เธอเรียกชื่อคนที่กำลังกระหน่ำร่างอัดกระแทกส่วนนั้นของเธอ ในตอนที่ใช้ศอกยันกายเพื่อเฝ้ามองการกระทำอันเร่าร้อนนั้น เธอเห็นตัวตนแห่งชายอย่างชัดเจน ท่อนลำอันยิ่งใหญ่และมันวาว กำลังผลุบเข้าผลุบออกในร่องรูอันเล็กจ้อยของเธอ นำพาหยาดธาราแห่งความเสียวซ่านชโลมเนินเนื้อนุ่มนูนจนชุ่มลื่น เธอโอบแขนรอบคอเขา เหนี่ยวร่างขึ้นไปหาเมื่อเสียงคำรามอย่างสุดจะกลั้นดังออกจากริมฝีปากของภากร และความอุ่นร้อนอย่างของเหลวอันขุ่นข้นพุ่งสู่ร่างของเธอ ช่างเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดนัก มันสุขสมแต่ก็ทรมาน มันเจ็บปวดแต่ก็งดงามเหลือเกิน
“ริษา...เก่งมาก...เก่งมากเลยรู้ไหม” ชื่นชมคนที่ตัวเองกำลังกอดรัดอยู่ รับรู้ถึงแรงหอบหายใจอันรุนแรงของหล่อน เขาผละจากการกอดร่างงาม ดึงหล่อนออกจากอ้อมแขนเพื่อจะพบเจอสตรีที่งดงามที่สุด วงหน้าหล่อนยังแดงเรื่อ ผิวหน้ามันวาวด้วยหยาดเหงื่อ พวงผมยาวๆ ที่เกล้าไว้ดิบดีก็หลุดลุ่ย “เจ็บไหม..” ยามเอ่ยคำถามออกไป พวงแก้มของริษาก็ได้ซับสีโลหิตมากขึ้นไปอีก
“อือ...”
“แล้ว...ดีไหม...” ถามอีกด้วยใคร่รู้ คราวนี้หล่อนพยักหน้าแล้วหลบเลี่ยงสายตา รอยยิ้มสมใจเลยได้ผุดขึ้นที่มุมปากของเขา
ทั้งสองนั่งเงียบๆ อยู่ในท่านั้นจนหายเหนื่อย ก็ได้พากันจัดการกับตัวเองแล้วกลับไปนั่งที่เบาะข้างหน้า พวกเขาแต่งตัวใหม่อีกรอบหนึ่ง
ริษาเจ็บจุกที่ท้องน้อย อยากกลับไปนอนพักมากกว่าไปงานเลี้ยงใดๆ แต่เธอทำแบบนั้นไม่ได้ งานการของเธอยังรออยู่ เธอสางผมด้วยหวีเล็กๆ ที่มีในกระเป๋า จัดการดึงผมมวยที่ยุ่งเหยิงลงมา หวีดิบดีแล้วปล่อยผมให้ทิ้งตัวระแผ่นหลัง ตอนนี้รอยคิสมาร์กของภากรได้ปรากฏที่ข้างลำคอของเธอแล้ว เธอรีบแตะแป้งพัฟมากลบรอยนั้นไว้
ภากรดึงทิชชูเปียกไปเช็ดแผ่นหลังนอกร่มผ้าให้ริษา เช็ดเหงื่อให้หล่อนอย่างตั้งอกตั้งใจ “กลับบ้านดีไหม ไปพักเถอะ เธอจะมาเดินนานๆ ได้ยังไง”
“ได้ค่ะ เดินได้ ถ้ากลับบ้านไป คุณยุภาคงได้สงสัย”
“ฉันจะบอกว่าเธอไม่สบาย”
“เดือนที่แล้วริษาลากเสาน้ำเกลือไปทำงานนะคะ ถ้าคุณยังจำได้”
“อา...จริงด้วย ขอโทษที พ่อกับแม่ไม่อ่อนโยนกับเธอเลย”
“ทนได้ค่ะ มันเป็นงานนี่นา” เอ่ยด้วยเสียงเนือยๆ เก็บแป้งตลับและหวีลงกระเป๋า ยังรับรู้ถึงแรงที่คนข้างหลังใช้ทิชชูหมาดชื้นเช็ดแผ่นหลังให้กัน เขาจูบลงมาที่หัวไหล่ของเธอ ลากปลายจมูกเข้ามาเรื่อยๆ ผ่านบ่าบางเข้าสู่ซอกคอที่มีเส้นผมคลี่คลุมอยู่ เธออดไม่ได้ที่จะคล้อยตาม ทำไมลมหายใจกับจมูกคมๆ นี่ถึงร้ายกาจนักนะ
“แล้วเรื่องของเราล่ะ คงไม่ใช่...เรื่องงานใช่ไหม” คำถามของเขาถูกโต้ตอบด้วยความเงียบงัน ริษายังไม่ยอมเปิดปาก กระทั่งโทรศัพท์ที่อยู่บนตักหล่อนสั่นครืดๆ ขึ้นมา เขาเหลือบมองผ่านๆ ทว่ากลับสะกิดใจรุนแรง
“ใครโทรมา” เขาถามแต่หล่อนไม่ตอบ หล่อนกดรับสายและพูดคุยด้วยวาจาสั้นๆ ก่อนจะวางสายไป “ฉันถามว่าใคร”
“พี่...ที่ที่ทำงานค่ะ”
“ไม่เชื่อ! ไอ้บ้านั่นใช่ไหม!”
