“เฮียแค่รับฝากไว้นะคุณ เขาให้เวลาคุณไปถ่ายคืนด้วย เฮียย้ำ! เสียจนฉันอยากรู้ราคาเต็มของมันเลยแหละ”
เมวิกาแจ้งให้เขารับรู้ เธอล้วงตั๋วจำนำและส่งให้เขา ไม่อยากเก็บอะไรไว้กับตัวเลย เมื่อแค่มองยังเกิดกิเลสไม่อยากเชื่อว่าตัวเองพึ่งจะจับเงินมากมายขนาดนั้นมาหมาดๆ
“บัตรเบิดอะไรอยู่ครบไหมล่ะ ฉันจะพาเอาสตางค์ไปฝากให้...โอ๊ะ!! ไม่ทันแล้วสินะ ป่านนี้ธนาคารน่าจะปิด...เก็บดีๆ ล่ะอย่าให้ถูกฉกไปอีก"
“ฝากเธอไว้ได้ไหมล่ะ?” ชายหนุ่มลองหยั่งเชิงหากเมวิกาเป็นคนหิวเงินเธอคงรีบกระโจนใส่
“ไม่เอา!!” เธอรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “ฉันกลัวหาย...แล้วไม่มีปัญญาหามาใช้คืนด้วย...มันเยอะเกินไป”
หญิงสาวปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด เธอส่ายหน้าจนผมกระจาย
“คุณรักษามันไว้ดีๆ ล่ะ”
หญิงสาวเตรียมหมุนตัวหนี
“ถ้าฉันจะอยู่อีกสักพัก...รอจนกว่าญาติจะมารับเธอคิดว่าไง?”
ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมีแต่น้ำเสียงเฉยชาตอบกลับมา
“มันแล้วแต่คุณ! ฉันไม่เกี่ยว”
หล่อนรีบเดินกลับเข้าห้องตัวเองไม่สนใจเงินเยอะๆ ที่หล่อนพูดถึงสักนิด นอกจากไม่สนใจเงินแล้วหล่อนไม่สนใจเขาด้วยนี่สิ มันทำให้หนุ่มเสน่ห์แรงเคือง!! หากแวซ็องคิดจะเด็ดปีกความผยองของหล่อนให้สมกับฉายา 'นักล่ามือทอง' เขาไม่ผิดใช่ไหม? ก็เมวิกายั่วยุให้สัญชาตญาณนักล่ามือฉมังของเขาตื่นเพลิดขึ้นมาเอง...มันช่วยไม่ได้
ชายหนุ่มเดินอ้อมไปหาป้าเจ้าของบ้าน ตอนนี้เขามีเงินทุนสำหรับการลวงล่อเมวิกา หล่อนไม่สนเงินเขาก็จะใช้อย่างอื่นแทน
เริ่มต้นที่ ‘ร่างกาย’ โดยเฉพาะดวงตา
แวซ็องจำได้ดี เขาเคยมองจนฝ่ายตรงข้ามละลายมาแล้ว นับประสาอะไรกับผู้หญิงอ่อนเดียงสาคนหนึ่งอย่าง ‘เมวิกา’ หล่อนไร้เดียงสาจนเขาได้กลิ่นบริสุทธิ์
“อ้าว...มีอะไรให้ฉันช่วยเหรอ? พ่อฝรั่ง”
นางรีบตะโกนถาม เมื่อผู้ชายแปลกหน้าคนเดิมเดินดิ่งตรงมาหา
แวซ็องส่งยิ้มให้ “ห้องพักยังพอมีเหลือไหมป้า?”
ชายหนุ่มพยายามสื่อสารเท่าที่ตัวเองพอทำได้และอีกฝ่ายเข้าใจ
สาวใหญ่ยังงงๆ แต่เมื่อชายหนุ่มพยายามพูดซ้ำ นางจึงเข้าใจ และรีบพยักหน้ารับ
“มีสิ...แต่ไม่กลับบ้านเหรอไงล่ะ?”
