เหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะหนึ่ง ต่างคนต่างตกตะลึงกับความชิดใกล้ ซ้ำยังแนบสนิทอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มากสุดคือตอนยืนเบียดกันในลิฟต์ช่วงเที่ยงวัน แต่นี่พาขวัญเล่นนั่งบนตักเขา ทับตรงจุดยุทธศาสตร์พอดีเป๊ะ ราวกับถูกจับวาง
และที่เป๊ะกว่าหัวนมของเขาถูกมือบางขยุ้มผ่านเสื้อเชิ้ตเนื้อดีจนยับย่น ส่วนอีกข้างเกาะไหล่เขาไว้แน่น และอีกนิดเดียวจมูกก็จะชนจมูก ปากก็จะจูบกันแล้ว กับพาขวัญเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่เตชน์ไม่คุ้นชิน
แต่สำหรับพาขวัญกลับต่างออกไป หากไม่นับที่ยืนเบียดกันในลิฟต์ นี่นับว่าเป็นครั้งที่สองที่เขาและเธอชิดใกล้กันมากที่สุด จึงเป็นความรู้สึกหวิวหวามที่คุ้นเคย นั่นเป็นเพราะว่าครั้งแรกเป็นอะไรที่น่าจดจำ แม้จะคอยสั่งตัวเองให้ลืมก็ตาม
แล้วภาพร่วมรักระหว่างเขาและเธอก็ฉายซ้ำเข้ามาในหัว ความชัดระดับ4k ชัดถึงรูขุมขน ทำเอาพาขวัญครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะเป็นไข้
แรงสั่นของคนบนตักทำให้เตชน์ได้สติ พร้อมกับกลืนน้ำลายเมื่อรู้สึกว่าลำคอแห้งผากอย่างไม่ทราบสาเหตุ ก่อนจะพูดออกไปว่า
“อ่อยผมเหรอ”
“ฮะ!”
“ผมถามว่าอ่อยผมเหรอ”
พาขวัญกะพริบตาปริบๆ พลางถามออกไป
“ทะ ท่านรองฯ เอาอะไรมาคิด”
“ก็... ตอนนี้คุณสุ่มเสี่ยงจะตกงาน ถ้าผมไม่ได้ไปต่อในสถานะประธานบริษัท คุณเลยคิดจะจับผมเพราะยังไงผมก็เป็นทายาทคนหนึ่งของตันติวัฒน์ อย่างน้อยเงิน ทอง ที่ดินก็ต้องตกมาถึงผมบ้างไม่มากก็น้อย”
“ฉัน...”
“อย่ามาปฏิเสธ ไม่งั้นคุณไม่แกล้งล้มใส่ผมแบบนี้หรอก” พาขวัญเบิกตากว้าง เมื่อถูกเขาปรักปรำ
“ดะ เดี๋ยว ทำไมท่านรองฯ ไม่ปล่อยให้ฉันล้มไปเล่า มาเกี่ยวเอวฉันไว้ทำไม”
เออ นั่นสิ
“วินาทีนั้นสุภาพบุรุษอย่างผมต้องช่วยไว้สิ ใครจะคิดทันล่ะว่าเป็นแผนจับผม” เตชน์แถสีข้างถลอกเพราะไม่อยากเสียหน้า แต่สำหรับพาขวัญเขาคือสุภาพบุรุษ หลุดไว
เสื้อหลุด กางเกงหลุดเร็วมาก!
“บ้า!” เผลอด่าเขาออกไป พร้อมกับทุบไหล่เขาไปหนึ่งที มารู้สึกตัวอีกทีว่าไม่ควรด่าและทำร้ายเจ้านาย ครั้นจะตะครุบปาก ห้ามมือไว้ก็ไม่ทันแล้ว
“คุณข้าว!”
