หลังจากเดินชมนกชมดอกไม้อยู่นานเกือบหนึ่งก้านธูป ซูเยว่ซินจึงไปคารวะมารดาที่เรือนซูอี้ ยามนี้บิดาและพี่ชายไม่อยู่ที่จวน บิดาออกไปสำนักบัญชาการตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนพี่ชายเข้าไปทำหน้าที่องครักษ์ในวังหลวงอยู่หลายวันแล้วยังไม่กลับมา ทำให้นางต้องหมั่นแวะเวียนไปหามารดาเพื่อไม่ให้มารดาต้องรู้สึกเหงาใจเฉกเช่นในชีวิตก่อน
“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ร่างระหงย่อกายคำนับมารดา ซูฮูหยินหรือสวีซูหลิงยิ้มแย้มให้บุตรสาวก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ตามสบายเถิดซินเอ๋อร์ ว่าแต่เจ้ากินมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง” ซูเยว่ซินเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ แล้วจึงตอบมารดา
“กินมาแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ นี่ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ”
“แม่กำลังเย็บปักลายลงบนผ้าม่าน เจ้ามาก็ดีแล้ว มาช่วยแม่สักผืนสองผืนเถิด” เพราะไม่อยากให้มารดาเหงา ซูเยว่ซินจึงพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในงานอดิเรกของมารดา
“ท่านแม่แน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าจะให้ข้าช่วยปักลวดลายลงบนผ้าม่านจริงๆ คราก่อนที่ข้าปักผ้า ท่านพ่อก็ทักว่าเป็ดของข้าขี้เหร่” ซูฮูหยินกับป้ากุยหัวเราะออกมา บรรดาสาวรับใช้ที่รายล้อมพวกนางอยู่ ก็ถึงกับพากันกลั้นยิ้มให้กับความน่าเอ็นดูของคุณหนูรอง
“ฝึกๆ ไปเจ้าก็จะปักได้งดงามเอง นอกเสียจากเจ้าจะคิดว่า การเย็บปักเป็นงานที่น่าเบื่อ” ซูฮูหยินเข้าใจดี แต่ถึงเยี่ยงไรแล้วนางก็ยังอยากให้บุตรี ได้ฝึกความอดทน ซึ่งการที่นั่งเย็บปักอยู่เงียบๆ นั้น ก็ถือเป็นการฝึกสมาธิและการอดทนอีกอย่างหนึ่ง
“อ้อ….ท่านแม่ ก่อนที่ข้าจะมาคารวะท่าน สาวรับใช้นำของกำนัลมาจากข้างนอก บอกว่าเป็นของคุณหนูสี่สกุลหลู มอบให้ข้าเป็นของกำนัลในวัยปักปิ่น ท่านว่าข้าควรจะรับไว้ดีหรือไม่เจ้าคะ”
ซูฮูหยินถึงกับประหลาดใจ ไม่คิดว่าการพาบุตรีออกไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนสกุลกู้เพียงงานเดียวเท่านั้น กลับมีคุณหนูจากตระกูลอื่นอยากที่จะมาผูกมิตร
“รับเอาไว้เถิด จะได้ไม่เสียน้ำใจผู้มอบให้” ซูเยว่ซินพยักหน้าก่อนที่จะหยิบเข็มที่ใส่ด้ายสีทองกับผ้าผืนบางขึ้นมาปัก ซูฮูหยินเหลือบมองบุตรสาวก่อนที่นางจะยิ้มน้อยๆ ออกมา
ณ จวนตระกูลหลู
ภายในห้องนอนของเรือนขนาดกลางที่อยู่ทางปีกขวาของเรือนใหญ่ ปรากฏร่างระหงของสตรีวัยสิบแรกแย้มเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ ครั้นได้ยินเสียงเปิดประตู นางจึงรีบนั่งลงยังเก้าอี้ แสร้งทำทีจิบชาทันที เถียวเอ๋อร์ที่เป็นสาวรับใช้คนสนิทรีบสาวเท้าเข้ามา แล้วกล่าวรายงานคุณหนูของตน
“บ่าวจัดการส่งของกำนัลให้แก่คุณหนูรองสกุลซูเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” ได้ยินเช่นนั้นทำให้หลูเจียงหลีถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย นางตกรางวัลให้แก่สาวรับใช้คนสนิทด้วยปิ่นทองหนึ่งอัน เถียวเอ๋อร์รับมาด้วยความยินดี
“นางได้ฝากคำพูดใดกลับมาหรือไม่”
เถียวเอ๋อร์ส่ายหน้าเบาๆ ทำให้หลูเจียงหลีรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อย ทว่านางก็เข้าใจว่านี่เป็นการผูกไมตรีครั้งแรก อีกฝ่ายยังไม่รู้จักนาง ทำให้แสดงท่าทีห่างเหินกัน
“อีกไม่กี่วันในตลาดตวนอีก็จะจัดงานเทศกาลชมจันทร์ ข้าจะส่งเทียบเชิญให้นางออกไปเที่ยวด้วยกัน เจ้าว่านางจะตอบรับข้าหรือไม่”
ไม่ว่าเยี่ยงไรแล้วนางก็ต้องผูกไมตรี ทำความสนิทสนมกับคุณหนูรองสกุลซูผู้นั้นให้ได้ เพราะว่านี่คือความต้องการของคุณชายรองกู้อี้เหวิน หากนางทำให้เขาพอใจ มีหรือที่เขาจะทอดทิ้งนาง
