ฟีรูซก้าวเท้าเหนื่อยๆ เข้ามาในคฤหาสน์ ผ่านห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่ใกล้บันไดขึ้นไปชั้นสองของอาคาร เสียงคนพูดคุยกันทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองที่ต้นเสียง ฮาคีมพี่ชายคนโตต่างมารดากำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่กับสิริมา หญิงสาวที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวของเขาแม้จะมีบิดาคนเดียวกันแต่เธอเป็นเพียงลูกคนรับใช้ที่คุณพ่อยอมให้ใช้นามสกุลร่วมกัน
ตั้งแต่จำความได้คุณหญิงกาญจนา หรือคุณแม่ของเขาสั่งนักหนาไม่ให้นับญาติกับสิริมา เขาจึงไม่เคยเรียกเธอว่า ‘พี่’ สักครั้งทั้งที่อายุก็ห่างกันถึงสองปี
ทั้งสามคนเป็นบุตรของ ชีคอบูบักร เรกิวลุสแห่งประเทศ ทัสลาน เมื่อสามสิบหกปีก่อน ชีคอบูบักรเดินทางมาประเทศไทยเพื่อลงทุนธุรกิจหลายประเภทเป็นการส่วนตัว ได้พบรักกับมารดาของฮาคีม แต่เพราะเรื่องศาสนาและประเทศทัสลานอยู่ในทะเลทรายทำให้มารดาของฮาคีมทนความคิดถึงเมืองไทยไม่ไหว ชีคอบูบักรจึงได้อนุญาตให้นางกลับมาอยู่เมืองไทยได้
ฮาคีมได้เติบโตในทัสลานเป็นระยะเวลาหนึ่งจนเมื่อมารดาของเขาเสียชีวิตจึงกลับมาอยู่เมืองไทย ขณะนั้นชีคอบูบักร กลับมาเพื่อเข้าร่วมพิธีศพจนได้พบกับมารดาของมาริสา แต่เพราะเป็นเพียงคนรับใช้ในบ้านและเป็นสาวจึงไม่ได้เลี้ยงดูอยากออกหน้าออกตานัก และต่อมาได้พบคุณกาญจนาก็ได้บุตรชายคือ ฟีรูซ และได้ใช้ชีวิตสั้นๆ ที่ทัสลาน แต่ด้วยชีคอบูบักรมีภรรยาหลายคนบุตรชายหญิงรวมกันเกินสิบคน คุณกาญจนาจึงคิดอยากกลับเมืองไทย ชีคอบูบักรเข้าใจดีจึงมอบบริษัทในไทยให้ลูกทั้งสามและฝากฝั่งให้คุณกาญจนาดูแลฮาคิมและสิริมาให้ช่วยดูแล แต่ในความเป็นจริงฮาคิมมีนิสัยเป็นผู้ใหญ่และความรับผิดชอบมากกว่า ส่วนสิริมามีนิสัยเจียมตัวอยู่แล้ว มีแต่ฟีรูซที่เป็นเสมือนแก้วตาดวงใจของคุณกาญจนาจึงรักใคร่ตามใจมากกว่าลูกเลี้ยงทั้งสอง
แม้จะใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยเรียกได้ว่า “เต็มตัว” แต่พวกเขาก็ไม่เคยขาดการติดต่อกับทางทัสลานเลย
“คุณฟีรูซกลับมาแล้ว”
เสียงแจ้นของสาวรับใช้วัยขบเผาะที่ชื่อชมพู่ดังขึ้นจนคนที่นั่งจมอยู่กองเอกสารเงยหน้าขึ้นมามองทันที แต่สายตาของพี่น้องร่วมบิดาที่ผสานกันกลับดูแต่งต่างกันเหมือนกัน ฮาคีมมองหน้าน้องชายที่ยืนตัวงอเล็กน้อยเหมือนโดนอะไรกระแทกท้องเข้าให้ เขามองน้องชายด้วยสายตาห่วงใย แต่ฟีรูซน้องชายที่อายุห่างจากพี่คนโตห้าปีมองอย่างเขืองๆด้วยตีสายตาคู่นั้นว่ากำลังมองอย่าง ‘สงสาร’