“เอ่อ... ประทานโทษค่ะท่านรองฯ ฉันแค่จะบอกว่าไม่ใช่อย่างที่ท่านรองฯ คิดซะหน่อย ฉันล้มจริงๆ นะคะ เพราะยืนนานไปหน่อย บวกกับเมื่อคืน... เมื่อคืนเล่นโยคะหนักไปนิด แข้งขาเลยอ่อนแรง”
“เชื่อได้เหรอ”
“เชื่อได้แน่ค่ะ ฉันยืนยัน” ยืนยันน้ำเสียงหนักแน่น สายตาที่ใช้มองเขาไม่ว่อกแว่ก แม้ใจจะสั่นไหวไปมากก็ตาม แต่ก็ยังเห็นว่าเตชน์ขมวดคิ้วมุ่น เหมือนเขาไม่เชื่อ
“แล้วทำไมยังนั่งอยู่บนตักผมไม่ทราบ” เขาไม่รอให้เธอตอบ แต่เขาเลือกที่จะดันไหล่บางให้ออกห่างเป็นการบังคับให้เธอลุกขึ้น พาขวัญลุกขึ้นยืนอย่างอับอาย แก้มร้อนเหมือนถูกไฟลน เมื่อเตชน์แสดงท่าทางรังเกียจราวกับว่าเธอเป็นกิ้งกือไส้เดือน
แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ เธอจะได้ลืมเรื่องบ้าๆ นั่นเสียที
มือบางรีบดึงกระโปรงที่ร่นขึ้นให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม สภาพที่พร้อมออกไปพบปะประชาชีโดยไม่ถูกนินทาลับหลัง ก่อนค้อมศีรษะพลางกล่าวขอโทษเขาอย่างเป็นการเป็นงาน
“ฉันขอโทษค่ะ ต่อไปจะระมัดระวังให้มากกว่านี้”
เตชน์พยักหน้าแบบขอไปที กลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่ตีตื้นขึ้นในใจ เพียงเห็นสีหน้าสลดของคนตรงหน้าแต่ต่อให้พาขวัญแก้ผ้าต่อหน้าเขาก็ไม่เอา ไม่ใช่ว่ารังเกียจอะไรหรอกนะ เพียงแต่ไม่อยากทำลายกฎของตัวเองก็เท่านั้น
กฎที่ว่าห้ามกินเด็กของรัญญาเด็ดขาด ถ้าอยากอยู่อย่างสงบ!
“งั้นฉันขอตัวนะคะ” ครั้นเจ้านายหนุ่มพยักหน้าให้อย่างแกนๆ อีกครั้ง พาขวัญก็รีบพาตัวออกไปพร้อมกับสมองที่ว่างเปล่า เพราะเธอจัดการดีลีตภาพเร่าร้อนเมื่อคืนออกไปจากส่วนของความจำหมดแล้ว นับจากนี้จะไม่มีเรื่องเมื่อคืนมากวนใจเธออีกต่อไป แต่ไม่ทันก้าวเท้าพ้นประตูห้อง เสียงทุ้มของเจ้านายหนุ่มก็ดังขึ้นตามหลัง
“คุณใช้น้ำหอมอะไรข้าว”
พอได้ยินคำถามนั้นทำพาขวัญชาวาบไปทั้งร่าง คล้ายกระแสไฟ220โวลต์วิ่งผ่านหัวจรดปลายเท้า เพราะกลิ่นน้ำหอมไม่ใช่เหรอ ทำให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นชญานี แต่เมื่อคิดได้ว่าวันนี้หรือวันไหนๆ เธอไม่คิดฉีดน้ำหอมราคาแพงและเป็นกลิ่นที่แสนจะเย้ายวนมาที่ทำงาน คิดได้เช่นนั้นหญิงสาวก็เป่าปากโล่ง แต่ก็ไม่วายยกแขนเสื้อขึ้นมาดอมดม
“อ้อ น่าจะเป็นกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มน่ะค่ะ เพราะฉันไม่ใช้น้ำหอม”
“ยี่ห้ออะไรล่ะ”
“ยี่ห้อเรนนี่ กลิ่นเลิฟลี่การ์เดนค่ะ”
“หอมดี ไว้ผมจะบอกแม่บ้านให้ใช้บ้าง”
พาขวัญออกจากห้องไปสักพักแล้ว แต่กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่เธอใช้ยังหอมติดจมูก เตชน์ยอมรับว่าเขาชอบผู้หญิงตัวหอม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะชอบเลขาฯ สาว ชญานีต่างหากที่เขากำลังนึกถึง กลิ่นหอมเย้ายวนของเธอยังติดอยู่ในห้วงสำนึก เมื่อคืนทำเขาคึกเป็นพิเศษ บวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเกินลิมิต จึงค่อนข้างมั่นใจว่าเขาต้องเผลอทำรุนแรงกับเธอแน่ๆ
ยิ่งดาราสาวเพิ่งกลับจากเกาหลี ควรรอให้อะไรๆ เข้าที่ก่อน แต่เขากลับเดินเครื่องเต็มสูบจนเป็นเหตุให้แผลปริ หลักฐานคือคราบเลือดบนโซฟาเบดสีเทาควันบุหรี่ เมื่อคิดว่าหญิงสาวงอนเพราะเขาทำให้เธอเจ็บตัวจนไม่ยอมค้างคืนด้วยกัน มือหนาก็คว้าสมาร์ตโฟนเครื่องบางขึ้นมาต่อสายหาชญานีทันที
แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงตอบรับอัตโนมัติจากค่ายมือถือ
ขอโทษค่ะไม่สามารถติดต่อหมายเลขปลายทางได้ขณะนี้...
