ขบวนกองทัพทหารของสกุลซูเคลื่อนทัพกลับเมืองโหย่วถิง หลังจากสงครามชายแดนเมืองโหย่วถิงจบลง ซูฮูหยินที่ได้ยินเรื่องราวของบุตรีมาโดยตลอด ก็อดที่จะรู้สึกเป็นห่วงซูเยว่ซินไม่ได้ ไปคลุกคลีอยู่กับเหล่าบุรุษมาตั้งนานเกือบสามปี กลับมาครานี้นางจึงวางแผนเอาไว้ว่าจะจับบุตรสาว ให้มาเรียนรู้งานของสตรีในเรือนหลัง เพราะอีกไม่นานบุตรสาวก็จะเข้าสู่วัยปักปิ่นแล้ว ซูเยว่ซินเองก็รู้แก่ใจดี ว่ากลับจวนมาแล้วนางต้องพบเจอกับเรื่องอันใด ทว่านางก็ไม่มีหนทางที่จะหลบลี้หนีหน้ามารดาไปได้
“มีสตรีใดบ้าง ออกไปวิ่งเพ่นพ่านอยู่ในสนามรบกับพวกบุรุษเยี่ยงเจ้า ตั้งแต่นี้ต่อไป ให้อยู่แต่ในเรือน คอยเรียนรู้งานของสตรีกับแม่” ซูฮูหยินกล่าวออกมาทันทีหลังจากที่ต้อนรับการกลับมาของสามีและลูกๆ เสร็จ
ทั้งใต้เท้าซูและซูเยว่คงต่างพากันนึกขันแกมเอ็นดูซูเยว่ซิน ทว่าหามีผู้ใดกล้าช่วยนางพูดเกลี้ยกล่อมมารดาสักคน แต่มิเป็นอันใดเพราะอีกไม่นานตระกูลซูก็ต้องย้ายจวนไปอยู่ในเมืองหลวงอยู่ดี ท่านแม่ของนางก็จะได้ควบคุมนางจนกว่าจะถึงวันนั้น ซึ่งนับจากวันนี้ก็เหลือเพียงอีกแค่ไม่กี่วันแล้ว
“เจ้าค่ะท่านแม่”
ครั้นได้ยินบุตรสาวตอบออกมาเยี่ยงนั้น ซูฮูหยินก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ก่อนที่จะเริ่มสำรวจร่างกายของบุตรสาว จากนั้นจึงหันไปบ่นให้ผู้เป็นบิดาและผู้เป็นพี่ชาย
“ท่านเป็นบิดา ส่วนเจ้าก็เป็นพี่ชาย เหตุใดถึงหักใจยอมให้ซินเอ๋อร์จับดาบเฉกเช่นบุรุษได้ หากนางเกิดพลาดพลั้งเป็นอันใดขึ้นมา พวกท่านเคยนึกถึงใจข้าหรือไม่ ว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เยี่ยงไร”
เรื่องนี้ซูเยว่ซินรู้ดี ว่าถ้าหากครอบครัวต้องสูญเสียใครไปสักคน มารดาของนางย่อมมิอาจทำใจให้ยอมรับได้ เพราะในชีวิตก่อนมารดาของนางก็ตรอมใจตาย เพราะสูญเสียสามีและบุตรชายไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ในชีวิตนี้ซูเยว่ซินตั้งใจเอาไว้แล้วว่า นางจะปกป้องทุกคน จะไม่ให้ผู้ใดต้องมาจากไปเพราะความโง่เขลาของนางเฉกเช่นในชีวิตก่อนอีก
“โถ่…ท่านแม่เจ้าคะ ลูกก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้วเยี่ยงไร ท่านอย่าได้ตำหนิท่านพ่อกับพี่ชายใหญ่เลยนะเจ้าค่ะ ต่อไปหากท่านแม่ต้องการให้ลูกทำสิ่งใด ลูกจะยอมทำโดยมิปริปากบ่นเลยเจ้าค่ะ” ซูเยว่ซินออดอ้อนมารดา
