ปราณปริยาวดีจึงปล่อยคอโล่งๆ ให้เป็นแบบตามมีตามเกิดไปก่อน วันหลังถึงจะไปเอาจากแม่มาเก็บไว้บ้าง เพราะเดาได้ว่าผู้เป็นสามีคงจะหิ้วไปออกงานด้วยอีกเป็นแน่
และถ้าเดาไม่ผิดอีก ค่ำคืนนี้คงจะมีลูกบ้านใหญ่ไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
เสียงเคาะประตูไม่ดังมากตามติดด้วยเสียงของสุดา เป็นสัญญาณให้รู้ว่าได้ว่าเวลาต้องไปแล้ว ปราณปริยาวดีเดินไปเปิดกล่องรองเท้าส้นสูงสามนิ้ว สีเทาออกประกายเงิน
ซึ่งคิดว่าพอจะเข้ากับชุดแล้วถือไว้ มืออีกข้างถือกระเป๋าผ้าซาตินสีเงินประดับคริสตัล
“คุณหนึ่งมาแล้วนะคะ กำลังเปลี่ยนผ้าอยู่ ป้าเลยว่าจะมาดูเผื่อคุณหนึ่งจะให้ช่วยอะไรบ้าง ไหนให้ป้าดูหน่อยสิคะ”
สุดาเดินสำรวจรอบกายหญิงสาว มองตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่เห็นมีอะไรบกพร่องก็ยิ้มออกมา ทว่าในใจนั้นก็รู้ว่าขาดอะไร แต่จะบอกไปก็ไร้ประโยชน์
“สวยแล้วล่ะค่ะ ป้าว่าลงไปรอข้างล่างเลยดีกว่าค่ะ”
ปราณปริยาวดีตามไปอย่างไม่เกี่ยงงอน ไม่นานพลาธิปก็ตามลงไป เขาจ้องมองคนยืนถือรองเท้ากับกระเป๋ารออยู่ข้างล่าง ด้วยความพึงพอใจ
แต่ไม่ได้แสดงกิริยาใดๆ ออกมา นอกจากหันไปมองแม่ ที่เดินมาจากห้องนั่งเล่นเท่านั้น
“ตาหนึ่งจะให้เมียไปตัวเปล่าๆ ปลี้ๆ อย่างนี้น่ะเหรอ ได้อายคนตายพอดี เขาจะหาว่าสะใภ้บ้านนี้ไม่มีคลาส ขึ้นไปเปิดเซฟ แล้วเอาสร้อยที่ในกล่องสีดำยาวๆ มาทีไป คงจะเข้ากับชุดบ้าง”
“ครับ”
พลาธิปรับคำง่ายๆ เพราะแม่บอกได้ตรงกับใจพอดี แล้วรีบก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้นไปอย่างรวดเร็ว กับลงมาพร้อมสร้อยเพชรกับตุ้มหูเข้าชุด
“ให้ยืมใส่ไปก่อน ทีหลังจะออกงานสำคัญก็ให้มาบอก ฉันมีให้ใส่จะได้ไม่อายใคร จะได้ไม่เสียชื่อสะใภ้บ้านพงษ์พันธุ์สถาพรด้วย จำไว้ด้วยว่าหล่อนไม่ใช่คนโนเนมเหมือนก่อนแล้ว จะทำอะไร ให้คิดถึงหน้าผัว หน้าพ่อแม่ผัวเอาไว้ให้มากๆ ด้วย”
น้ำเสียงห้วนของแม่สามีในตอนนี้ ปราณปริยาวดีไม่คิดจะเก็บมาเป็นอารมณ์ เพราะรังแต่จะทำให้ไม่สบายใจมากกว่าเดิม ตรงกันข้ามกลับยกมือไหว้ขอบคุณด้วยความนอบน้อม
ก่อนจะยืนนิ่งให้ผู้เป็นสามี ที่ถือสร้อยอยู่ในมือเดินมาสวมให้ ส่วนตุ้มหูหญิงสาวรับไปใส่เอง พลาธิปไม่ได้พูดอะไร นอกจากเดินนำไปหารถเท่านั้น
ไม่ถึงชั่วโมง พลาธิปก็นำรถมาจอดท่าเรือเรียบร้อยแล้ว เพราะงานในค่ำคืนนี้เป็นปาร์ตี้ขอบคุณลูกค้าของบริษัทซัพพลายเออร์ชื่อดัง ที่เขาซื้อของปีละหลายสิบล้าน
งานจัดขึ้นบนเรือสำราญ จะล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาเรื่อยๆ กลับมาส่งที่ท่าราวห้าทุ่ม
เพื่อนๆ ของเขามากันครบทีมเช่นเคย รวมทั้งรัตติกาลด้วย มาในชุดราตรีสีเงินรัดรูปเว้าหลังลึกไปถึงเอว แถมควงเควิน เจ้านายวัยห้าสิบห้าชาวอังกฤษมาด้วย
