บทที่หนึ่ง รับวิญญาณ
เวลา 15.30 นาฬิกา ณ แยกวงเวียนใหญ่ซึ่งเป็นเวลาเร่งรีบแออัดบนท้องถนน แต่วันนี้การสัญจรแน่นเป็นพิเศษรถไม่สามารถเคลื่อนย้ายเป็นเวลาหลายชั่วโมง
เสียงบีบแตรไล่หลังดังต่อกันเป็นทอด คันนี้บีบที คันนู้นบีบทีอีกคันก็บีบตามและตาม ๆ กันเป็นสายโดยไม่รู้สาเหตุของการติดแหง็กครั้งนี้ แต่ความสงสัยก็ถูกคลี่ลายลงเมื่อเสียงของรถหวอแทรกตัวผ่านเข้ามาในดงรถเล็กรถใหญ่ขับเคลื่อนเรียงกันเป็นแถวแนวยาวประมาณสามถึงสี่คันและดูเหมือนว่าจะมีวี่แววตามมาอีกไม่มากก็น้อย บ่งบอกว่าอุบัติเหตุที่เป็นสาเหตุของการจราจรครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรเป่านกหวีดเพื่อช่วยเคลียร์พื้นที่และช่วยคลี่คลายปัญหาการจราจร ส่วนบุรุษพยาบาลต่างพากันแบกหามเร่งลำเรียงคนเจ็บที่ดูวิกฤตมากสุดไปหาน้อยสุด
“ตรงนั้นเป็นยังไงบ้าง” บุรุษพยาบาลตะโกนถามเจ้าหน้าที่ที่กำลังตรวจสอบสัญญาณชีพผู้ประสบเหตุที่ติดอยู่ในรถกระบะคันสีดำประสานงากับเก๋งสีบอนจนฝากระโปรงหน้าทั้งสองยับบี้แทบประชิดพวงมาลัย มิหนำซ้ำฝั่งรถกระบะยังมีรถชนท้ายซ้อนถึงสามคันและปิดท้ายด้วยรถสิบล้อเป็นลำดับที่สี่
เจ้าหน้าที่ส่ายหน้าช้า ๆ และเมื่อได้คำตอบอย่างนั้นแล้วจึงหันเบนยกเปลสนามสีส้มแสดพุ่งตรงไปยังฝั่งตรงข้ามซึ่งมีรถกะบะสีขาวนอนตะแคงเทกระจาดบนคอนกรีต ผู้โดยสารท้ายกะบะต่างพากันร้องโอดโอย
เมื่อทยอยส่งคนบาดเจ็บขึ้นรถจนเกือบหมดก็ถึงคิวชายหนุ่มอายุราวยี่สิบต้น ๆ สวมหมวกกันน็อกนอนหมดสติอยู่ข้างรถมอเตอร์ไซค์
“คุณครับ คุณ คุณได้ยินไหม?”
เขาเริ่มถามเช็กสติและต่อจากนั้นจึงตบต้นแขนชายตรงหน้าเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยเรียกอีกครั้งจากนั้นจึงวัดชีพจร
เมื่อปลายนิ้วสัมผัสกดทับเส้นเลือดแดงบริเวณลำคอใกล้กับหลอดลม ทันใดนั้นเองความสีหน้าความแปลกประหลาดใจก็ฉายขึ้น
เขามองพินิจพิจารณาเด็กหนุ่มผู้ซึ่งไร้บาดแผล แต่กลายเป็นร่างไร้วิญญาณ
“เป็นลมเหรอพี่?”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามขึ้นก่อนจะวางแปลลงที่พื้นเพื่อเตรียมย้ายผู้ป่วย
“เปล่า… เสียชีวิตน่ะ”
“หะ?พี่ว่ายังไงนะ?”
“ได้ยินไม่ผิดหรอก แปลกใจเหมือนกัน ไม่มีบาดแผลร่องรอยการชนเลยสักนิด มีแค่รอยถลอกเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
เขามองสำรวจรอยถลอกตามแขนขาที่แทบจะนับจุดบาดเจ็บได้
“พี่อย่าอำผมสิ แปะปลาสเตอร์ก็หาย”
เขาส่ายหน้าเล็กน้อยจากนั้นจึงเอานิ้วชี้ยื่นไปที่ปลายจมูก จากตั้นจึงรีบแตะชีพจรตรวจสอบทันที
“พูดความจริง ไม่ได้โกหก เอาละทำงานต่อกันได้แล้ว”
หลังจากหน่วยกู้ชีพเสร็จภารกิจการจราจรก็เริ่มขยับตัวอีกครั้ง
******
“ตื่น!” เสียงน่าเกรงขามขานเรียก
จากนั้นคนถูกเรียกก็ลืมตาขึ้นมองช้า ๆ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อสู้แสงแดด
“ครับ?ผมเหรอครับ?”
