สตรีทั้งสองรีบออกจากงานเทศกาลไป โดยไม่สนใจบรรยากาศอันน่าสนุกสนานภายในงานอีก หลูเจียงหลีอยากเอาอกเอาใจกู้อี้เหวิน เพราะมีเพียงแต่เขาเท่านั้น ที่จะช่วยให้นางใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลหลูได้อย่างไม่ยากลำบาก และในภายภาคหน้านางก็อาจจะได้เป็นคนที่อยู่เคียงข้างกายของเขา กลายเป็นฮูหยินใหญ่ของสกุลกู้ก็เป็นได้
รถม้าของตระกูลหลูถูกบังคับขับเคลื่อนให้ไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนตระกูลกู้ นางให้เถียวเอ๋อร์ลงไปบอกบ่าวผู้คุ้นกันประตูจวน ให้ไปแจ้งคุณชายรองกู้อี้เหวิน ว่าคุณหนูสี่สกุลหลูมาขอพบ พร้อมกับหยิบเงินเพื่อเป็นรางวัลให้อีกฝ่ายไปสองเหวิน บ่าวผู้นั้นจึงรีบเข้าไปรายงานให้คุณชายรองทราบทันที ผ่านไปนานเกือบหนึ่งเค่ออีกฝ่ายจึงกลับออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด
“คุณชายรองบอกว่า วันนี้เขาไม่สะดวกที่จะออกมาพบ แต่ว่าวันพรุ่งนี้ยามเซิน ขอเชิญคุณหนูสี่ไปพบคุณชายรองที่โรงเตี๊ยมเซียงซีแทนขอรับ”
ครั้นได้ยินเช่นนั้น หลูเจียงหลีจึงยินยอมที่จะกลับไปแต่โดยดี นางรู้ว่ายามนี้อาจจะเป็นเพราะท่านใต้เท้ากู้นั้นกำลังพำนักอยู่ที่จวน ทำให้กู้อี้เหวินไม่สะดวกที่จะออกมาพบหน้านาง เพราะคุณชายรองกู้ไม่ใช่บุตรในภรรยาเอก อีกทั้งยังสอบไม่ติดรายชื่อทองคำ ทำให้ไม่เป็นที่โปรดปรานของบิดา เรื่องนี้นางเข้าใจดี นางถึงอยากมีส่วนช่วยเหลือให้เขากลายเป็นผู้นำตระกูล ทว่านางกลับมิอาจเข้าถึงคนในตระกูลของเขา
ภายในตลาดตวนอียามนี้ยังคงคึกคัก ซูเยว่ซินเดินเคียงข้างไปกับบุรุษหนุ่มรูปงาม ไม่ว่าจะเดินไปทางใด สตรีก็มักจะเหลียวมองมายังเขาเป็นตาเดียวกัน พลางซุบซิบส่งตาหวานเยิ้มมาให้ มีหลายครานางลอบสังเกตสีหน้าของเขา ทว่าพบแต่ความเย็นชาจนน่าขัน กับสตรีอื่นเหตุใดเขาถึงไม่สนใจกัน แล้วเพราะเหตุใดชีวิตก่อนเขาถึงได้มีใจให้นาง
“เจ้าคงอยากรู้ว่าเหตุใดพี่ถึงไม่สนใจสตรีเหล่านั้นใช่หรือไม่” เสียงทุ้มของคนข้างๆ ดังออกมา ซูเยว่ซินรู้สึกตกใจที่เขารู้ทัน นางจึงกระแอมไอหนึ่งทีแล้วจึงตอบเขาออกมา
“แล้วเพราะเหตุใดกันเล่าเจ้าคะ”
นางเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน ในชีวิตก่อนมีสตรีดีๆ ชาติตระกูลดี กิริยามารยาทเพียบพร้อมตั้งมากมายก่ายกองมามอบไมตรีให้แก่เขา ทว่าเหตุใดเขาถึงไม่ยอมเลือกสตรีนางใดเลย แม้นางจะออกเรือนไปกับกู้อี้เหวินแล้วก็ตาม เขาก็ยังไม่ตกแต่งผู้ใดเข้าสกุล จนสุดท้ายเขาก็ไม่มีโอกาสได้มีคู่ครอง…