“รอคนมารับน่ะ” หากพากันสังเกตจะมองออกว่าชายหนุ่มพยายามวางตัวเหินห่าง เขาพูดไม่มีหางเสียง แต่เพราะเป็นคนต่างชาติที่พยายามพูดจึงถูกละเลยเรื่องนี้ไป
ห้องพักเก่าๆ สีซีดไม่พอ สีที่ทาไว้ยังกะเทาะล่อนเป็นรอยด่างทั่วทั้งผนังและฝ้าเพดาน หนุ่มติดหรูไฮโซตัวพ่อบิดมุมปากจนเบี้ยว เขาใช้ปลายเท้าเขี่ยฟูกนอนเก่าจนราขึ้นที่ผืนผ้า เพราะการผ่านช่วงเวลาแสนนานมาด้วยความรังเกียจ มันก็สมราคาสำหรับห้องพักแสนกระจอกในราคา1500 บาท สำหรับชายหนุ่มมันคือเศษเงิน แต่สำหรับคนอื่นๆ อีกหลายคนมันออกจะแพงไป
แวซ็องอยากโวย!!
เมื่อทำไม่ได้ก็ต้องข่มใจทน...ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกๆ ข่มกลั้นความไม่พอใจไว้ข้างใน
“พออยู่ได้ไหมล่ะ...เก่าไปสักนิดแต่ฉันก็คิดไม่แพงนะ”
ชายหนุ่มกัดฟันพูด “ได้...ถ้าจะช่วยเอาไอ้นั่นไปโยนทิ้งให้ด้วยล่ะก็ ฉันจะจ่ายล่วงหน้า3 เดือน” ชายหนุ่มชี้ไปที่ที่นอนที่ไม่ต่างอะไรกับกองเชื้อโรค เขาสุดกลั้นจริงๆ เมื่อมันอาจจะทำให้เขาคันคะเยอหากทิ้งตัวนอนบนนั้น
“ได้ไง...แล้วจะนอนตรงไหนกัน มันยังดีๆ อยู่เลย” นางพยายามท้วง ที่นอนเก่าก็จริงแต่สภาพยังพอนอนได้เอาผ้าสะอาดมาคลุมทับแค่นั้นก็ดูดีขึ้นมาล่ะ
ดวงตาคมดุหลุบลง เขาผ่อนลมหายใจช้าๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองโวยขึ้นมาจริงๆ เขากำลังของขึ้น “เดี๋ยวซื้อใหม่และฉันจะไม่นำมันกลับไปด้วย ช่วยเอาไปทิ้งไกลๆ ก็แล้วกัน” ข้อเสนอน่าสนใจ นางมีแต่ทางได้จึงพยักหน้าตกลง และรีบออกไปหาคนมาช่วยยกที่นอนออกไปตามความต้องการของเจ้าของห้องคนใหม่
ห้องเงียบกริบ เมื่อไร้เงาสิ่งมีชีวิต ชายหนุ่มยกมือขึ้นเสยผมดกหนา เขาบ่นพึมด้วยความไม่เข้าใจตัวเอง “กูมาทำบ้าอะไรอยู่ที่นี่ว่ะ”
นั่นสิ! เขามามัวทำอะไรอยู่ที่นี่ การซ่อนตัวจากดิดิเย่ร์ไม่ได้ทำยากเย็นเลย มีเงินก็สามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่าง ต่อให้มันจ้างพระเจ้า เขาก็จะจ้างพญามัจจุราชบังตา...แต่เขามัวมางมอะไรอยู่ที่นี่ เป็นผู้หญิงคนอื่นไม่ได้เหรอ? ทำไมต้องเป็นเมวิกาด้วยล่ะ!
ยัยนั่นมีอะไรดี? ...ทำไมต้องกระเ**ยนกระหือรือจะต้อง ‘ฟัน’ หล่อนให้ได้
แวซ็องย้อนถามตัวเอง เขาไม่เข้าใจตัวเองเท่าไรหรอก จะต้องมาทนอึดอัดลำบากใจอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร?
“คิดว่าจะอยู่ได้เหรอ?”
เสียงถามหวานจับจิต เสียงคนคุ้นๆ ที่เขาไม่คิดว่าหล่อนจะใส่ใจ
“ก็ไม่แน่ใจนะ”
ชายหนุ่มตอบตามจริง เขาหมุนตัวกลับมาพร้อมกับรีบกลืนน้ำลายลงคอ...หิว!! ท้องเขาร้องโครกครากเมื่อในมือของเมวิกามีจานข้าว เธอทำอาหารตอนไหนหว่า? กลิ่นของมันชวนกินมาก...อาจจะเป็นเพราะเขาหิว หรือไม่ก็คนเอามาให้ถูกใจ!