“อืม ลุกขึ้น”
“… ครับ”
เขาลุกขึ้นตามคำสั่งอย่างว่าง่าย มองไปรอบทิศด้วยความงุนงงก่อนจะผงะตกใจยกแขนขึ้นปิดตา
ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ตัวเองว่ากำลังยืนอยู่กลางถนนที่เต็มไปด้วยรถวิ่งขวักไขว่
“อ๊ากกกกกกกก!ชน!ชน!ตายแน่!”
รถบรรทุกของกำลังวิ่งพุ่งเข้ามา… และผ่านไป
“ฟู่!รอด!รอดได้ไงเนี่ย?ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอบคุณครับ”
เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือก คว้าสร้อยพระที่ค้อยไว้ที่คอกำขึ้นประนมมือ
“… รอดกับผีน่ะสิ”
“ครับ?ว่ายังไงนะครับ?”
“ไปกันได้หรือยัง?”
“ผมต้องไปไหน?ก่อนอื่นผมว่าเราเลิกยืนคุยกันกลางถนนเถอะ รถชนตายไม่รู้ด้วยนะครับ” พูดจบเขาก็วิ่งข้ามไปยืนบนฟุตบาท
“เร็วครับ ระวังรถ” เขากวักมือเรียกชายแปลกหน้า “เห้ยคุณ!มองรถด้วยสิครับทำไมถึง…เดินทะลุรถ…”
“ไปกันได้ยัง?” เขาถามด้วยน้ำเสียงปรกติ
“… ค-คุณเป็นใคร?ไม่สิ คุณเป็นตัวอะไรกัน?”
เด็กหนุ่มถอยกรูดไปด้านหลังเล็กน้อย เสียงสั่นอย่างหวาดกลัว และเมื่อกวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าก็สังเกตถึงความผิดปรกติที่เขาเพิ่งจะรู้สึก
ชายแปลกประหลาดตรงหน้านี้มีรูปร่างสูงใหญ่เห็นจะสูงราวสองเมตร สีผิวคมเข้ม เปลือยท่อนบน ท่อนล่างนุ่งโจงกระเบนแดงและไม่สวมใส่รองเท้า
“ตัวอะไรอย่างนั้นหรือ!” ชายนุ่งโจงกระเบนกำปั้นเขกลงบนศีรษะเด็กหนุ่มที่พูดจาไม่เข้าหู
“โอ้ย!แล้วทำไมคุณเไม่โดนรถชน” เขายกมือขึ้นลูบบริเวณที่โดนโขก
“เจ้าชื่อวรนนท์ใช่หรือไม่?”
“คุณไม่ตอบผม ผมก็ไม่จำเป็นต้องตอบคุณ”
“เดี๋ยวก็ปล่อยให้เป็นผีเร่ร่อนซะนี่!”
“ครับ?อะไรเร่ร่อน?”
“เจ้าใช่วรนนท์ไหม?” เขาถามย้ำและก็ถูกเมินเช่นเดิม
“…”
“เพราะตอนนี้เจ้าได้ละทิ้งกายหยาบแล้ว”
วรานนท์ขมวดคิ้ว
“กายหยาบ?คุณพูดเหมือนว่าผมเป็นวิญญาณอย่างนั้นแหละ ตลกแล้ว… คุณเป็นนักมายากลใช่ไหม?” เขาหรี่ตาจ้องจับผิด
“วรนนท์ใช่หรือไม่?” น้ำเสียงและสีหน้าเบื่อหน่ายที่ต้องถามซ้ำเป็นครั้งที่สาม
เขาไม่เคยมารับวิญญาณที่รู้ตัวช้าขนาดนี้มาก่อน มิหนำซ้ำยังต่อปากต่อคำเก่งเหลือเกิน
“ครับ วรานนท์”
“คราวนี้คงตามข้ามาได้สักที”
เมื่อจบประโยคของชายร่างโต ด้ายสีแดงมีแสงเรืองก็ปรากฏขึ้นพันมือวรานนท์
“ครับ?ผมไม่ไป ปล่อยผม!กลอะไรของคุณอีกผมไม่ตลก”
วรานนท์พยายามดิ้นและทุกครั้งที่ดิ้นด้ายแดงก็เปล่งแสงออกมา
“โอ้ยยยย ทำไมปวดแสบปวดร้อนขนาดนี้ คุณตัวประหลาดไอ้ด้ายแดงนี้มันคืออะไร ทำไมมันเหนียวแบบนี้”
“ทด ข้าชื่อทดเป็นยมบาลหาใช่ตัวประหลาด” ยมบาลทดถอนหายใจ
