เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนพาขวัญปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือเรื่องจริง แต่นับจากที่เธอเดินออกจากคอนโดฯ ของเตชน์ แล้วตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ก็บอกกับตัวเองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝันและไม่ใช่แค่ฝันธรรมดา แต่เป็นฝันร้ายที่เธอจะลืมมันให้เร็วที่สุด และตัวช่วยที่ดีที่สุดคือทำตัวให้เป็นปกติอย่างเช่นทุกวัน
เช้านี้พาขวัญจึงหอบร่างกายที่บอบช้ำมาทำงานในเวลาเดิม แต่สิ่งที่แปลกไปกว่าทุกวันคือท่าเดินที่ลุงยามประจำลานจอดรถถึงกับเอ่ยทัก
“ขาไปโดนอะไรมาล่ะหนูข้าว” คนลืมตัวเดินขาถ่างถึงกับทำสีหน้าไม่ถูกหลังจากถูกทัก แต่ก็ไม่นานนักพาขวัญก็หาคำตอบให้กับคนถามได้ไม่ยาก
“เอ่อ ข้าวเล่นโยคะท่ายากน่ะค่ะลุงเสริม แข้งขาเลยเคล็ดนิดหน่อย”
จะบอกว่าไม่นิดลุงเสริมก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องที่จะมายืนต่อปากต่อคำกับเลขาฯ ของท่านรองฯ เพราะไม่อยากเบียดเบียนเวลาทำงานของอีกฝ่าย ด้วยรู้จักกันมานานจึงรู้ดีว่าทุกลมหายใจเข้าออกของคุณเลขาฯ คือเรื่องงานกับงานเท่านั้น
ต่างจากพนักงานสาวแผนกอื่น ทำงานครึ่งวัน อีกครึ่งวันจับกลุ่มเมาท์เพื่อนร่วมงาน นินทาหัวหน้าแผนก
“งั้นก็อย่าลืมหาหยูกหายาทานะหนูข้าว”
“ค่ะลุงเสริม” ตอบรับความหวังดีของลุงเสริมจบพาขวัญก็ก้าวไปยังลิฟต์ด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้ใครทักเรื่องการเดินอีก
อาจจะเป็นเพราะว่าเธอเข้าบริษัทแต่เช้า ในขณะที่คนอื่นเพิ่งตื่นนอนหรือกำลังออกจากที่พัก เลยรอดพ้นจากการถูกทักและนินทา ไม่นานลิฟต์โดยสารก็พาร่างแบบบางขึ้นมายังชั้นสูงสุดของตึกตันติวัฒน์3
อันเป็นชั้นทำงานของผู้บริหารระดับสูงของบริษัทโฮมไอเดียอย่างเตชน์ ตันติวัฒน์ที่ดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัท และประธานบริษัทอย่างเติมศักดิ์ ตันติวัฒน์ ผู้กุมบังเ**ยนธุรกิจในเครือตันติวัฒน์ทั้งหมด
และเป็นเพราะว่าเติมศักดิ์ยังไม่ได้ส่งต่อธุรกิจในเครือให้กับลูกๆ ได้บริหารกันอย่างอิสระ ห้องทำงานของนักธุรกิจวัยดึกจึงกระจายอยู่ทั่วทุกตึกที่ตันติวัฒน์เป็นเจ้าของ
เช้านี้จึงไม่แปลกไปกว่าทุกวันที่เห็นว่าบนชั้นนี้เงียบเชียบยิ่งกว่าป่าช้า เพราะเติมศักดิ์พร้อมกับผู้ติดตามจะแวะเข้ามาประชุมในวาระสำคัญเท่านั้น
ย้อนกลับไปเมื่อวานที่ท่านประธานพร้อมกับผู้ติดตามเดินทางมาเข้าร่วมประชุมสำคัญ สีหน้าและท่าทางของท่านพาขวัญยังจำได้แม่น เพียงไม่กี่เดือนที่ไม่ได้เจอเติมศักดิ์ พบว่าใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย ดวงตาดุกร้าวภายใต้ขนคิ้วสีดอกเลาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ไหล่กว้างที่เคยผึ่งผายงองุ้มไปตามวัยที่ร่วงโรย