“ยุ่งอะไรด้วย” เขาตวาดสาวรับใช้เสียงดังอย่างไม่รู้จะไปลงทีใครดี
“ก็เล่นหายไปทีสองวันสามวันแบบนี้ใครเจอก็ต้องทักละค่ะ”
สิริมาเอ่ยทั้งที่ไม่เงยหน้าจากเอกสารในมือ พอดีกับที่สาวใช้อีกคนออกมาจากห้องครัวพร้อมจานใส่ขนมและเครื่องดื่ม เธอหันไปพยักหน้าให้ชมพู่ยกแก้วน้ำขิงไปวางให้คุณฮาคีม
“หายไปหลายวัน เหอะ! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับใครขนาดแม่ยังไม่ห่วง มีแต่ออกงานสมาคมทุกคืน”
ฟีรูซบ่นเหมือนเด็กขี้น้อยใจเผอิญว่าสายตาของเขามองไปในจานขนมที่พี่สาวต่างแม่ถืออยู่จึงมองด้วยความสงสัย สิริมาแอบยิ้มขันในท่าทางเหมือนเด็กไม่รู้จักโต เหมือนกับที่ฮาคีมเองก็รู้สึกอย่างนั้น เขาจึงเรียกน้องชายมานั่งใกล้ๆ ที่โซฟาตัวเดียวกัน
“ข้าวต้มมัดรู้จักไหม? เจ้าอร่อยของสิริมา เหมาซื้อได้มาเกือบทุกวัน” ฮาคีมเอ่ยอารมณ์ดีแล้วใช้ช้อนส้อมจิ้มข้าวต้มมัดที่ถูกแกะใบตองที่ห่อหุ้มออกวางใส่จานสวยงามพร้อมหันไปชิ้นพอดีขำ
“ก็ไม่ทุกวันเสียหน่อย แค่วันไหนไปโรงงานก็แวะซื้อ แต่ก็อร่อยนี่ค่ะ อุดหนุนยาย-หลานด้วยคู่นั้นด้วย” สิริมาเอ่ยเรียบๆ ตามลักษณะนิสัยช่างเจียมตัวของเธอ
“เอ่อ นี่ก็กลายเป็นว่าพี่เพิ่มงานให้สิริมาต้องมาช่วยดูแลโรงงานผลิตเครื่องสำอางด้วยซิ”
ฮาคีมมักจะไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องฐานะหรือชาติกำเนิดของสิริมา ผิดกับน้องชายอีกคนที่หัวสูง เจ้ายศเจ้าอย่างถอดแบบคุณกาญจนาอย่างกับพิมพ์เดียวกัน คิดไปก็ปวดหัวเหมือนกัน เพราะกิจการเครื่องสำอาง ‘พราว’ เป็นความคิดของคุณหญิงกาญจนา เดิมเขาดูแลแค่กิจการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นบริษัทที่บิดาลงทุนไว้หลายสิยปี สิ่งที่บิดาสร้างไว้ให้ เขาก็อยากทุ่มเทให้ถึงที่สุด เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าเลือดในตัวเขาครึ่งหนึ่งคือตระกูลเรกิวลุสที่ไม่ยอมพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย
“ของข้างถนนกินไม่เป็นหรอก” ยังไม่ทันได้ลองชิมสักคำ ร่างสูงโปร่งของฟีรูซธก็เดินลิ่วไปห้องพักของตนเองที่อยู่บนชั้นสอง
“หวังให้ช่วยงานอะไรคงยาก” ฮาคีมหัวเราะเบาๆ แล้วกินข้าวต้มมัดกับน้ำขิงอุ่นๆ ที่สิริมาเตรียมให้
“วัยรุ่นนี่ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ พลางขยับแว่นให้กระชับใบหน้า
“เอ่อ แล้วเรื่องที่ให้หาที่พักให้เพื่อนพี่”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ เป็นคอนโดของคุณฮาคีมที่อยู่กลางเมือง ไปมาสะดวก”