ริษาคร้านจะโต้คารมกับเด็กขี้หวงไม่รู้จักโต “งั้นมั้งคะ”
ฟิ้ว!
ทิชชูชื้นๆ ในมือเขาถูกปาลงบนตักของริษาอย่างเคืองๆ เธอมองเขาอย่างตำหนิ เธอไม่ใช่ถังขยะนะ
“ถ้าโกหกกันก็แล้วไป แต่ถ้ามีจริงๆ ละก็ ไปเลิกกับมันซะ!”
“ไม่ค่ะ”
“นี่! มันเป็นใครฮะ! ทำงานที่บริษัทเหรอ เอาสิ ถ้าไม่เลิกกับมันในวันสองวันนี้ละก็ ฉันจะหาเรื่องไล่มันออก”
“คุณกร! อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนเรื่องงานได้ไหม คุณกำลังพาลนะ”
“อือ...ฉันพาล ฉันไม่ชอบใช้ผู้หญิงร่วมกับคนอื่น ถ้ามีคนของตัวเองอยู่จริงๆ ละก็ ไปจัดการให้เรียบร้อย อ้อ...อย่าลืมกินยาคุมด้วยล่ะ ฉันไม่พร้อมจะเป็นพ่อใครหรอก”
ริษากำหมัดแน่นเมื่อได้ยินวาจาของคนที่เพิ่งจะพรากพรหมจรรย์ของเธอ เมื่อกี้ผีห่าซาตานบังตาหรือไงนะ เธอถึงได้ยอมเขาง่ายๆ
“ค่ะ...ริษารู้ คนอย่างคุณเป็นพ่อใครไม่ได้หรอก เป็นลูกที่ดียังไม่ได้เลย”
“นี่เธอ!”
“จะไปงานไหมคะ ถ้าช้ากว่านี้แม่คุณได้ฆ่าริษาแน่”
ภากรพ่นลมหายใจอย่างเดือดดาล เขาดึงสายเบลท์มาคาด ทว่าพอจะออกรถก็ดันเห็นบางอย่างเข้า เขาเอื้อมมือไปหาหล่อน ริษาเบี่ยงร่างหนี
“อยู่เฉยๆ สิ” สั่งแล้วดึงช่อผมยาวๆ มาไว้ที่ข้างลำคอ ให้มันช่วยปิดรอยคิสมาร์ก “มันยังเห็นรอย”
“ก็บอกแล้วว่าอย่าทำ”
“อดไม่ได้ รสชาติเธอ...มันถูกปาก”
ทั้งสองจ้องตากันชั่วขณะ เหมือนมีล้านคำพูดแต่ไม่อาจสื่อสารด้วยเสียงเจรจา แล้วภากรก็เหนี่ยวลำคอหล่อนเข้ามาหา พาริมฝีปากไปจุมพิตตีตราแม่คนงาม “ฉันไม่ยกเธอให้ใครเด็ดขาด ไม่มีวัน”
ดวงตาคู่สวยของริษาจ้องดวงตาของคนที่อยู่ตรงข้าม ทำไมถึงได้เอาแต่ใจนักนะ “ริษาจะไม่เลิกกับเขา” เธอเอ่ยออกไปอย่างที่ใจคิด
“ถ้าอยากคบซ้อนก็เอาสิ ไอ้บ้านั่นมันคงได้กระอักเลือดตาย”
“เขาไม่รู้เรื่องของเรา เขาไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่คุณสิ”
“ฉันทำไม!”
“คงรำคาญเหมือนมีอะไรทิ่มใจอยู่ทุกวัน การมีอยู่ของผู้ชายคนนั้นจะกวนใจคุณ อ้อ...ถ้าอยากเล่นงานเขาโดยเอาเรื่องส่วนตัวไปปนกับเรื่องงานละก็ ลองดูก็ได้นะ แล้วมาคอยดูกัน ระหว่างริษาที่มีเหตุผล กับผู้ชายที่ไม่รู้จักโตอย่างคุณ คุณท่านจะเลือกเข้าข้างใคร”
“ริษา!”
“อะไรๆ ก็ได้สมใจแล้ว อย่าบังคับกันนักสิคะ ให้พื้นที่ริษาได้หายใจบ้าง ทุกวันนี้นอกจากตอนเข้าห้องน้ำก็แทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเองแล้ว ริษาเหนื่อยนะคะ บางวันก็เหนื่อยมากจริงๆ” เป็นครั้งแรกที่ริษากล้าพูดแบบนี้กับคนที่เป็นเจ้านาย อาจเพราะเรื่องเมื่อครู่นี้ หากเป็นคนที่รักกันสักหน่อย คงได้พูดออกมาว่ากลายเป็นคนคนเดียวกันแล้ว แต่สำหรับพวกเธอนั้น มันไม่ใช่เลย
ภากรสูบลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เมื่อได้ยินคำสารภาพของคนที่นั่งข้างๆ ความสงสารผลิพุ่งในใจเขาเหมือนกาน้ำร้อนบนเตาที่กำลังเดือดปุดๆ เขาตัดสินใจเงียบเสีย ไม่ได้โต้ตอบอะไร แค่เอื้อมมือดึงสายเบลท์มาคาดให้หล่อน ในเวลาที่ความเงียบงันคลี่คลุมบรรยากาศ
และความเงียบก็ยังปักหลักอยู่เช่นนั้น ตั้งแต่ภากรเริ่มหมุนพวงมาลัย กระทั่งรถจอดสนิทที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง อันเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงวันนี้นั่นเอง
บทที่ 4
ล้างกลิ่นวอดก้า