06-ธุรกิจบ้านข้างๆ

2060 คำ
เล้งเริ่มชินกับการตื่นเช้ามาเดินดูต้นไม้รอบๆ บ้าน ส่วนมลเองก็มีความสุขกับการได้ตื่นขึ้นมาช่วยสามารถทำกับข้าวแต่เช้าด้วยเช่นกัน มีเพียงแค่เหมยที่ยังคงนอนตื่นสายเหมือนเดิม เพราะกว่าจะได้หลับได้นอนก็จนฟ้าแทบจะสว่างทุกคืน วันนี้ก็เช่นกันเล้งและมลนั้นทำกับข้าว จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว แต่เหมยยังคงนอนเล่นโทรศัพท์ไม่ขยับลุกจากที่นอน “เหมยลูกตื่นหรือยัง มากินข้าวเร็ว” มลร้องเรียกลูกสาว เพราะคิดว่าเธอน่าจะตื่นแล้ว เพียงแต่ยังนอนกลิ้งไปมาอยู่บนที่นอน วันนี้เล้งกับมลคุยกันว่าจะไปดูสวนของอี้ เพื่อเป็นแนวทางนำมาปรับใช้กับสวนของเขา คนเช่าที่เพิ่งจะมาบอกคืนที่กับอี้ ทีแรกอี้ก็ว่าจะหาผู้เช่ารายใหม่ให้กับน้องชาย แต่พอมาบอกเล้ง เขากลับดีใจที่จะมีที่ว่างทำไร่ทำสวนบ้างแล้ว แม้ว่าอี้นั้นจะไม่เห็นด้วยนัก เนื่องจากเล้งไม่เคยทำสวนทำไร่มาก่อน แต่ก็ไม่ได้ขัด หากน้องอยากทำจริงๆ เธอคงต้องคอยให้คำปรึกษา “แต่งตัวเตรียมจะไปไหนกันเหรอ?” เหมยหันไปถามพ่อกับแม่ เธอดูเสื้อผ้าที่ทั้งคู่ใส่แล้วรู้สึกว่ามันเป็นชุดที่พร้อมจะออกนอกบ้าน บวกกับท่าทางที่เหมือนจะรีบร้อนของพ่อ จึงเดาเอาว่าทั้งสองคนคงมีแผนจะออกไปที่ไหนกันแน่ๆ “ว่าจะไปสวนป้าอี้ พอดีตาชมที่เขาเช่าที่ข้างๆ สวนป้าอี้เค้ามาบอกคืนที่ ไม่เช่าต่อแล้วเพราะทำไม่ไหว ป๊ากับม๊าเลยว่าจะเอามาทำสวน แต่ก็ต้องไปดูแนวทางจากป้าอี้เค้าก่อน ว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง เห็นว่าตาชมเค้าเช่าทำนา จะเปลี่ยนจากนามาทำไร่ มันคงต้องปรับที่ปรับทางหน่อยล่ะ แล้วป๊าว่าจะขุดสระด้วย จะได้เลี้ยงปลา อยากไปด้วยกันไหมล่ะ” “ไม่ไปหรอก แค่ฟังยังรู้สึกถึงไอร้อนๆ จากพระอาทิตย์เลย” เหมยปฏิเสธอย่างทันที “ไม่ร้อนหรอก เห็นป้าอี้แกบอกว่าต้นไม้เยอะ” มลเสริมขึ้นบ้าง “หึ ป๊ากับม๊าไปเถอะ เหมยไม่ไปหรอก” เธอยังคงยืนยันคำเดิม หลังจากที่เล้งและมลออกจากบ้านไปแล้ว เหมยก็ต้องอยู่เพียงลำพังที่บ้าน หลังจากกินข้าวเสร็จเหมยก็จัดการทำธุระส่วนตัวของเธอ ก่อนจะกลับไปหมกตัวอยู่ในห้องของตัวเอง เหมยไม่ได้เข้าเรียนออนไลน์เพราะอินเทอร์เน็ตไม่ค่อยเสถียร ทำให้รู้สึกเสียอารมณ์กับภาพและเสียงที่มันสะดุดเหลือเกิน ยังดีที่ตอนดูซีรี่ส์ไม่ได้สะดุดจนขัดใจเท่านั้น เลยพอจะดันทุรังดูไหว ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าเดินย่ำบนพื้นไม้ ดังมากนอกห้อง