ให้เธอเดาว่านี่คือเหตุผลที่นักธุรกิจวัยเจ็ดสิบต้องการวางมือ สมองของท่านยังคงปราดเปรื่อง ยังมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวสมกับเป็นผู้คุมอาณาจักรหมื่นล้านก็จริง แต่ด้วยวัยชราจึงเริ่มมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ท่านจึงตัดสินใจถ่ายโอนอำนาจบริหารไปยังทายาท เพื่อที่ตัวเองจะได้พักผ่อนและมองดูความสำเร็จของลูกๆ
พอคิดถึงตรงนี้ใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางของพาขวัญก็ตึงขึ้นมาทันที เมื่อนึกถึงเจ้านายของตนที่ยังไม่เป็นโล้เป็นพาย ทั้งที่อายุอานามก็ปาเข้าไปสามสิบสองแล้ว และการที่เขาโดดประชุมเมื่อวาน ก็อย่าหวังว่าจะคว้าเก้าอี้ประธานบริษัทโฮมไอเดียมาไว้ในมือได้สำเร็จ ขนาดเก้าอี้รองประธานยังสั่นคลอน ไม่รู้ว่ากระเด็นหลุดจากที่นั่งวันไหน
ถึงตอนนี้เธอยังจำความเกรี้ยวกราดที่เติมศักดิ์ฉายออกมาทางแววตาได้แม่น ตอนที่รู้ว่าบุตรชายคนสุดท้องของท่านไม่เข้าร่วมประชุม ซึ่งเป็นการประชุมในวาระสำคัญกว่าครั้งไหนๆ เนื่องจากเป็นการชี้ชะตาว่าเตชน์เหมาะสมกับตำแหน่งประธานบริษัทโฮมไอเดียคนต่อไปหรือไม่
แต่ต่อให้เตชน์ไม่ได้เข้าร่วมประชุม คนที่เดือดร้อนที่สุดก็ไม่ใช่เขา แต่เป็นเธอที่อาจจะหลุดจากตำแหน่งเลขาฯ ของรองประธานบริษัท เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้หากเตชน์ถูกลดตำแหน่งให้ไปเป็นผู้จัดการฝ่าย แล้วตำแหน่งที่ว่าเลขาฯ ก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
ดังนั้นพาขวัญจำเป็นต้องเอาตัวรอด เพื่อไม่ให้เงินเดือนเฉียดแสน โบนัสปีละสองครั้ง รถและคอนโดฯ หรูกลายเป็นความฝันที่จับต้องไม่ได้ ด้วยการปลุกรอยหยักในสมองคิดหาหนทางพาเตชน์ขึ้นตำแหน่งว่าที่ประธานบริษัทโฮมไอเดียคนต่อไป
แล้วผลที่ได้หลังจากเสนอความคิดเรื่องขยายสาขาในจังหวัดของภูมิภาคหนึ่งออกไปในที่ประชุม ริ้วรอยแห่งความไม่พอใจในแววตาดุดันของเติมศักดิ์กลับฉายแววเปลี่ยนไป
เติมศักดิ์อาจจะชอบใจไม่มากก็น้อย
ถึงตอนนี้ก็ได้แต่รอคอยผลว่าจะร่วงหรือรุ่ง
หากกระนั้นเธอก็ไม่ควรปล่อยเตชน์ให้ลอยนวล พอคิดได้ว่าควรเอาคืนเขาในเรื่องที่โดดประชุม ทิ้งให้เธอเจอกับความกดดันจนเกือบหายใจไม่ออก ประหนึ่งถูกมัดมือมัดเท้าถ่วงลงในน้ำลึก
บวกกับเหตุการณ์เมื่อคืน...
จู่ๆ ใบหน้าของพาขวัญก็แดงระเรื่อ ร้อนระอุไปทั่วอณูเนื้อบนผิวกาย โดยเฉพาะกึ่งกลางกายเสียววูบวาบไปหมด ทั้งที่สั่งตัวเองให้ลืมแล้วแท้ๆ แต่สมองกลับจำได้แม่นทุกท่วงท่า จำได้แม้กระทั่งกลิ่นกายของเขาว่าหอมเย้ายวนกว่าผู้ชายคนใดบนโลก
โอ๊ย! คิดอะไรอยู่เนี่ย บ้าจริง!