คราแรกซูฮูหยินแสดงท่าทีขุ่นขึ้ง ครั้นได้เจอลูกอ้อนของบุตรสาวที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานเกือบสามปี ก็พาให้ใจของนางอ่อนยวบ นางดึงร่างบางของซูเยว่ซินเข้ามากอดพลางใคร่ครวญในใจ ว่านางไม่น่าออกเรือนมากับสามีที่เป็นแม่ทัพเลย หากรู้ว่ามีบุตรีกับเขาแล้ว บุตรีของนางจะได้เลือดของบิดามาเต็มๆ สองแม่ลูกกอดกัน สองพ่อลูกได้แต่ลอบมองหน้ากันพลางส่ายหน้าไปมา
วันนี้ใต้เท้าโจว ท่านเจ้าเมืองโหยว่ถิง ได้จัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะให้แก่กองทัพทหารสกุลซู ที่ช่วยปกป้องบ้านเมืองจากพวกข้าศึก ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา ทหารหลายนายต้องพลีชีพในสนามรบ และทหารอีกหลายนายที่สร้างคุณงามความดีให้แก่ตนเอง ท่านแม่ทัพและท่านรองแม่ทัพต่างยินดี ที่จะเสนอรายนามบุคคลเหล่านั้น ให้ได้รับความดีความชอบไปด้วยกัน หาได้ตกหล่นสักคนไม่ หากจะตกหล่นก็คงจะมีเพียงแค่บุตรีของเขา ที่มิอาจเปิดเผยตัวตนได้ หากตระกูลอื่นรู้เข้าว่านางเคยเข้าสู่สนามรบด้วย คงจะไม่มีบุรุษใดอยากจะมาสู่ขอสตรีที่เก่งเกินบุรุษเยี่ยงนาง
“ขอบน้ำใจท่านเจ้าเมืองยิ่งนักขอรับ ที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าทหารกล้า สหายร่วมรบของข้า จอกนี้ข้าขอดื่มคารวะเป็นการตอบแทนน้ำใจของท่าน ที่มีต่อพวกเราทุกคน”
ท่านแม่ทัพซูกล่าวออกมา ในขณะที่สองมือยกจอกสุราขึ้นมา แล้วกระดกดื่มรวดเดียวจนหมดจอก ใต้เท้าโจวเจ้าเมืองโหย่วถิงเองครั้นได้รับเกียรติเช่นนั้น จึงยกจอกสุราขึ้นมากระดกจนหมดบ้าง
“เชิญเหล่าพี่น้องดื่มกินกันให้เต็มที่ หากมิได้พวกท่าน มีหรือที่เมืองโหย่วถิงจะคงดำรงอยู่ต่อไปได้”
ท่านเจ้าเมืองกล่าวออกมาพลางยกจอกสุราขึ้นมาอีกคราแล้วกระดกจนหมด เหล่าทหารกล้าพากันร้องเฮออกมา ก่อนที่เสียงดนตรีจะถูกบรรเลงขึ้นจนดังไปทั่วทั้งบริเวณลานกว้างกลางเมือง ใต้เท้าโจว ผู้เป็นเจ้าเมืองจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้พวกทหารกล้าในครานี้ แบบไม่เสียดายเงินที่เสียไปกันเลยทีเดียว
ในยามที่ท่านแม่ทัพ รองแม่ทัพและเหล่าทหารกล้ากำลังดื่มกินกันอยู่ในงานเลี้ยงต้อนรับและฉลองชัยชนะอยู่นั้น ซูเยว่ซินหาได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงไม่ เพราะมารดาบอกว่าไม่เหมาะสม อีกทั้งคนนอกก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่า นางคือหนึ่งในผู้ที่ช่วยกองทัพทหารของตระกูลซู ขับไล่ข้าศึกศัตรูออกไปจากแคว้นต้าโจว ทำให้ซูเยว่ซินต้องเก็บเนื้อเก็บตัว อยู่แต่ภายในจวนอย่างเชื่อฟัง