ทำให้เหมยที่นอนอยู่ในบ้านคนเดียวใจเต้นถี่ด้วยความหวาดกลัว เธอไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของอะไร แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่เสียงฝีเท้าของพ่อกับแม่เธอแน่ เพราะทั้งคู่ออกไปข้างนอกหมดแล้ว ความเงียบและความกลัวร่วมกันสร้างจินตนาการต่างๆ มากมายในหัวของเหมย เธอคิดไปว่าอาจจะเป็นขโมยที่รู้ว่าบ้านนี้มีคนมาอยู่ แล้วแอบซุ่มดูรอจังหวะที่คนออกจากบ้าน แล้วจึงขึ้นมาขโมยของมีค่า แต่เสียงมันก็เบาเกินกว่าจะเป็นเสียงฝีเท้าของคน แต่ถ้าเป็นคนย่องเบาก็ต้องได้ยินเสียงเท้าที่เบาก็ถูกแล้วนี่ หรือว่าจะไม่ใช่ขโมยแต่เป็นหมาแมวที่ขึ้นมาหาเศษอาหารกิน แต่วันที่พักอยู่บ้านผู้ใหญ่เธอก็เจอชายแปลกหน้า ทำท่าด้อมๆ มองๆ เหมือนกันนี่ หรือจะเป็นคนเดียวกัน เหมยรีบขยับตัวไปประชิดหน้าตา เผื่อว่าต้นตอของเสียงเข้ามาในห้องที่เธออยู่ จะได้มีทางหนีทีไล่ หญิงสาวจ้องมองประตูห้องนอนของตัวเองอยู่นาน แต่ก็ไร้ทีท่าว่าจะมีใครเปิดเข้ามา ‘หรือว่าจะคิดไปเอง’ เธอคิดขึ้นมาในใจ แต่เสี้ยววินาทีเดียวกัน ความคิดอีกด้านหนึ่งก็ผุดเรื่องน่าขนหัวลุกขึ้น ‘หรือจะเป็นย่าที่แวะมาทักทาย’ สมัยเด็กตอนที่อยู่กับย่านั้น ยายอินทร์ย่าของเหมยรักหลานมาก ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไรก็มักจะกระเตงหลานไปด้วยเสมอ เหมยอยากได้อยากกินอะไรก็ทำให้ทุกอย่าง ไม่แน่นี่อาจเป็นการทักทายของย่าก็เป็นได้ “ย่าจ๋า ถ้าอยากมาหาเหมยให้มาเข้าฝันเถอะนะจ๊ะ มาแบบนี้...หนูกลัว” ปัง!!! กรี๊ดดดดด เสียงหน้าต่างถูกลมพัดปิดดังสนั่น เมื่อเช้านี้เหมยลืมเกี่ยวขอสับกันหน้าต่างปิด ทำให้ลมที่พัดมาแรงๆ พัดบานหน้าต่างปิดดังสนั่นหวั่นไหว คนที่กำลังจิตตกอยู่แล้วพลันร้องลั่นด้วยความตกใจ “เหมย!! เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงของกวินร้องถามมาจากรั้วตรงข้าม เหมยเปิดบานหน้าต่างที่ปิดออกแล้วชะโงกหน้าออกไปดู ความกลัวค่อยบรรเทาลงเมื่อเห็นว่าอย่างน้อยข้างบ้านก็ยังมีคนอยู่ ต่อให้เสียงปริศนานั่นเป็นโจร หรือเป็นย่าที่มาทักทาย ความน่ากลัวก็เจือจางเบาบางลงไปบ้างแล้ว “ไม่ วินทะ...ทำอะไรอยู่เหรอ?” “อยากรู้ก็มาดูดิ” เมื่อได้รับการเชิญชวนแบบนั้น เหมยจึงรีบออกจากห้องปิดประตูบ้าน แล้วข้ามไปหากวินทันที เขากำลังวุ่นอยู่กับการเก็บพืชน้ำเตรียมแพ็คส่งให้ลูกค้า เหมยเดินเข้าไปส่วนที่เป็นโรงเรือนก็ต้องตะลึง เมื่อเธอได้พบกับวงปูนจำนวนมากตั้งเรียงรายเต็มบริเวณที่เคยเป็นลานกว้างหลังบ้านของกวิน เธอจำได้ดีว่าตรงนี้เป็นลานกว้างมาก มีต้นหญ้าขึ้นเต็มไปหมด เธอชอบเก็บดอกหญ้ามาถักเป็นมงกุฎประจำ “นี่....