ตอนที่ 1
“คุณพีทคะ...พี่เลี้ยงคนใหม่ของน้องตูนมาถึงแล้วนะคะ”
มณีตะโกนบอกสามีของเธอซึ่งยังสาละวนอยู่กับการออกกำลังกายในห้องยิมส่วนตัวภายในบ้านหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในเขตของผู้มีอันจะกินแถบชานเมือง ภาคภูมิซึ่งอยู่บนลู่วิ่งและมีเหงื่อเต็มตัวหยุดการออกกำลังกายของเขาซึ่งเป็นสิ่งที่หนุ่มวัยสี่สิบทำอยู่เป็นประจำทุกเย็น หนุ่มใหญ่เดินออกไปจากห้องออกกำลังกายและเห็นว่าภรรยาของเขายืนรออยู่ที่ห้องรับแขก
“ไหนล่ะพี่เลี้ยงของลูกตูนน่ะ นี่คุณแน่ใจแล้วเหรอว่าพี่เลี้ยงที่หามาดูแลลูกเราจะทำงานได้ดีเหมือนคนเก่า”
ภาคภูมิถามภรรยาที่นั่งลงบนเก้าอี้รับแขกขณะที่เขาเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ และซับเหงื่อที่แตกเต็มตัวด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก มณี ภรรยาของเขารู้ว่าสามีเป็นคนค่อนข้างจุกจิกกับเรื่องแบบนี้หล่อนจึงกล่าวขึ้นว่า
“แหม...เชื่อมณีสิคะ มณีต้องหาคนที่ไว้วางใจได้ให้มาดูแลลูกของเราเหมือนที่ป้ายิ้มเคยเป็นพี่เลี้ยงให้มาก่อน นี่ถ้าป้ายิ้มไม่กลับบ้านช่วงนี้มณีก็คงไม่ต้องเหนื่อยหาคนมาดูแลแทนหรอกค่ะ เพราะจะหาคนที่ไว้ใจได้น่ะมันยากจริง ๆ”
“แล้วคุณแน่ใจหรือว่าพี่เลี้ยงคนใหม่จะไว้ใจได้”
“ได้สิคะ เพราะป้ายิ้มเป็นคนฝากฝังมาเอง เห็นว่าเป็นหลานของป้ายิ้ม ในเครือญาติของแกน่ะค่ะ...อ้าว...เอื้อง...เข้ามาก่อนสิจ๊ะ”
มณีกวักมือเรียกหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบปีที่หอบหิ้วกระเป๋าเข้ามาในห้องรับแขก ภาคภูมิเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเป็นหญิงสาวร่างอวบนิด ๆ ผิวขาวเหมือนหยวก หน้าตาหมวย ๆ ไว้ผมยาวสีดำขลับ ตอนที่เห็นครั้งแรกคุณผู้ชายของบ้านก็ออกอาการอึ้งเพราะพี่เลี้ยงคนใหม่ที่เมียเขาหามาหน้าตาสะสวยและหุ่นอวบอัดไม่ใช่เล่น
“นี่ไงคะคุณพีท...พี่เลี้ยงคนใหม่ที่ป้ายิ้มติดต่อมาให้ช่วยดูแลลูกเราช่วงที่แกกลับบ้าน...เข้ามานี่สิจ๊ะหนูเอื้อง เข้ามาใกล้ ๆ นี่”
จิ๋มคุกเข่าและค่อย ๆ คลานเข้าไปหาคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายทั้งสอง ภาคภูมิเริ่มหายใจขัด ๆ เมื่อเห็นพี่เลี้ยงสาวสวมเสื้อยืดคอกลมเวลาหล่อนก้มลงเห็นเนินนมรำไร
“สวัสดีค่ะ...คุณผู้หญิง”
“จ้ะ...เอื้องเป็นหลานของป้ายิ้มสินะ ป้ายิ้มน่ะบอกฉันไว้แล้วว่าจะให้หลานสาวที่เป็นญาติใกล้ชิดมาช่วยดูแลหนูตูน ลูกสาวของฉัน นี่สามีของฉันนะ คุณพีท”
เอื้องยกมือไหว้คุณผู้ชายของบ้านด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม แต่พี่เลี้ยงสาวก็อดไม่ได้ที่จะช้อนตาจ้องมองประสานสายตากับภาคภูมิที่ตอนนี้สวมเพียงกางเกงออกกำลังกายตัวเดียวทำให้เห็นมัดกล้ามบนหน้าอกและแขนล่ำ แถมมีเหงื่อดูเป็นเงามะเมื่อม แถมยังหล่อเหลาจนหญิงสาวรู้สึกเขิน ๆ เวลาถูกจ้องมองกลับมา