“ยมฯ ชื่อก็โบราณ จากนักมายากลมาเป็นยมบาล หรือว่าแกคือสิบแปดมงกุฎ!ออกไปห่าง ๆ ผมเลยนะ” วรานนท์ถอยหลังไปอีกก้าวมองด้วยความระแวง
“ข้าไม่ใช่โจร อะแฮ่ม!ข้าคือยมบาลแห่งปรโลกเป็นลูกน้องของท่านพญายมราช ข้ามีหน้าที่มารับดวงวิญญาณเช่นเจ้า” เขาอธิบายยศตำแหน่ง
“ใช่แน่ ๆ ศรีธัญญาจ๋าคนบ้าอยู่นี้!” เขาหันเพื่อหาคนขอความช่วยเหลือ “คุณตำรวจครับช่วยผมด้วย คนบ้าจับผมมัด ช่วยด้วยยยยยยย”
ยมบาลทดยืนมองวิญญาณตื่นตูมอย่างหน่ายใจ
ระหว่างนั้นตำรวจที่กำลังดูแลความเรียบร้อยก็เดินผ่านมาทางวรานนท์ ยมบาลทดจึงทำให้มีเสียงข่าวดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร
‘ข่าวด่วน เกิดอุบัติเหตุใหญ่ที่แยกวงเวียนใหญ่เวลาบ่ายสามโมงครึ่ง มีมอเตอร์ไซค์ปาดหน้ารถกะบะทำให้เสียหลักพุ่งเข้าชนเก๋ง’
“เห้ยยยย แค่คลื่นมันพันกัน แค่คลื่นมันมั่ว” นายตำรวจปลอบใจตัวเองก่อนจะรีบปิดสัญญาณเพื่อความสบายใจของตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่คลื่นจะมาแทรกแถมยังเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดไม่ถึงชั่วโมง
‘รถที่ตามมาชนต่อท้ายกันเป็นโดมิโน่ เคราะห์ร้ายสิบล้อพุ่งอัดยับ…’
“ผีหลอก!!”
วอวิทยุสื่อสารถูกโยนลอยกลางอากาศตกกระทบพื้นจนแตกกระจาย ส่วนคนโยนวิ่งหนีไปตั้งหลักห่างออกไปเกือบหนึ่งกิโลเมตร
“ได้ยินแล้วใช่ไหม?ไปกันได้หรือยัง?”
“เดี๋ยวครับ”
“ไม่เดี๋ยว ข้าเสียเวลากับเจ้านานมากพอสมควร นานจนจะตามตนอื่นไม่ทันแล้ว”
“ผมขอพิสูจน์ให้แน่ใจก่อน” วรานนท์ต่อรอง เขาสูดลมหายใจเข้าสุดปอดเมื่อได้จังหวะจึงเดินไปหยุดยืนบนถนนเลนซ้าย
มอเตอร์ไซค์คันสีเหลืองกำลังแล่นพุ่งเข้ามา หากคนขับเห็นว่ามีคนยืนขวางหน้ารถ อย่างไรเสียดขาก็ต้องเบรก
“ลองทั้งทีทำไมไม่กลางถนนไปเลยละพ่อหนุ่ม”
“ถ้าคุณหลอกผม ผมก็ตายฟรีสิ” เขาหันไปตอบโต้
ขณะที่เขาหันไปคุยกับยมบาลทดรถมอเตอร์ไซค์คันเหลืองที่เขาเล็งไว้เพื่อพิสูจน์ก็แล่นผ่านทะลุร่าง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนโดยฉับพลัน
“เขาไม่เห็นผม รถไม่ชนผม รถมัน… มันทะลุผ่าน นี่ผมตายแล้วจริง ๆ เหรอครับ?” เขาเบิกตากว้างโพลงยิงคำถามที่ยมบาลทดพยายามเทียวบอกตั้งแต่มารับตัว
“อืม เจ้าน่ะตายแล้ว คราวนี้เชื่อสักที ไปกันได้แล้วนะ”
“เดี๋ยวครับ!คราวนี้ผมขอรถคันนั้น” เขาชี้ไปยังรถหรูสีเขียวสะท้อนแสงราคาหลายสิบล้าน
“โอ้ย!ไม่ต้องพิสูจน์อะไรแล้ว มีเวลาให้พิสูจน์อีกเยอะ ตอนนี้ตามมา!ข้าไม่ทนเจ้าอีกแล้ว”
จากนั้นยมบาลทดจึงเดินนำหน้านำทางวรานนท์ไปยังปรโลก โดยมีด้ายแดงพันล็อกไว้ตลอดการเดินทาง