“เล่นปิดเครื่องแบบนี้ ต้องงอนแน่ๆ” ด้วยความร้อนใจ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองเผลอทำรุนแรงขั้นไหน หญิงสาวถึงกับปิดเครื่องหนี จึงรีบต่อสายหาผู้จัดการของดาราสาว ผ่านไปครู่หนึ่งอีกฝ่ายก็กดรับ
“สวัสดีค่ะคุณเตชน์”
“สวัสดีบอลลี่ ตอนนี้ชัญญ่าอยู่กับคุณหรือเปล่า”
“อยู่ใกล้ๆ กันนี่แหละค่ะคุณเตชน์” ได้ยินแบบนั้นทำเขาโล่งใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง
“ผมอยากรู้ว่าชัญญ่าเจ็บอะไรตรงไหนหรือเปล่า พอดีเมื่อคืนเราอยู่ด้วยกัน” ไม่แปลกที่เตชน์จะเลือกพูดตรงๆ กับผู้จัดการของดาราสาว เนื่องจากเจ้าหล่อนนี่แหละที่ส่งเด็กในสังกัดอย่างชญานีมาให้เขาเอง
“คะ คุณเตชน์พูดว่าเมื่อคืนอยู่กับน้องญ่า!”
“ใช่ มีอะไรหรือเปล่าบอลลี่” ถามด้วยความร้อนใจเพราะความที่ปลายสายถามกลับมาเสียงดัง ฟังออกว่าทั้งแปลกใจและตกใจในเวลาเดียวกัน
“ผะ ผีหรือเปล่าคะ เพราะตอนนี้น้องญ่ากับลี่ยังอยู่ที่เกาหลีอยู่เลย”
“เฮ้ย! ล้อผมเล่นหรือเปล่าบอลลี่” กลายเป็นว่าเตชน์ถามกลับไปเสียงดังพอๆ กัน
“ลี่พูดจริงค่ะ แล้วตอนนี้ทางเราก็เครียดมากด้วย เพราะหมอกรีดตาให้น้องญ่าไม่เท่ากัน นี่ก็รอว่าจะยังไง แก้ให้ได้ไหม ไม่น่ามาทำเลย ที่แม่ให้น้องมาก็ดีอยู่แล้ว โอ๊ย ฮือ... งานในวงการจบกันก็คราวนี้” ท้ายประโยคได้ยินอีกฝ่ายครวญครางอย่างเสียดายอนาคตของชญานี เนื่องจากหญิงสาวเป็นดารานักแสดง ต้องใช้หน้าตาทำมาหากิน จากที่ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ
“ผมขอคุยกับชัญญ่าได้ไหม”
“ตอนนี้ยังไม่ได้หรอกค่ะ เพราะตอนนี้น้องยังทำใจไม่ได้ ถึงกับเล่นปิดมือถือไม่รับสายใครทั้งนั้น ถ้ารู้ว่าคุณเตชน์โทร.มา น้องต้องร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาอีกแน่ๆ นี่ก็เพิ่งหลับไปตะกี้ ฤทธิ์ยานอนหลับน่ะค่ะ”
“ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกนะบอลลี่ อย่างเรื่องเงิน” เรื่องเดียวที่เขาพอช่วยได้ก็คือเรื่องเงิน เข้าใจว่าการทำศัลยกรรมต้องใช้เงินมาก แต่ที่มากกว่าก็คืองานแก้
“ขอบคุณคุณเตชน์มากๆ นะคะ ที่ไม่ทิ้งน้อง แต่เท่าที่คุณเตชน์ให้น้องมาก็มากพอแล้ว”
โดยที่เตชน์ไม่รู้เลยว่าที่บอลลี่พูดออกมานั้น เป็นคำสั่งของชญานี เนื่องจากหญิงสาวรู้ตัวว่าเปลือกตาของเธอไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเตชน์ที่จะต้องมารับผิดชอบชีวิตของเธอหลังหมดอนาคตในวงการบันเทิง กอปรกับสถานะของเขาและเธอเป็นแค่คู่ขา ไม่มีข้อผูกมัด แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรไปเรียกร้องเงินทองจากเขา แม้เตชน์จะเต็มใจให้ก็ตาม
หลังงานแก้เสร็จสิ้น เธอวางแผนไว้แล้วว่าจะบินไปอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยงที่อเมริกา ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น เพราะสังคมทางนั้นคนส่วนใหญ่ต่างเคารพสิทธิของคนอื่น ไม่เหมือนสังคมไทยที่ชอบบูลลี่หน้าตาคนอื่นจนเป็นนิสัย หากก่อนที่เธอจะไปใช้ชีวิตที่อเมริกา หรือหากเธอทำใจได้ก่อน เธอไม่ลืมที่จะโทร.ไปลาเตชน์อย่างแน่นอน
เตชน์พูดสายกับผู้จัดการสาวสองอีกไม่กี่คำก็ขอตัววางสาย และกว่าเขาจะหาเสียงของตัวเองเจออีกครั้งก็กินเวลานานนับสิบนาที
“แล้วเมื่อคืนกูนอนกับใครวะเนี่ย!”