“บ่าวคิดว่านางคงจะไม่ปฏิเสธคุณหนูหรอกเจ้าค่ะ เพราะนางเองก็เพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง หาได้มีมิตรสหายที่ใดไม่”
ความเห็นของสาวรับใช้คนสนิททำให้หลูเจียงหลีรู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้น เพราะถ้าหากนางสามารถผูกมิตรกับอีกฝ่ายได้ก่อน ก็จะไม่มีผู้ใดมาทำให้แผนการที่นางวางเอาไว้ผิดพลาดไปได้
“ถ้าเช่นนั้นก่อนวันงานสักสามวัน ข้าจะส่งเทียบเชิญไปให้นาง” หลูเจียงหลีกล่าวออกมาก่อนที่นางจะลุกขึ้่นจากเก้าอี้แล้วตรงไปยังเตียงเตา หญิงสาวล้มตัวลงนอนไม่นานนักก็ผล็อยหลับไป เถียวเอ๋อร์อยู่คอยปรนนิบัติจนเห็นว่าคุณหนูสี่หลับลึกไปแล้วจึงออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ
ทว่าสิ่งที่หลูเจียงหลีมั่นใจนั้นกลับล้มเหลวอีกครา เป็นเพราะสองวันก่อนที่งานเทศกาลชมจันทร์จะถูกจัดขึ้น หลังจากที่นางส่งเทียบเชิญไปให้คุณหนูรองสกุลซู อีกฝ่ายกลับส่งสารปฏิเสธกลับมาอย่างมีมารยาท เหตุผลภายในสารปฏิเสธนั้นก็คือ ก่อนที่คุณหนูรองจะรับได้รับเทียบเชิญจากคุณหนูสี่สกุลหลู นางได้ตอบรับเทียบเชิญจากคุณหนูใหญ่สกุลเจียงก่อนเสียแล้ว จึงทำให้ไม่สามารถออกไปเที่ยวชมเทศกาลกับคุณหนูสี่สกุลหลูได้ ทำให้หลูเจียงหลีถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความคับแค้นใจ จนมารดาต้องรีบเข้ามาดู ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับบุตรสาวของตน
“หลีเอ๋อร์…เกิดอันใดขึ้นกับเจ้าเยี่ยงนั้นรึ เหตุใดถึงได้กรีดร้องเสียงดังเยี่ยงนี้ หากผู้ใดได้ยินเข้า ระวังพวกเขาจะเอาไปตีความผิดๆ แล้วนำไปนินทาก็เป็นได้” หลูเจียงหลีมองมารดาด้วยแววตาเฉยชา อนุภรรยาลำดับที่ห้าของใต้เท้าเจียง มารดาผู้อ่อนแอของนาง หากจะหวังพึ่งพามารดา นางขอพึ่งพาคนนอกเสียยังดีกว่า
“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าเพียงแค่ตระหนกตกใจเพราะแมลงตัวหนึ่งบินเข้ามาในห้องของข้า ท่านกลับไปเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวแม่ใหญ่จะตำหนิท่านได้”
อนุเซียวพยักหน้าก่อนที่จะกลับออกไป นางจนใจกับบุตรสาวผู้นี้ เพราะนางไม่ได้เป็นผู้ที่เลี้ยงดูอีกฝ่ายมาตั้งแต่ต้น หลังจากคลอดหลูเจียงหลีได้ไม่นานนางก็เจ็บออดๆ แอดๆ นายหญิงใหญ่จึงรับหลูเจียงหลีเข้าไปอยู่ในความดูแลของนาง ทำให้อนุเซียวไม่มีสิทธิ์ที่จะตำหนิหรือสั่งสอนบุตรสาวมากนัก ทำได้เพียงกล่าวเตือนสติของอีกฝ่ายเท่านั้น
หลังจากมารดาออกจากห้องนอนของนางไป หลูเจียงหลีก็หยิบเอาสิ่งของที่ไม่มีมูลค่ามากมายภายในห้อง ขว้างปาไปทั่วห้อง เพียงเพื่ออยากจะระบายอารมณ์คับแค้นใจที่เพิ่งได้รับมา นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูใหญ่สกุลเจียงผู้นั้น ถึงได้คิดที่จะผูกไมตรีกับคุณหนูรองสกุลซูเช่นเดียวกันกับนาง หรืออีกฝ่ายก็อยากจะเอาใจกู้อี้เหวินเช่นเดียวกัน ในขณะที่หลูเจียงหลีกำลังจมอยู่กับความคิดที่ฟุ้งซ่านของตน สาวรับใช้ที่คอยรับใช้ดูแลนางรีบพากันหลบเลี่ยงออกไป เพราะไม่มีผู้ใดที่อยากจะถูกคุณหนูสี่ทุบตี
คุณหนูสี่อารมณ์ร้ายผู้ใดในจวนสกุลหลูจะไม่รับรู้บ้าง ฮูหยินใหญ่ไม่เคยสั่งลงโทษ อีกทั้งปล่อยให้นางกำเริบเสิบสานเช่นนี้ ทุกคนย่อมรู้ดีแก่ใจว่าเพราะเหตุใด นั่นก็เป็นเพราะว่าฮูหยินใหญ่อยากจะให้คุณหนูสี่กลายเป็นคนคนนิสัยเสีย เป็นสตรีที่ไม่มีผู้ใดต้องการ หรืออยากคบหา
แต่ทว่าผู้ใดเล่าจะรู้ ว่าคุณหนูสี่กลับมีความทะเยอทะยาน นางสามารถสร้างไมตรีกับคุณชายรองสกุลเยว่ บุตรชายของท่านสิงปู้ เจ้ากรมตุลาการประจำเมืองหลวงได้ ทำให้แม้แต่ใต้เท้าหลูก็ยังให้ท้ายนาง เพราะเห็นว่านางคือความหวังของตระกูล หากนางได้ออกเรือนไปกับคุณชายรองกู้ ย่อมทำให้ตระกูลหลูมีความมั่นคงในเมืองหลวงไปด้วย…