คืออะไรเหรอ” เหมยหันไปถามกวินที่กำลังตักต้นสาหร่ายหางกระรอกใส่ตะกร้า “สาหร่ายไง เมื่อก่อนเรายังเคยพาเหมยไปเก็บเลย ตรงคลองหลังบ้านไอ้ปื้ดอะ จำไม่ได้เหรอ” กวินพูดไปพลางตักสาหร่ายไป “รู้ว่าคือสาหร่าย แต่เราหมายถึงวินเก็บไปทำไม” “ขาย? ขายได้ด้วยเหรอ?” เหมยจำได้ว่าสาหร่ายพวกมีขึ้นตามลำคลองเป็นจำนวนมาก อย่างที่กวินบอกเธอเคยไปช่วยเขาเก็บมาให้ปลากัด ไม่คิดว่าวันเวลาผ่านไปเพียงสิบปีสาหร่ายที่ดูไร้ค่าพวกนี้จะมีมูลค่ากับเขาด้วย “ได้สิ ที่ปลูกไว้ในวงแถวนี้ ขายได้หมดนั่นแหละ” กวินว่าพลางชี้มือไปยังวงปูนที่วางเรียงรายริมรั้ว เหมยมองตามนิ้วของกวินพร้อมกับนับดูคร่าวๆ น่าจะสักสิบกว่าวงได้ แต่ละวงไม่ได้ปลูกเพียงแค่สาหร่ายเท่านั้น แต่ยังมีพืชน้ำอื่นๆ ที่เธอไม่คุ้นหน้าคุ้นตาด้วย “แล้ว...วงใต้โรงเรือนนั่นก็ปลูกด้วยเหรอ?” “ไม่ใช่ ตรงนั้นเป็นปลากัดที่เราเพาะได้ บางส่วนจะเป็นวงอนุบาล บางส่วนเป็นวงคัดเตรียมขาย” “นี่แสดงว่าวินยังเลี้ยงปลากัดอยู่อีกเหรอ?” กวินพยักหน้ารับ เหมยเดินไปดูวงปูนในโรงเรือน แล้วกวาดตานับดูคร่าวๆ ตรงนี้มีจำนวนมากกว่าริมรั้วเป็นเท่าตัว เธอไม่ได้มีความรู้เรื่องปลากัดเท่าไหร่นัก เพราะตอนที่ยังสนิทกับกวินเธอเองเพิ่งจะอายุไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ แต่ดูด้วยสายตาก็พอเดาออกว่าปลาแต่ละวงต่างสายพันธุ์กัน บางวงสีสันสวยงาม บางวงลวดลายสวยงาม บางวงหางฟูครีบฟูสีสันฉูดฉาด แต่บางวงก็ตัวเล็กจนมองอะไรไม่ออก มองรวมๆ แล้วเหมือนปลาหางนกยูงมากกว่า “เราเลี้ยงขายน่ะ ตอนแรกก็เลี้ยงเล่นๆ นั่นแหละ แต่เมื่อตอน ม.6 เราไปติวโอเน็ตในเมือง ไปเจอร้านขายปลา เลยเข้าไปดูกะว่ะซื้อปลามาเลี้ยง เราเห็นมีคนเอาปลามาส่ง เราเลยลองไปถามเจ้าของร้านดู เค้าก็บอกว่าถ้าเพาะเป็นมีลูกสวยๆ มาขายเค้าก็รับ แต่ว่าราคาลูกคัด* จะไม่แพง ถ้าเราโอเคก็ลองเพาะมาส่งดู เราก็เลยกลับบ้านมา เพาะปลากัดไปส่งร้านนั้น” “แล้วก็ขายได้เหรอ” “ไม่ได้ ปลากัดป่ามันไม่นิยม ร้านมันรองรับแต่ปลาสวยๆ” “อ้าว” คนที่ตั้งใจฟังพลันรู้สึกผิดหวังไปด้วย และยังคงคาใจว่าแล้วทำไมเขาถึงได้เพาะปลามากมายขนาดนี้ หากขายที่นั่นไม่ได้ “แต่ว่าปลาที่เราเพาะมันแข็งแรงดีมาก ร้านเลยให้พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลากัดสวยงามมาคู่หนึ่ง