“เพราะสตรีเหล่านั้นมิใช่เจ้า”
คำตอบที่แสนจะซื่อตรงของชายหนุ่ม ทำให้ซูเยว่ซินถึงกับชะงักเท้าที่ก้าวเดิน นางรีบหันหลังไปมองสาวรับใช้ทั้งสามของตน กับบ่าวรับใช้ของเขาที่ติดตามมาไม่ห่าง ทว่าทั้งสี่หนุ่มสาวต่างพากันมองไปที่อื่น ทำให้นางรู้สึกโล่งใจ จึงก้าวเดินต่อไป
“เอ่อ…ข้าว่าพวกเรารีบไปที่หอชิวเซียนกันเถิดนะเจ้าคะ น้องหญิงกู้กับคุณหนูเจียงคงรออยู่นานแล้ว”
นางเปลี่ยนเรื่องสนทนาทันที พลางรีบสาวเท้าก้าวยาวๆ นำหน้าเขาไป ชายหนุ่มมองตามพลางยิ้มกริ่มออกมา จากนั้นจึงรีบเดินตามนางไปเช่นกัน สาวรับใช้และบ่าวรับใช้ของทั้งสองคนจึงต้องรีบเร่งฝีเท้าเพื่อให้ไม่เว้นระยะห่างจากคุณชายและคุณหนูของพวกตนมากจนเกินไป
สองหนุ่มสาวและผู้ติดตาม ไปถึงหอชิวเซียนในยามที่ใกล้ปล่อยโคมลอยแล้ว แสงจันทร์สีนวลอร่ามปะทะกับแสงไฟจากโคม ทำให้ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ ยิ่งส่องสว่างมองเห็นเมืองไปทั่วทั้งเมืองราวกับเป็นตอนกลางวัน ครั้นได้เห็นพี่ชายใหญ่กับพี่หญิงรองสกุลซูเดินตามกันเข้ามา กู้มู่หรงก็ยิ้มกว้างพลางกวักมือร้องเรียกทั้งสอง เจียงซีหรูยิ้มแย้มออกมาเช่นกัน
“ต้องขออภัยด้วยที่มาถึงช้า พวกเจ้ามารออยู่ที่นี่นานแล้วหรือไม่” ซูเยว่ซินกล่าวออกมาทันทีที่ถึงโต๊ะที่มีคุณหนูทั้งสองนั่งอยู่
“ขออภัยอันใดกันเจ้าคะ พวกข้าเองก็เพิ่งจะมาถึงเช่นกัน เชิญพวกท่านนั่งลงกันก่อนเถิด” เจียงซีหรูเป็นผู้ตอบออกมาพร้อมเชิญให้สองหนุ่มสาวนั่งลงยังเก้าอี้ตัวที่ว่าง
แท้จริงแล้วพวกนางมานั่งรออยู่ที่นี่นานเกือบหนึ่งเค่อแล้ว ทว่าไม่อยากให้ซูเยว่ซินรู้สึกว่านางเสียมารยาท จึงได้ตอบเช่นนี้อออกมา เพราะไหนๆ ก็เป็นความต้องการของคุณชายใหญ่กู้แล้ว ที่อยากจะใช้เวลาร่วมกันกับซูเยว่ซิน มีหรือที่นางจะนึกตำหนิอีกฝ่าย มิใช่เป็นเพราะอีกฝ่ายอยากที่จะใช้เวลาร่วมกับคุณชายใหญ่กู้เสียเมื่อไรกัน
“พี่ชายใหญ่กับพี่หญิงซูหิวหรือไม่เจ้าคะ พวกข้ากำลังจะสั่งอาหารมากินกัน” กู้มู่หรงรีบถามออกมาหลังจากที่เห็นว่าพี่ชายและพี่สาวสกุลซูนั่งลงเรียบร้อยแล้ว
“พวกเจ้าสั่งกันตามสบายเถิด ตัวพี่กินได้ทุกอย่าง”