“คิดว่าคุณยังไม่กินข้าวเลยทำเผื่อ...” หญิงสาวยื่นจานข้าวให้ ไม่มีอะไรมากแค่ข้าวผัดผักเหลือๆ ใส่ไข่ใส่หมูพอให้มีคุณค่าทางอาหารเพิ่มขึ้น ไม่ได้หรูหราอะไรเลย
“ขอบใจ” ชายหนุ่มรับจานมาถือเขายิ้มแผล่ “ไม่มีแม้แต่โต๊ะนั่งกินข้าว อยากได้ของใช้หลายอย่างแต่คิดว่าไม่จำเป็นเมื่อฉันคงอยู่ไม่นาน...พอแนะนำได้ไหม...ว่าควรซื้ออะไรดี” ชายหนุ่มถามความเห็น เขาคงอยากให้เธอมีส่วนร่วม เมวิกาหมุนตัวกลับเธอพูดลอยๆ “เงินคุณมีเยอะแยะ จะเสียดายทำไมล่ะ”
แวซ็องแสยะยิ้ม หล่อนตีตัวออกหากทันตาเห็น “ก็ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดี ไม่รู้จะซื้อที่ไหนด้วย...” ชายหนุ่มแสร้งโอดครวญ...
“ที่ตลาดมีทุกอย่างที่คุณต้องการ หากในกระเป๋าของคุณมีสตางค์”
หญิงสาวเดินต่อ เธอไม่ยี่หระหรอกหากเขาจะไม่พอใจ สิ่งที่เมวิกาควรทำ คือการอยู่ห่างๆ เขา เมื่อกลิ่นอันตรายร้องเตือนเสียงดังกระหึ่มในหัวของเธอ สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสั่งให้เธอทำเช่นนั้น...
ชายหนุ่มเดินตาม...หญิงสาวเหลียวกลับมามอง ก่อนจะรีบเบือนหน้าหลบ พร้อมกับก้าวเท้าให้เร็วขึ้น
เธอรีบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องพักตัวเอง เป็นทางเดียวที่แวซ็องยังฝ่าเข้าไปไม่ได้ ชายหนุ่มหยุดมองประตูห้องพักที่ปิดสนิทนิ่งๆ แล้วจึงเดินอ้อมไปทางด้านหลัง ทรุดนั่งบนแคร่ตัวเก่า แบ่งข้าวในจานให้ไอ้ตูบกินด้วย
“ดิเย่ร์มากินซะ...แบ่งกันกินนาโว้ย” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบศีรษะสุนัขแสนรู้...เขาตักข้าวใส่ปากพลางเหลือบมองกระจกบานเกล็ด...ตรงจุดนั้นมีเงาคนรางๆ ยืนมองอยู่ มุมปากกระตุกยิ้ม แสร้งทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น...
“พรุ่งนี้แกจะกินไก่อีกไหม...ฉันจะออกไปซื้อของ...แกไปกับฉันไหมล่ะ ฉันไม่มีเพื่อนแกก็รู้” พูดกับหมาแต่ทำไม? เมวิการู้สึกเหมือนถูกว่ากระทบ เธอแอบเบ้ปาก รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีทางมองเห็น อดหมั่นไส้เขาไม่ได้จริงๆ ขนาดสุนัขอดโซยังหลงใหล...เจอหน้ากันแค่ไม่กี่ชั่วโมง...ไอ้ตูบก็แปรพักตร์...หันไปสวามิภักดิ์คนแปลกหน้าเสียแล้ว ‘ไอ้เห็นแก่กิน!’
“ชิ!” หญิงสาวสะบัดหน้าให้ เธอคว้าผ้าขนหนูขึ้นพาดบ่า เพื่อจะอาบน้ำอาบท่าให้คลายร้อน เตรียมตัวนอนดีกว่า ไหนๆ ก็ได้หลับยาวๆ สักคืน
หญิงสาวพึ่งฉุกใจ เขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าชุดเดิม เมื่อมันมีขนาดใหญ่ขึ้นไม่คับติ้วเหมือนกับตอนเช้าที่เธอเห็นครั้งแรก
แวซ็องส่ายศีรษะ แม่สาวน้ำแข็งใจแข็งยิ่งกว่าหิน ไม่สนใจขนาดเขาเดินตามมาอ่อย...หากมัวตามตอแยหล่อนอยู่แบบนี้คืนนี้เขาคงได้นอนตากยุงกับนอนบนพื้นสกปรกเหมือนเดิม ชายหนุ่มรีบกิน...มีอีกหลายอย่างที่ควรทำ เขาเดินกลับไปที่ห้องพัก หลังจัดการข้าวในจานจนหมด แทบจะเลียจานเลยหากไม่รู้สึกน่ารังเกียจเกินไป