พาขวัญเอ็ดตัวเองในใจอย่างอับอาย พร้อมกับย้ำบอกว่าเธอไม่ได้หวั่นไหวไปกับรูปร่างชวนสะท้านใจสาวของเตชน์ ก่อนพิสูจน์ตัวเองด้วยการคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานมากดโทร.หาใครบางคน
ทันทีที่ปลายสายกดรับ เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อวาน แต่ละเว้นไว้เรื่องหนึ่งคือเรื่องที่เธอพลาดท่าเป็นของเตชน์ ถูกเล่าออกจากปากอย่างเผ็ดร้อน ซึ่งไม่ต่างไปจากเด็กหญิงที่ถูกเพื่อนแกล้งแล้วนำเรื่องไปฟ้องคุณครูประจำชั้นหวังให้เพื่อนจอมอันธพาลถูกทำโทษ
หลังจากวางสายพาขวัญก็เหยียดยิ้มดั่งนางร้ายในละคร ก่อนจะคว้าถุงผ้าภายในเป็นกล่องอาหารคลีนที่เตรียมมาจากคอนโดฯ ไปเก็บไว้ในแพนทรีที่อยู่ห่างออกไป
“อ้าวคุณข้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“เวลาปกติเลยค่ะป้าแหวน พอดีข้าวเอาของไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานก่อนจะแวะแพนทรีน่ะค่ะ”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง ถึงว่าไม่เจอคุณข้าวในครัว ป้านึกว่าลาหยุดซะอีก เสียดายข้าวหลามน่ะค่ะ”
“ข้าวหลาม?” พอทวนคำพูดจบ ป้าแหวนก็หยิบกระบอกข้าวหลามออกจากถุง
“พอดีหลานป้าเอามาฝาก ข้าวหลามหนองมนของแท้ ดูสิคะทั้งยาวทั้งใหญ่ ป้าตั้งใจเอามาฝากคุณข้าวเลยนะคะเนี่ย”
ทั้งยาวทั้งใหญ่...
พาขวัญอดไม่ได้ที่จะนึกถึง ‘ของ’ ของเตชน์
แล้วอาการวูบวาบก็กลับเข้ามาเล่นงานคนที่ย้ำบอกกับตัวเองว่าไม่ได้หวั่นไหวอีกครั้ง
“คุณข้าว คุณข้าวคะ”
“คะ ค่ะป้า” พาขวัญขานรับอย่างมึนงงหลังถูกเขย่าแขน
“ไม่สบายหรือเปล่าคะ หน้าแด๊ง แดง”
“อ้อ... สะ สบายดีค่ะป้า พอดีข้าวคิดอะไรเพลินไปหน่อย” เพลินไปมากทีเดียว คิดแล้วก็อดเคืองตัวเองไม่ได้
“ว่าแต่คิดเรื่องอะไรคะ เรื่องทะลึ่งป่าว เห็นหน้าแด๊ง แดง”
เพราะความสนิท ทำให้ป้าแหวนกล้าแซวเลขาฯ สาวที่ใครต่างก็ให้สมญานามว่าแม่ชี ทำตัวเคร่งครัดราวกับกลัวว่าศีลจะขาดอย่างไรอย่างนั้น แต่สำหรับนางมองว่าเลขาฯ สาวน่ารักดี มีมนุษยสัมพันธ์ ขนาดนางเป็นแค่แม่บ้าน อีกฝ่ายยังไม่ถือตัวสักนิด ส่วนพาขวัญที่กำลังคิดทะลึ่งอยู่พอดีเกือบหลุดปากออกไป ดีที่ว่ายั้งไว้ทัน
“คิดเรื่องกิน... ข้าวหลามน่ะค่ะ พอดีข้าวอยากกินอยู่พอดี”
ตายๆ ใครก็ได้ช่วยเอาภาพไอ้นั่นของเตชน์ออกไปจากหัวเธอที!