บทที่ 1
ดิษกรย์ จรณบูรณ์ วิศวกรหนุ่มในวัย 34 ปี ยกมือโบกลาให้กับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งอีกฝ่ายมีน้ำใจขับรถมาส่งเขายังเพนท์เฮ้าส์สุดหรูใจกลางกรุงออสโล เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์
ดิษกรย์ทำงานให้กับบริษัทขุดเจาะน้ำมันยักษ์ใหญ่ในทะเลเหนือ ในประเทศที่ได้สมญานามว่า “ดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืน” นั่นก็คือประเทศนอร์เวย์
ชายหนุ่มทำงานอยู่ที่แท่นเจาะน้ำมันกลางทะเลเป็นหนึ่งเดือนโดยไม่ได้หยุดพัก และวันนี้ก็ครบกำหนดที่เขาต้องหยุดพักผ่อนแล้ว จึงกลับขึ้นมาบนแผ่นดินพร้อมๆ กับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน ซึ่งครบกำหนดพักผ่อนเช่นเดียวกัน
ดิษกรย์ยืนรอกระทั่งเพื่อนร่วมงานได้ขับรถออกไปแล้ว จึงเดินเข้าไปในตึกสูง ชึ่งเพนท์เฮ้าส์ของเขาอยู่ชั้นที่ 12 ของอาคารแห่งนี้ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยทักทายตน จากนั้นก็ตรงไปที่ลิฟต์กดเรียกไปยังชั้นที่ตั้งของเพนท์เฮ้าส์ของตน
“นานๆ ได้กลับบ้านที รู้สึกไม่ค่อยคุ้นกับบรรยากาศในบ้านเอาซะเลย”
ดิษกรย์เอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ ใช่! เขาไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศภายในบ้านจริงๆ เพราะเขาจะอยู่ที่แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลเป็นส่วนมาก
เมื่อกดเปิดไฟให้ความสว่างไสวทั่วห้อง และวางกระเป๋าเดินทางใบขนาดย่อมลงกับพื้นแล้ว ดิษกรย์ก็เดินตรงไปยังโทรศัพท์บ้าน พร้อมกับกดเปิดเครื่องบันทึกเสียง เพื่อฟังว่าใครได้โทร.มาหาบ้างในตอนที่เขาไม่ได้อยู่บ้าน
บรั่นดีที่เก็บไว้บนชั้นเคาน์เตอร์บาร์ ถูกรินลงมาครึ่งแก้ว ก่อนที่เจ้าของนัยน์ตาคมจะค่อยๆ ยกขึ้นจิบ และทรุดตัวลงนั่งเอนกายพิงกับพนักโซฟาหนานุ่มขณะฟังข้อความจากบรรดาเพื่อนๆ ที่ได้โทร.มาฝากข้อความเสียงไว้ และไม่ใช่มีแค่บรรดาเพื่อนๆ เท่านั้น แต่ยังมีสาวๆ ที่เคยเป็นคู่เดทได้โทร.มาหาเขาด้วย
‘ที่รัก...เมื่อไรจะขึ้นบกสักที ซูซี่คิดถึงมากๆ ค่ะ’
‘คุณดิษขา...แองจี้เหงามาก แองจี้ยังรอคุณดิษอยู่ที่โรงแรมเดิมนะคะ’
ดิษกรย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับน้ำเสียงของสาวๆ ที่โทร.ฝากข้อความออดอ้อนราวกับอยากพบเขาใจจะขาด แน่นอนว่าพวกเธอไม่ได้รักหรือซื่อสัตย์กับเขามากมาย ระหว่างที่เขาไปทำงานอยู่กลางทะเล พวกเธอก็คบกับผู้ชายคนอื่นไม่ซ้ำหน้า
“เฮ้อ...อยากรู้จริงๆ ถ้าผมไม่มีเงินถุงเงินถัง พวกคุณยังจะโทร.หาผมไหม”
ถ้าหากเขาไม่รวยมากพอ สาวๆ เหล่านี้ก็ไม่ติดต่อหาเขาแน่นอน ดิษกรย์บ่นอุบ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปรินบรั่นดีใส่แก้วอีกครั้ง กำลังจะยกขึ้นดื่ม ก็มีอันต้องนิ่งงันกับข้อความที่กำลังดังมากระทบโสตประสาท
‘ดิษ...ดิษ...พ่อ...ตาย...แล้ว...’
เพล้ง!!!
แก้วบรั่นดีหลุดจากมือกระทบพื้นหินอ่อนแตกกระจาย ร่างใหญ่นิ่งชาราวกับถูกน๊อกด้วยหมัดหนักๆ ต้องใช้เวลานานหลายนาทีกว่าจะเรียกสติกลับคืนมาได้
“คุณพ่อตายแล้ว...”