“เหตุใดท่านแม่จึงต้องไม่ให้บอกผู้ใดว่าข้าเคยถือดาบ ออกรบกับพวกท่านพ่อและพี่ชายใหญ่ด้วยเล่า”
ซูเยว่ซินอดที่จะตั้งคำถามออกมาไม่ได้ ทั้งๆ ที่นางก็เป็นส่วนหนึ่งในกองทัพตระกูลซู เหตุใดนางถึงไปร่วมงานเลี้ยงฉลองในครานี้ไม่ได้
“ก็อีกไม่นานคุณหนูจะถึงวัยปักปิ่นแล้วนี่เจ้าคะ” ชิงหลวนยิ้มในขณะที่แสดงความคิดเห็นออกมา
“แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอันใดกับการที่ข้าจะเข้าพิธีปักปิ่นด้วยล่ะชิงหลวน” ซูเยว่ซินเอ่ยถามสาวรับใช้คนสนิทด้วยความสงสัย
“ก็เพราะว่า…หากผู้อื่นรู้ว่าคุณหนูเป็นสตรีที่เคยอยู่ในสนามรบมา แล้วยังจะมีบุรุษใดกล้าที่จะมาสู่ขอคุณหนูของบ่าวไปเป็นภรรยาอีกเล่าเจ้าคะ” ชิงหลวนตอบออกมายิ้มๆ ทว่าซูเยว่ซินกลับอ้าปากกว้าง เคยมีชีวิตอยู่จนถึงวัยสิบแปดปีมาแล้ว เคยผ่านชีวิตของการเป็นภรรยามาแล้วเช่นกัน แล้วเหตุใดนางถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้กัน
“ไม่มีก็ดี เพราะชีวิตนี้ข้าก็มิได้อยากออกเรือนไปกับบุรุษใด” นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังจนทำให้ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มของชิงหลวน ถึงกับเปลี่ยนสีหน้าไปเป็นเคร่งเครียดทันที
“จะเป็นเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกันเล่าเจ้าคะ คุณหนูของข้าน้อยทั้งงดงาม ทั้งมีความสามารถเยี่ยงนี้ ข้าเชื่อว่าจะต้องมีบุรุษสักคน ที่ยอมรับในสิ่งที่คุณหนูของบ่าวเป็นได้อย่างแน่นอน” ชิงหลวนรีบแย้ง พลางกล่าวถึงเหตุผลออกมา
ซูเยว่ซินยิ้มจางๆ ก่อนที่นางจะเดินออกจากเรือนแล้วเข้าไปในสวนดอกไม้ นางนั่งลงยังม้านั่งในสวนดอกไม้ข้างเรือนนอนของตน ใบหน้างามแหงนมองดวงจันทร์ที่ยามนี้ส่องแสงสว่างอยู่เต็มท้องฟ้า พลันคิดในใจ
‘หากเขาผู้นั้นยังคงมีใจต่อข้าเช่นชีวิตก่อน ไม่แน่ว่าในชีวิตนี้ ข้าอาจจะลองให้โอกาสเขาดูสักคราก็เป็นได้’
ชิงหลวนไม่รู้ว่าคุณหนูรองกำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่ทว่าหากยามใดที่คุณหนูรองเหม่อมองออกไปบนท้องฟ้า หรือเหม่อมองบางสิ่งบางอย่างอยู่อย่างเลื่อนลอยนั้น นั่นหมายความว่า ไม่ใช่เวลาที่นางจะเข้าไปขัดขวางคุณหนูรองได้ ชิงหลวนจึงคอยยืนอยู่ด้านหลังของคุณหนูรองอย่างเงียบๆ รอให้อีกฝ่ายชื่นชมความงามของจันทราในยามค่ำคืนให้พอใจ