ครั้นได้ยินเช่นนั้น กู้มู่หรงจึงร้องเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้มารับรายการอาหารทันที ซูเยว่ซินเผลอลืมตน สั่งอาหารที่กู้มู่เฉินชอบมาสองสามอย่าง ที่นางรู้ก็เป็นเพราะในชีวิตก่อน นางเคยได้ยินพวกสาวรับใช้ภายในเรือนพูดคุยกัน ว่ากู้อี้เหวินนั้นเป็นคนกินยาก ส่วนกู้มู่เฉินนั้นเป็นคนที่กินง่าย อยู่ง่าย ไม่หยิ่งยะโสแม้อีกฝ่ายจะเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกก็ตามที และอาหารสามอย่างนี้เป็นอาหารที่ฮูหยินใหญ่ลงมือทำบ่อยๆ ทำให้คุณชายใหญ่กู้โปรดปรานเป็นอย่างมาก
“พี่หญิงซูเป็นผู้ที่สั่งอาหารสามอย่างนี้หรือเจ้าคะ”
หลังจากอาหารทยอยวางลงบนโต๊ะ กู้มู่หรงจึงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ แม้แต่กู้มู่เฉินเองก็ยังอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ ไม่ได้ ซูเยว่ซินพยักหน้าขึ้นลงเป็นคำตอบ
“เจ้ารู้ด้วยหรือว่าพี่ชอบกินอาหารทั้งสามอย่างนี้” เขาก็กระซิบถามซูเยว่ซินด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“มะ…ไม่รู้เจ้าค่ะ นี่เป็นอาหารที่ข้าชอบกินเช่นกัน”
นางเพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอไปจึงรีบปฏิเสธออกมาทันที กู้มู่หรงหันไปมองหน้าเจียงซีหรูด้วยความตื่นเต้น เพราะนางเองก็ไม่คิดว่า สตรีที่นางแอบหมายปองให้พี่ชาย จะมีอาหารที่ชื่นชอบเช่นเดียวกับพี่ชายของนาง แล้วเช่นนี้เรื่องผูกไมตรีให้คนทั้งสองจะไปยากอะไร
กู้มู่หรงคีบอาหารขึ้นมาใส่ปาก แล้วค่อยๆ เคี้ยวอย่างระมัดระวัง นัยน์ตากลมทั้งสองข้างก็ยังคงจดจ้องไปที่สองหนุ่มสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม มองพี่ชายสลับกับพี่หญิงซูอยู่เช่นนั้น แล้วพยักหน้าขึ้นลงอย่างพึงพอใจ เจียงซีหรูอดที่จะนึกขันให้กับท่าทางราวกับเป็นมารดาของกู้มู่หรงไม่ได้ นางจึงสะกิดอีกฝ่ายเพื่อเรียกสติ ไม่ให้เผลอมองซูเยว่ซินมากจนเกินไป เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว ว่าเด็กแสบอย่างกู้มู่หรง กำลังคิดเป็นแม่สื่อให้พี่ชายใหญ่ของนาง
กว่าที่งานเทศกาลในค่ำคืนนี้จะเลิกลา ผู้คนก็ทยอยกันกลับเรือนของตน รถม้าตระกูลเจียงไปส่งซูเยว่ซินถึงหน้าประตูจวน ด้านหลังมีรถม้าของจวนตระกูลกู้ติดตามมาด้วย ซูเยว่ซินรู้สึกเกรงใจคุณหนูทั้งสองตระกูลอยู่ไม่น้อย และที่สำคัญคุณชายใหญ่ตระกูลกู้ ไม่รู้ว่าเขาจะควบม้าตามมาส่งพวกนางทำไม นางจึงคำนับลาเขา และกล่าวลาคุณหนูทั้งสองจากนั้นจึงกลับเข้าจวนไป นัยน์ตาคมมองตามซูเยว่ซินไปจนลับสายตา จากนั้นเขาจึงควบม้าตามหลังรถม้าของน้องสาวและญาติผู้น้องไป ค่ำคืนนี้แสงของจันทราช่างงดงามยิ่งนัก…