ดิษกรย์พึมพำแทบไม่พ้นลำคอ ขอบตาของลูกผู้ชายถึงกับร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อคำพูดปนสะอื้นของมารดาที่โทร.มาฝากข้อความไว้ได้แล่นเข้าสู่โสตประสาทอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณพ่อถึงตาย”
คำถามวิ่งวนอยู่ในหัวสมอง ดิษกรย์เดินลากเท้าอย่างหมดเรี่ยวแรงไปคว้าโทรศัพท์ แล้วกดโทรทางไกลระหว่างประเทศกลับประเทศไทยในทันที
แค่ไม่กี่นาทีระหว่างรอให้ปลายทางกดรับสาย ใจที่ร้อนราวกับนั่งอยู่บนกองเพลิงกลับรู้สึกว่าช่างเนินนานจนแทบทนรอไม่ไหว และเมื่อปลายทางกดรับสาย ดิษกรย์ก็รีบเอ่ยถามในทันที
“แป้ง...คุณแม่อยู่ไหน”
เพราะคิดว่าเด็กรับใช้ในบ้านเป็นผู้รับโทรศัพท์ ดิษกรย์จึงเอ่ยถามออกไปเช่นนั้น แต่แล้วก็ต้องงุนงงยิ่งกว่าไก่ตาแตก เมื่อเจอคำถามๆ กลับคืนมาว่า
“ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่าคุณโทร.มาหาใครคะ”
ดิษกรย์ขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะถามกลับบ้าง “แป้ง นี่เธอจำฉันไม่ได้หรือยังไง คุณดิษกรย์ยังไงละ”
“เอ่อ...ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ชื่อแป้งค่ะ”
คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้ดิษกรย์งุนงงหนักกว่าเดิม แต่ในใจก็คิดว่ามารดาอาจจะเปลี่ยนเด็กรับใช้คนใหม่ก็ได้ เด็กคนนี้ถึงจำน้ำเสียงของเขาไม่ได้
“งั้นไม่เป็นไร คุณแม่ คุณท่านอยู่ไหน บอกว่าคุณดิษโทร.มาหา”
“คุณจะพูดกับใครคะ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านค่ะ”
“คุณท่านไปไหน”
“คุณท่านที่คุณถามหา หมายถึงคุณลัลน์ลลินหรือเปล่าคะ”
“ไม่ใช่” ดิษกรย์ตอบเสียงห้วน ก่อนจะบอกต่อว่า “ฉันหมายถึงคุณแม่มณีวรรณ คุณแม่อยู่บ้านหรือเปล่า”
“ขอโทษนะคะ คุณโทร.มาผิดแล้วค่ะ ที่นี่ไม่มีคนชื่อมณีวรรณค่ะ”
“อะไรนะ”
ดิษกรย์ถามเสียงหลง มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้กดหมายเลขโทรศัพท์ผิด แล้วทำไมเด็กรับใช้ถึงบอกว่าไม่ใช่บ้านของคุณแม่ของเขา
“นี่หมายเลข...ใช่ไหม” ดิษกรย์ทวนหมายเลขโทรศัพท์บ้าน เพื่อความมั่นใจว่าเขาไม่ได้กดผิดแน่นอน
และปลายทางก็ตอบกลับมาว่า “ใช่ค่ะ แต่ไม่มีคนชื่อมณีวรรณค่ะ บ้านนี้มีแค่ดิฉันอยู่กับคุณลัลน์ลลินสองคนเท่านั้นค่ะ”
ดิษกรย์ไม่ได้ฟังชื่อของคนที่เด็กรับใช้ได้พูดถึง ชื่อของเจ้าของบ้านไม่ได้สะกิดในหัวใจของเขา นาทีนี้ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความงุนงงว่า ทำไมเด็กรับใช้บอกว่าคุณแม่ของเขาไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้ บ้านที่เป็นของครอบครัวพวกเขามาชั่วอายุคนแล้ว
“คุณคะ มีอะไรจะถามอีกไหมคะ ฉันจะไปทำงานต่อแล้วนะคะ” เด็กรับใช้เอ่ยถามหลังจากต้นทางนิ่งเงียบหลายนาทีด้วยกัน
“ไม่มีแล้ว ขอบใจมาก”
ดิษกรย์กดวางสาย ความสงสัยยังวิ่งวนอยู่ทั่วหัวสมอง อีกทั้งยังอยากได้รับความกระจ่างเรื่องของบิดาด้วย คราวนี้จึงเลือกโทร.เข้าเบอร์มือถือของมารดาแทน และไม่ต้องถือ
สายรอนาน ผู้เป็นมารดาก็กดรับสาย พร้อมกับถ้อยคำต่อว่าชุดใหญ่จนชายหนุ่มฟังแทบไม่ทัน
“ดิษ...ทำไมเพิ่งโทร.มาหาแม่ รู้ไหมว่าพ่อตายแล้ว ฮือๆๆ ทำไมไม่ติดต่อหาแม่ ทำไมปล่อยให้แม่ลำบากอยู่ตั้งนานสองนาน”
ถ้อยคำตัดพ้อ กอปรกับเสียงสะอื้นร้องไห้ดังลั่นของมารดา ทำให้ดิษกรย์รู้สึกผิดเต็มประดา ชายหนุ่มขบกรามกลั้นความรู้สึกผิดไว้ในใจ ก่อนจะเอ่ยขอโทษเสียงแผ่วเบา
“ผมขอโทษครับ คุณแม่”