางจึงตอบคำถามของบุตรสาวออกมาแทนสามี ใบหน้าของนางนั้นยิ้มแย้มยินดีในยามที่กล่าวออกมา ทว่าซูเยว่ซินกลับแสดงสีหน้าเฉยชาหาได้มีความเขินอายไม่
“ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ข้าสัญญาว่าข้าจะเลือกว่าที่ลูกเขยที่เป็นคนดีให้แก่ท่านพ่อท่านแม่อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ แต่ว่าหาใช่ในอีกสองสามปีข้างหน้านี้ไม่” น้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจังของบุตรสาว ทำให้ทั้งบิดาและมารดาต่างมองหน้ากัน
ทั้งคู่พลันหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เพราะต่างคนต่างก็ไม่คิดว่าบุตรสาวจะกล่าวออกมาเยี่ยงนี้ แต่ถึงอย่างไรเรื่องคู่ครองพวกเขาจะให้นางเป็นผู้ตัดสินใจเอง ทั้งท่านแม่ทัพซูและซูฮูหยิน ต่างก็ไม่อยากเร่งรัดให้บุตรสาวรีบออกเรือน และไม่มีความคิดที่จะให้บุตรสาวออกเรือนไป เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับตระกูลใด อำนาจในมือของตระกูลซูยามนี้นั้นมีมากพออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปหาพึ่งพาอำนาจจากตระกูลใดอีก
ซูเยว่ซินนั้นเป็นเพราะชีวิตก่อนเลือกคนผิด ทำให้นางรู้สึกผิดต่อบิดามารดาและพี่ชาย ที่นางกล่าวออกมาเยี่ยงนี้ จึงหาใช่คำพูด ที่เพียงอยากแค่เอาอกเอาใจบิดามารดาไม่ แต่ทว่าเป็นความตั้งใจของนางอย่างแท้จริง ชีวิตนี้นางตั้งใจเอาไว้แล้ว ถ้าหากนางไม่ได้พบกับบุรุษที่รักนางจากใจ นางก็จะไม่มีวันออกเรือนไปกับผู้ใด นางจะไม่มีทางทำให้ตระกูลซูต้องล่มสลายเพราะความโง่เขลาของนางอีกเป็นอันขาด
หลังจากปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องย้ายไปยังเมืองหลวง และพิธีปักปิ่นของบุตรสาวเป็นอันเข้าใจกันดีแล้ว สองสามีภรรยาจึงพากันกลับไปพักผ่อนที่เรือนใหญ่ ซูเยว่ซินเองก็กลับเรือนนอนของตนเช่นกัน ทว่านางกลับแวะเข้าไปในสวนดอกไม้ข้างๆ เรือนนอนของนาง ร่างบางนั่งลงบนเก้าอี้หินในใจคิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่นางฟื้นคืนมาเหตุการณ์กำลังดำเนินไปเช่นในชีวิตก่อน
ทว่าสิ่งที่ต่างออกไปคือชีวิตนี้นางมีวรยุทธ์เป็นเลิศ และพี่ชายกำลังจะได้เข้าไปรับตำแหน่งรองหัวหน้ากองกำลังพยัคฆ์ขาว ซึ่งเป็นองครักษ์ของราชวงศ์ แม้ลึกๆ จะรู้สึกโล่งใจที่ต่อไปพี่ชายจะไม่ได้มาพัวพันกับเรื่องของนาง แต่ทว่าก็ยังอดเป็นกังวลเรื่องราวของอนาคตที่เปลี่ยนไปไม่ได้ ถึงแม้เรื่องราวในภายภาคหน้าจะเปลี่ยนไป สิ่งที่นางต้องการจะตอบแทนหญิงร้ายชายเลวสองคนนั้น ก็ยังคงไม่เปลี่ยนตาม
“ชิงหลวน เจ้ากลับไปเตรียมที่นอนให้ข้าก่อนเถิด ข้าขอนั่งอยู่ที่นี่ตามลำพังอีกสักพัก แล้วข้าค่อยเข้าไปนอน”
ชิงหลวนรับคำสั่งแล้วจากไปแต่โดยดี ซูเยว่ซินนั่งมองดอกไม้ในสวนที่บานสะพรั่งอยู่นานเกือบสองเค่อ นางจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเยื้องย่างกลับไปทางเรือนนอนของตน
เช้าวันใหม่ ขบวนรถม้าที่บรรทุกคนและเกวียนที่บรรทุกสัมภาระยาวหลายลี้ ก็เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง ชาวบ้านต่างพากันมารอส่งท่านแม่ทัพซู และกองทัพทหารตระกูลซูเต็มสองข้างทาง ทุกคนล้วนแล้วแต่เสียดายที่เมืองโหย่วถิงจะไม่มีขุนนางตงฉินผู้นี้อีกแล้ว แต่ถึงเยี่ยงไรการตัดสินใจของฮ่องเต้ย่อมสำคัญและไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ พวกเขาจึงมารอส่งตระกูลซูเดินทางย้ายไปอยู่เมืองหลวงด้วยความเสียดาย
ซูเยว่ซินที่นั่งอยู่ในรถม้า มองผ่านผ้าม่านไปยังอดที่จะรู้สึกปลื้มใจไม่ได้ ที่ผ่านมานางไม่เคยรู้เลยว่า ตระกูลของนางจะเป็นที่รักและนับถือของพวกชาวเมืองโหย่วถิงได้ถึงเพียงนี้ ใบหน้าที่เศร้าหมองจริงใจของชาวเมืองทุกคนที่แสดงออกมา ทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งใจ เหตุใดชีวิตก่อนนางถึงมองคนไม่ออกหนอ ในเมื่อชีวิตนี้ได้รับกลับมาใหม่แล้ว นางจะต้องใช้มันให้ดี ผู้ใดเคยทำดีต่อนางย่อมได้รับสิ่งที่ดีๆ จากนางเป็นการตอบแทน ทว่าผู้ใดที่เคยมอบความเจ็บปวดให้แก่นาง นางก็จะตอบแทนคนผู้นั้นด้วยความเจ็บปวดกลับคืนไปเช่นกัน