“ฉันจัดห้องนอนไว้ให้เอื้องแล้วนะ อยู่ติดกับห้องลูกสาวของฉันที่ชั้นล่าง เวลาลูกสาวฉันตื่นหรือต้องการอะไรก็จะได้กดกริ่งเรียกเอื้องได้สะดวก คงอยู่ที่นี่ได้นะจิ๋ม”
“ค่ะ...คุณมณี...เอื้องอยู่ได้ค่ะ”
เวลาหล่อนพูดสายตากลับประสานกับคุณผู้ชายเพราะตอนนั้นภาคภูมิก็จ้องมองพี่เลี้ยงสาวไม่วางตากระทั่งหล่อนเก็บกระเป๋ากลับไปที่ห้องซึ่งมณีเตรียมไว้ให้
“ดูสิคะคุณพีท...เด็กคนนี้หน้าตาดีแถมยังเรียบร้อยด้วย ฉันรู้สึกว่าวางใจนะคะเพราะเป็นคนที่ป้ายิ้มแนะนำมาให้”
“ก็ดี...เอ...แล้วนี้เจ้าลูกชายของคุณยังไม่กลับมาจากมหาลัยอีกเหรอ”
ภาคภูมิถามถึง ตั้ม ลูกชายคนโตอายุสิบแปดย่างสิบเก้าที่ยังเรียนมหาวิทยาลัย มณีส่ายหน้าดิก
“เขาคงอยู่ที่บ้านเพื่อนนั่นล่ะค่ะ ไม่ดึกไม่กลับบ้านจนฉันเองก็ขี้เกียจจะพูดละ”
“อืม...ปล่อยมันบ้าง ลูกชายเราโตแล้ว ถ้าจะเที่ยวบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมกลับไปออกกำลังกายต่อนะ”
“ตามใจค่ะ...นี่มณีว่าคืนนี้จะออกไปงานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนข้างนอกหน่อย โชคดีที่พี่เลี้ยงคนใหม่มาช่วยดูหนูตูนวันนี้ ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องชวดออกไปเลี้ยงกับเพื่อนรุ่นแน่ๆ”
มณีลุกขึ้นเดินกลับไปชั้นสองปล่อยให้สามีของหล่อนนั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขกเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ภาคภูมิเอนหลังพิงเก้าอี้ ตอนแรกกะว่าจะกลับไปออกกำลังกายต่อแต่ก็เกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน เขานั่งอยู่ที่เดิมและมองไปยังห้องที่พี่เลี้ยงคนใหม่พึ่งเดินเข้าไปเมื่อครู่อย่างใช้ความคิด
พอถึงเวลาสองทุ่มมณีก็แต่งตัวด้วยชุดราตรีแสนสวยเพื่อเตรียมตัวไปงานเลี้ยงรุ่นซึ่งถูกจัดขึ้นที่โรงแรมใจกลางเมือง ถึงหล่อนจะอายุสี่สิบแล้วแต่ทรวดทรงองเอวก็ยังดูดีไม่แพ้สาวรุ่น มณีเข้าไปในห้องของลูกสาววัยสี่ขวบที่กำลังนั่งเล่นอยู่กับพี่เลี้ยงสาวคนใหม่
“เป็นไงบ้างเอื้อง...คิดว่าพอจะดูแลลูกสาวของฉันได้มั้ย”
คุณผู้หญิงของบ้านถามขึ้น เอื้องหันไปยิ้มแล้วตอบเสียงใส
“ได้ค่ะคุณผู้หญิง คุณหนูน่ารักท่าทางจะเลี้ยงง่าย”
“โอ๊ย!...แม่หนูของฉันยังไม่แผลงฤทธิ์นะสิ แต่หนูตูนลูกสาวฉันน่ะไม่ซนมากหรอกนะ ที่บอกว่าแผลงฤทธิ์ก็ตอนที่อยากได้อะไรแล้วไม่ได้เท่านั้นล่ะ”
“แล้วนี่คุณผู้หญิงจะไปงานเลี้ยงเลยเหรอคะ
“ใช่...อาจจะกลับดึกหน่อย แต่ก็สบายใจแล้วล่ะว่ามีคนคอยดูแลแม่หนูของฉัน หนูตูนเป็นลูกหลง เป็นคนเล็กของบ้านอาจจะเอาแต่ใจหน่อย”