บอกให้เราเอามาเพาะ ถ้าได้ลูกสวยก็ให้เก็บไว้ทำพันธุ์สักคู่ แล้วเอาส่วนที่เหลือไปให้เค้า” “ให้? ให้ฟรีน่ะเหรอ?” “ใช่ ก็พ่อพันธุ์แม่พันธุ์มันของเค้านี่ เค้าแค่ให้เราเอามาลองเพาะดู” “หือ แล้วนานมั้ยกว่าจะได้ลูกปลา” เหมยถามต่อด้วยความสงสัย แต่ลึกๆ ในใจก็รู้สึกชื่นชมกวินที่ไม่ยอมแพ้ไปตั้งแต่ตอนที่เจ้าของร้านไม่รับซื้อ เพราะถ้าเป็นเธอคงยอมถอยไปตั้งนานแล้ว “ก็...ที่เราเคยทำใช้เวลาเบ็ดเสร็จราวๆ อาทิตย์ แต่ว่าก็แล้วแต่ปลาด้วยนะ ว่ามันพร้อมแค่ไหน บางตัวถ้ามันไม่ถูกใจกันเราก็ไม่บังคับให้มันรัดกันหรอก มันเหมือนคลุมถุงชน” “วินนี่เจ๋งดีเนอะได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบมาจนถึงทุกวันนี้ เราแม่งยังไม่รู้เลย ว่าตัวเองชอบทำอะไร” เหมยรู้ดีว่าสำหรับกวินแล้วปลาคือสิ่งที่เป็นที่สุดของชีวิต เห็นเขามีรายได้จากการทำในสิ่งที่รัก ไม่ต้องรู้ว่ารับเท่าไหร่ ก็สรุปได้แล้วว่าเขาคือคนที่ประสบความสำเร็จแล้วคนหนึ่ง “เจ๋งอะไรล่ะ พ่อด่าเช้าด่าเย็นว่าไม่รู้จักโต” กวินพูดไปพลางเดินไปเปิดประตูห้องที่ทำไว้สำหรับแพ็คของ “พ่อด่า แต่ยังทำโรงเรือนขนาดนี้ ไม่ใช่ลุงชัยช่วยทำเหรอ” “เราทำเอง ทำเองหมดนี่แหละ มีแค่ลงเสาที่แม่มาช่วย พ่อไม่เคยช่วยอะไรหรอก มีแต่จะด่า” เหมยไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ต่อ เพราะเธอรู้ว่ากวินไม่ค่อยจะเข้ากับพ่อของเขาสักเท่าไหร่ เธอหันไปให้ความสนใจกับกล่องพัสดุที่เรียงเอาไว้จำนวนมาก ดูท่าทางคงจะรอบรรจุของลงไปก็พร้อมส่งเลย เพราะมีที่อยู่และใบออร์เดอร์ใส่ไว้ในกล่องเรียบร้อยแล้ว “โห วินขายได้ขนาดนี้เลยเหรอ” “ช่วงนี้ปลากัดกำลังเป็นกระแสน่ะ ไม่ได้ขายได้ขนาดนี้ทุกวันหรอก” “หือ...สงสัยเราต้องมารับจ้างเป็นลูกมือวินแล้วแหละ” กวินหัวเราะชอบใจท่าทางตื่นเต้นของคนตรงหน้า เขาไม่ได้ปฏิเสธหากเธอจะมาช่วยแพ็คของ และถ้าเธอต้องการค่าตอบแทนจริงๆ เขาก็ยินดีจะให้ กวินรู้เรื่องที่ร้านอาหารของครอบครัวเหมยเจ๊งจนต้องกลับมาตั้งตัวใหม่ที่บ้าน จากคำเล่าลือของชาวบ้าน ไม่แน่ใจว่าข่าวมันจริงเท็จแค่ไหน เขาไม่ได้อยากซ้ำเติมเธอ หากมีอะไรช่วยทำให้เธอพอจะมีความสุขขึ้นมาบ้าง ก็พร้อมเสนอความช่วยเหลือ ลูกคัด* = ลูกปลาส่วนที่คัดเอาตัวสวยๆ ออกปากฝูงแล้ว ส่วนที่เหลือเรียกว่าลูกคัด หรือปลาคัดทิ้ง จะถูกขายออกในราคาถูกกว่าปลาที่ถูกคัดไปขายในราคาเกรดสวย พร้อมรัด* = พร้อมผสมพันธุ์
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม