ลัลน์ลลินครางออกมาเบาๆ เมื่อถูกอาการปวดหัวเล่นงานตุบๆ จนแทบระเบิด ทว่า...สิ่งที่ทำให้หญิงสาวตกใจจน ลืมความเจ็บป่วยก็คือ เมื่อลืมตาขึ้นกวาดมองรอบๆ ตัว ก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้อง
ไม่ใช่สิ! จะเรียกว่าห้องก็คงไม่ได้ ต้องเรียกว่าโรงเรือนถึงจะถูก สถานที่ที่เธอกำลังนอนอยู่นี้ เป็นไม่ต่างจากโรงเรือนเก็บของ ซึ่งห้องโล่งๆ เพียงห้องเดียว และตอนนี้เธอนอนอยู่บนเตียงเก่าๆ มีกลิ่นอับชื้น รวมทั้งกลิ่นมูลสัตว์ลอยมาปะทะจมูกด้วย
“ที่ไหน...เรากำลังอยู่ที่ไหน”
ลัลน์ลลินพึมพำเสียงแผ่วเบา ค่อยๆ หย่อนเท้าลงจากเตียงเล็กติดสกปรก กวาดสายตามองรอบๆ ห้องอีกครั้งพร้อมกับเรียกหาดิษกรย์ด้วย
“พี่ดิษ...พี่ดิษอยู่ไหนคะ”
แสงไฟที่ส่องสลัวๆ ทำให้ลัลน์ลลินมองเห็นภายในโรงเรือนได้ไม่ชัดนัก มือเล็กต้องวาดไปข้างหน้า เพราะเกรงว่าจะชนอะไรเข้าขณะก้าวเดินตรงไปยังบานประตู ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว
“พี่ดิษ...พี่ดิษคะ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่ถูกตะโกนเรียก ลัลน์ลลินหวาดกลัวจนแทบก้าวเท้าไม่ออก และความหวาดกลัวก็ทวีคูณมากกว่าเดิม เมื่อเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูแล้วไม่สามารถเปิดออกได้
“ประตูถูกล็อก...ถูกล็อกจากด้านนอก”
ลัลน์ลลินยิ่งกว่าตกใจเมื่อไม่สามารถเปิดประตูได้ มือเล็กจับลูกบิดพยายามดันประตู ทั้งใช้ไหล่เล็กกระแทกแรงๆ หลายครั้ง แต่ประตูบานใหญ่แข็งแกร่งก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว
“ใครขังเราไว้ จับเรามาทำไม”
น้ำเสียงที่พึมพำออกมาสั่นเทาเพราะความหวาดกลัว ร่างบางสั่นสะเทิ้ม กระนั้นก็ยังคงรวบรวมเรี่ยวแรงครั้งสุดท้าย กระแทกบานประตูสุดแรงเกิด จนต้องครางออกมาด้วยความเจ็บระบมที่แล่นซ่านทั่วทั้งหัวไหล่
“โอ๊ยย...”
การพยายามเปิดประตูในครั้งสุดท้าย ทำเอาลัลน์ลลินเจ็บซ่านจนร่างบางค่อยๆ ทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นสกปรก น้ำตาแห่งความหวาดกลัวไหลรินออกในทันที
“ช่วยด้วย...พี่ดิษ...พี่ดิษอยู่ไหน...ช่วยลลินด้วย”
หญิงสาวตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงถูกจับมาขังไว้ในโรงเรือนโทรมๆ แห่งนี้ แล้วดิษกรย์อยู่ไหน เขาหายไปไหน เธอจำได้ว่านั่งรถมากับดิษกรย์ เพื่อไปรับประทานอาหารมื้อเที่ยงด้วยกัน ระหว่างทางก็พูดคุยกันสนุกสนาน หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
“พี่ดิษอยู่ไหน มีอันตรายเกิดขึ้นกับพี่ดิษหรือเปล่า”
เมื่อหัวสมองคิดเช่นนี้ ใบหน้างามที่ซีดไร้สีเลือดอยู่แล้ว ก็ยิ่งซีดเผือดกว่าเดิม เป็นห่วงดิษกรย์ว่าจะได้รับอันตรายจนลืมนึกถึงตัวเองว่ากำลังถูกขังอยู่
“ใครก็ได้ ช่วยฉันด้วย พี่ดิษ...พี่ดิษปลอดภัยหรือเปล่าคะ พี่ดิษได้ยินเสียงลลินไหมคะ”
ลัลน์ลลินยันกายลุกขึ้นยืน คราวนี้กำมือทุบโครมๆ บนบานประตู เผื่อว่ามีใครอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงของเธอและเข้ามาช่วยเหลือ
ในขณะที่เป็นห่วงดิษกรย์เหลือกำลัง คนที่ถูกขังไว้ในโรงเรือนมืดๆ เหม็นกลิ่นสาบ หารู้ไม่ว่าคนที่เธอเป็นห่วงสุดหัวใจนั้น กำลังนั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่อย่างสบายใจอยู่ด้านหน้าโรงเรือนนี่เอง
“พี่ดิษ...ปลอดภัยหรือเปล่า”
ดิษกรย์เค้นเสียงเยาะหยัน ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยแววของความสะใจ ขณะทวนคำพูดของลัลน์ลลินที่ดังมาจากโรงเรือน
“จะตอบว่า พี่ดิษปลอดภัย และตอนนี้ก็มีความสุขมาก ที่ได้เห็นศัตรูกำลังดิ้นพล่าน ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว”
แน่นอนว่าเขาเป็นคนจับลัลน์ลลินขังไว้ในโรงเรือนโทรมๆ แห่งนี้ ซึ่งอยู่ภายในไร่ของเขาในจังหวัดสระบุรี ไร่แห่งนี้มีเนื้อที่นับร้อยๆ ไร่ แถมโรงเรือนก็อยู่ท้ายไร่ซะด้วย ต่อให้ตะโกนขอความช่วยเหลือจนคอแตก ก็ไม่มีใครโผล่หน้ามาช่วยลัลน์ลลินได้
“เจ้านายครับ จะขังผู้หญิงคนนี้ไว้จนถึงเช้าเลยหรือครับ”
สมพงษ์ คนงานที่ดิษกรย์จ้างให้อยู่ดูแลไร่ ได้เอ่ยถามผู้เป็นเจ้านายด้วยความสงสัย
และก็ได้รับคำตอบจากผู้เป็นเจ้านาย ที่ยังคงพ่นควันบุหรี่อย่างสบายใจว่า “ใช่ ให้เธอนอนในโรงเรือนมืดๆ เหม็นๆ จนถึงรุ่งเช้า ให้ความกลัวเขย่าประสาทของเธอจนหลอนกันไปข้าง”
“ครับ เจ้านาย”
สมพงษ์รับคำ เขามีหน้าที่รับฟังและทำตามคำสั่งของเจ้านายเท่านั้น ดิษกรย์สั่งให้ทำอะไร เขาพร้อมทำตามอย่างถวายหัว เพราะหากไม่ได้ดิษกรย์ช่วยเหลือให้งานทำ ให้ที่อยู่อาศัย ป่านนี้เขากับลูกเมียคงต้องไปนอนหนาวอยู่ข้างถนนแล้ว
“เจ้านายจะให้ผมเอาอาหารพวกนี้ไปให้เธอเลยไหมครับ”
ดิษกรย์หลุบสายตามองอาหารที่อยู่ในมือ ซึ่งไม่ได้วิเศษเลิศเลออะไร คงมีแค่เพียงแซนวิชเย็นชืดหนึ่งชิ้นเล็กๆ กับน้ำดื่มหนึ่งขวดเท่านั้น
“เอาไปโยนให้เธอ เราต้องการให้ลลินมีอาหารรองท้อง เพื่อให้เธอมีเรี่ยวแรงอยู่ให้เราแก้แค้นอีกหลายเดือน” นั่นคือสิ่งที่ดิษกรย์ต้องการ
และสมพงษก็รีบทำตามโดยไม่รอช้า “ครับ ผมจะจัดการเดี๋ยวนี้ครับ”
ดิษกรย์มองสมพงษ์ที่คว้าอาหารทั้งสองอย่างแล้วเดินตรงไปยังประตูโรงเรือน ก่อนจะปลดล็อกกุญแจ เปิดประตูออกเพียงเล็ก เพียงเพื่อให้สามารถโยนอาหารเข้าไปในโรงเรือนได้
“อาหารของคุณ กินซะ”
สมพงษ์สั่งเสียงห้วนขณะโยนอาหารเข้าไป จากนั้นก็รีบปิดบานประตู ล็อกจากด้านนอกอย่างรวดเร็วและแน่นหนาเหมือนเดิม
ลัลน์ลลินนั่งหมดแรงและเจ็บระบมทั่วร่างกายอยู่บนพื้นหยาบๆ ใบหน้าเรียวเลอะไปด้วยคราบสกปรก และมีคราบน้ำตาแห่งความหวาดกลัวอยู่ทั่วดวงตาทั้งคู่ ขณะกำลังนั่งจมอยู่กับความหวาดกลัวสุดชีวิต ก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อจู่ๆ มีขวดน้ำและอาหารลอยมาตกใกล้ตน ตามด้วยเสียงออกคำสั่งห้วนๆ
“อาหารของคุณ กินซะ”
ลัลน์ลลินไม่ได้สนใจอาหาร ร่างบางรีบถลาไปที่ประตูซึ่งถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว มือเล็กทั้งสองทุบบานประตูรัวๆ ขณะตะโกนเรียกด้วย
“เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน คุณเป็นใคร จับฉันมาทำไม”
“หุบปาก! อย่าถามมาก กินอาหารแล้วนอนเอาแรง”
คราวนี้เป็นเสียงของดิษกรย์ที่ตะโกนตอบ โดยเจ้าตัวดัดเสียงให้ห้าวทุ้มติดแข็งห้วน เพื่อไม่ให้เชลยสาวจำเสียงของเขาได้
“ไม่! ฉันไม่กิน คุณจับฉันมาทำไม ต้องการเงินเท่าไร บอกมา ฉันจะให้คุณทั้งหมด”
ลัลน์ลลินตะโกนถามในความมืดสลัว พยายามต่อรองและพร้อมทำตามที่คนร้ายต้องการทุกอย่าง แต่การเจรจาก็ไร้ผล เมื่อได้รับคำตอบห้วนๆ เหมือนเดิม
“พรุ่งนี้คุณก็จะรู้เอง ลัลน์ลลิน”
“เดี๋ยว! เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป! ฉันมีเงิน พ่อของฉันมีเป็นล้านๆ ปล่อยฉันไป แล้วฉันจะให้เงินพวกคุณ”
“ฮึ!” ดิษกรย์ยิ้มเยาะ ดวงตาโชนไฟโทสะกับคำต่อรอง ก่อนจะเค้นเสียงลอดไรฟันด้วยความเจ็บแค้น “แน่นอนว่าพ่อของคุณมีเงินเป็นล้านๆ แต่เป็นเงินที่ได้มาจากการโกงเพื่อนรักจนหมดตัว”