สิริมาเอ่ยแล้วจิบน้ำขิงของตนเองซึ่งเป็นเครื่อง เธอรู้ว่าพี่ชายของเธอดื่มกาแฟวันละหลายแก้ว จึงเปลี่ยนเป็นน้ำขิงให้ดื่มก่อนนอน
“ขอบใจที่ต้องวุ่นวายทำโน่นนี่ให้พี่นะ ถ้าไม่เกรงใจคุณหญิงแม่ละก็ คงให้พักบ้านเราแล้วละ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” น้องสาวยิ้มน้อยๆ แล้วจัดการกับข้าวต้มมัด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงภาพยายกับหลานช่างเจรจาคู่นั้น
ฟีรูซเข้าไปในห้องก็ถอดเสื้อเชิ้ตออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามตัวใน เหนื่อยเกินกว่าจะถอดกางเกงให้เสร็จในคราวเดียว จึงทิ้งตัวนอนแผ่หราบนเตียงขนาดใหญ่
ทำไมนะ! ทำไม ทั้งสองคนถึงพูดคุยเหมือนเขาไม่มีตัวตนอยู่อย่างนั้น แถมไม่มีใครห่วงเขาเลยทั้งๆที่เขาไม่เข้าบ้านตั้งสามวันสามคืน อุตส่าห์หลบไปนอนที่คอนโดเผื่อว่าจะมีใครเป็นห่วงโทรศัพท์ตามหาบ้างก็เงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอถึงบ้านคุณแม่ก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอะไรเลย นี่ถ้าเงินไม่หมดกระเป๋าบัตรเครดิตก็รูดไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละ! พอเงินหมดเพื่อนก็หายวับไปกับตา ขนาดเขาเมาหนักแบบนั้น ยังไม่มีใครมีน้ำใจพามาส่งบ้านหรือคอนโดเลย แถมยังเจอยัยเด็กแสบเตะผ่าหมากเข้าให้อีก!
ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ ยื่นมือไปจะควานหาเสื้อเชิ้ตที่ถอดกองไว้ที่เตียง หาอะไรสักอย่างที่กระชากจากยัยเด็กบ้านั่น!
“มีอะไรให้ชมพู่ช่วยมั๊ยค่ะ…คุณฟีรูซขา…”
“เฮ้ย! เข้ามาได้ไง”
ฟีรูซสะดุ้งเมื่อมือของเขาไปสัมผัสกับเนื้อนุ่มนิ่มบริเวณเนินอกอย่างไม่ตั้งใจสาวคนรับใช้เองก็สะดุด เมื่อถูกมือของอีกฝ่ายสะบัดออกอย่างแรง
“ห้ามเข้ามาในห้องฉันเด็ดขาด ฉันไม่อยากให้บ้านนี้มันมีประวิติศาสตร์ซ้ำรอยอีก!”
“คุณฟีรูซ!” ชมพู่หน้าแดงด้วยความอายและความโกรธก่อนเดินสะบัดก้นออกไป
ชายหนุ่มเจ้าของห้องรีบลุกขึ้นไปลงกลอนประตูทันที ถึงเขาจะเป็น Play boy แค่ไหน ก็ยังรู้ว่าเรื่องไหนสมควรหรือไม่ จะเรียกว่าเจ้าชู้อย่างมีจรรยาบรรณก็ไม่ผิดนัก
แต่กับผู้หญิงแสบๆ ชอบเล่นตัว มันก็ท้าทายไม่ใช่เล่น
เขาหยิบบัตรพนักงานวิจัยตลาดออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต อ่านรายละเอียดที่ปรากฏบนบัตรแล้วเผลอยิ้มออกมา ตากลมโตบนใบหน้ากลมมนได้สัดส่วนแบบนี้
ดูๆ ไปก็น่ารักดีไม่หยอก อายุน่าจะพอๆ กับเขา แต่เรื่องความแสบเนี้ย!ไม่ได้เข้ากับหน้าหวานๆ เอาเสียเลยจริงๆ เถอะ!.