เพราะรู้ดีว่าพลาธิปจะพาเมียมา จึงไม่อยากให้ตัวเองหง่าวนั่งมองเหมือนครั้งก่อนๆ
ปิยธิดาก็เปรี้ยวไม่หนีกัน ด้วยชุดยาวสีแดงสดแหวกข้างไปถึงต้นขา เว้าหลังลึกลงไปจนถึงเอวคอด สร้อยเพชรที่ใส่ก็ราคาเป็นล้าน รัตติกาลมองด้วยความอิจฉา
เพราะตัวเองไม่ใช่คนมีฐานะทางบ้านร่ำรวยอะไร หรือจะพูดให้ถูกคือยากจนด้วยซ้ำ ถ้าไม่อาศัยว่ารักดี เรียนเก่ง คงจะมาไม่ได้ไกลขนาดนี้ และคงจะปีนป่ายมาเข้าสังคมไฮโซไม่ได้แบบนี้
เครื่องประดับที่ใส่มานั้น ถ้าไม่มีหนุ่มคนไหนซื้อให้ ก็จะเป็นของปลอมซะส่วนใหญ่ วันนี้ดีหน่อยเลือกของจริงที่พลาธิปซื้อให้เป็นของขวัญปลอบใจ ก่อนจะแต่งงานใส่มา
เพราะเป็นงานที่หรูหรา เต็มไปด้วยคนร่ำรวยแทบทั้งสิ้น เจ้าหล่อนถึงเชิดได้ไม่อายใคร และไม่ต้องเกรงกลัวว่าใครจะคอยมาจับผิดว่าใส่ของเก้
“พี่เป้คะ ร้อนจังเลย ทำไมเจ้าของงานไม่เตรียมพัดลมไว้ให้แขกตอนรอลงเรือกันคะ”
ปิยธิดาบ่นน้อยๆ ข้างหูผู้เป็นสามี ด้วยสีหน้าไม่ใคร่จะชอบใจนัก เพราะกลัวเหงื่อจะออก พลอยทำให้หน้ามันไปด้วย
“ปกติจะมีลมธรรมชาตินะ แต่วันนี้อากาศอบอ้าว เอทนอีกนิดนะ เดี๋ยวก็ได้ขึ้นเรือแล้ว”
ภาธรไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนกับท่าทีของเมียนัก นอกจากตอบด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ เท่านั้น และไม่ได้คิดจะวิ่งหาทิชชูมาให้คอยซับเหงื่อ อย่างที่พลาธิปกำลังส่งผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงให้เมีย
แล้วส่งยิ้มเย้ยหยันมาให้ เพราะเขารู้ดีว่าเจ้าหล่อนกำลังมองหาอะไร ปิยธิดาได้แต่เชิดใส่ แล้วเดินพาชุดเริดหรูหนีไปยืนพิงระเบียง เพื่อหวังจะให้มีลมพัดมาบ้าง
ปราณปริยาวดีไม่ได้รู้สึกอะไร กับความสวยของลูกบ้านใหญ่ เอาแต่ยืนข้างๆ สามีเพื่อรอลงเรือเท่านั้น
“หนึ่งหิวมั้ยจ๊ะ ผมจะให้เขายกน้ำมา”
เขาแสดงความหวานเย้ยแฟนเก่าอีก ด้วยการโอบรอบเอวคอดเมีย แสดงท่าทีห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด โดยไม่ได้สนใจกับสายตาของคู่นอน ที่แม้จะยืนเคียงข้างเจ้านาย แต่สายตานั้นคอยจับจ้องเขากับเมียไม่ว่างเว้น
“ไม่ค่ะ”
ปราณปริยาวดีรับคำแค่นั้น แล้วยิ้มน้อยๆ ให้ แต่เขาไม่สนกับคำตอบ เมื่อบริกรเดินถือถาดเครื่องดื่มมา เขาก็หยิบสองแก้ว แล้วส่งให้เมียหนึ่งเพื่อจิบรอ ระหว่างให้แขกอาวุโสทยอยขึ้นเรือไปก่อน เพราะไม่อยากจะไปเบียดกับคนอื่น
“ปะ ลงเรือกัน”
ภาธรถึงได้หันมาชวน เมื่อเหลือกลุ่มของตัวเองเท่านั้น พลาธิปปล่อยให้เพื่อนๆ ลงจนหมดก่อน ถึงได้พาเมียเดินตามไป และด้วยความที่มือหนึ่งต้องถือแก้ว ที่เพิ่งดื่มน้ำไปนิดหน่อยกับอีกมือต้องถือกระเป๋า
บวกกับรองเท้าส้นสูงที่นานๆ จะได้ใส่ที ไหนจะกาบเรือเขยื้อนขึ้นลงตามแรงน้ำด้วย ทำให้ปราณปริยาวดีถึงกับเซ ขณะก้าวข้ามเชือกเส้นใหญ่ๆ ที่พาดอยู่กับพื้น