ชนะใสๆ
พิมพ์ภิษาถึงกับสะดุ้งเฮือกกับเสียงเคาะประตู ขณะกำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนรักอยู่ ด้วยท่าทางเคร่งเครียด สายตาคู่สวยมองปราดไปยังนาฬิกาข้อมือทันที เพราะไม่เชื่อว่าหนึ่งชั่วโมงที่เขาให้ จะเดินมาไวขนาดนี้ เลยพบว่าเพิ่งจะใช้ไปยังไม่ถึงยี่สิบนาทีด้วยซ้ำ
“ของว่างค่ะ” คนเดินเข้ามาพร้อมถาดของว่างก็คือเลขาหน้าห้องของเขา
“ขอบคุณค่ะ”
สาวใหญ่เพียงแค่ยิ้มให้ พอวางถาดไว้โต๊ะกลางตรงชุดรับแขกได้แล้ว ก็รีบเดินออกจากห้องไปอย่างคนรู้กาลเทศะ
“ฟะ...ฟังอยู่! ว่าต่อเลย”
หญิงสาวตอบเพื่อนที่ถามซ้ำๆ เพราะเห็นเสียงเงียบไป
‘ก็อย่างที่บอกนั่นล่ะ ว่าถ้าเป็นเราคงรีบรับข้อเสนอไปนานแล้ว นายนั่นหล่อแล้วก็รวยจะตาย ดูเราสิ ต้องมานอนแบให้ตาแก่ตัณหากลับเอาเป็นปีๆ มันถึงจะยอมตกลงจะซื้อบ้านให้ แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้นะ มันว่าขอรอไปอีกสองสามเดือนก่อน ระหว่างนี้มันให้เราตัดสินใจเลย ว่าจะขายคอนโดหรือปล่อยเช่าดี แถมมันยังหัวเส จะลากเราไปนอนให้มันเอาที่ปารีสอีก หนอย! ทำเป็นมาอ้างว่าจะพาเที่ยว คิดว่าเรารู้ไม่ทันเหรอว่ามันอยากหนีเมียไกลๆ จะได้ฟันเราให้หนำใจไงล่ะ ไอ้เ*******ูเอ๊ย! อย่าให้ฉันเจอหนุ่มหล่อๆ รวยๆ อย่างไวน์บ้างนะ แม่จะรีบถีบหัวไร้เส้นผมมันส่งเลยล่ะ’
“ว่าไปนั่น! ได้เที่ยวฟรีแล้วยังจะบ่นอีก อยากเที่ยวอยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอปารีสน่ะ”
‘มันก็ใช่อะนะ! จะว่าไป! ถ้าไม่มีมัน ป่านนี้เราก็อาจจะทำงานงกๆ ชักหน้าไม่ถึงหลังเหมือนมนุษย์เงินเคือนคนอื่นๆ อยู่แล้วล่ะ มีมันก็ดีไปอย่าง เพราะงั้นถึงบอกว่าไวน์น่ะมีโอกาสดีกว่าเราเยอะนะ ไหนจะได้รักษาพ่อฟรีอีก น้องๆ กับน้าดาด้วย นี่ยังไม่รวมรถป้ายแดงกับบ้านเดี่ยวอีกนะ อยู่กับเขาแค่หกเดือนหรือปีเดียวได้ขนาดนี้ เราว่าคุ้มแล้วล่ะไวน์ แถมยังได้ช่วยพ่อค้าแม่ค้าในตลาดไม่ต้องไปร่อนเร่หาที่ใหม่อีก ได้บุญนะ! ต่อให้ไวน์ไม่คิดจะบอกใครก็เหอะ บุญก็ไม่ไปไหนหรอก จะส่งผลมาหาไวน์ในวันข้างหน้าแน่นอน’
“ปานว่างั้นเหรอ”
‘ใช่! อย่าคิดมากเลย ไวน์ไม่ได้เสียอะไรนอกจากตัว แถมเสียให้คนหล่อๆ อย่างนั้น รับรองไปถามผู้หญิงคนไหนก็มีแต่คนจะรีบอ้าแขนรับ ลืมๆ เรื่องความรักในอุดมคติบ้าบอนั่นไปเหอะไวน์ มันไม่มีจริงหรอก ผู้ชายดีๆ มีแค่ในนิยายเท่านั้นล่ะ เชื่อเราสิ...’
คำแนะนำของเพื่อนมีให้ยืดยาวกินเวลาไปอีกสิบกว่านาที พิมพ์ภิษาถึงได้วางสาย ทรุดกายลงนั่งกับชุดรับแขก ไม่ได้สนใจกับของว่างในถาดเลยแม้แต่น้อย เพราะกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ถึงทางเลือกที่มีให้น้อยนิดเต็มที ไม่คาดคิดว่าชีวิตของคนหลายคน จะขึ้นอยู่กับตัวเองเลย
ถ้าไม่มีเรื่องเจ็บป่วยของพ่อเข้ามาเกี่ยวข้อง เธอจะไม่มองหน้าคนเดินเข้ามายื่นข้อเสนอให้ด้วยซ้ำ แต่นี่! พ่อมีเวลาน้อยนิด ถ้าไม่รีบรักษา ต่อให้พ่อมีเงินจากการขายร้านให้กำนันสักแค่ไหน ก็ต้องเอาไปไถ่ที่สวนออกมาจากธนาคารก่อนอยู่ดี จะเหลือไว้ใช้ไว้รักษาเท่าไหร่ยังไม่รู้
แต่สิ่งที่เธอรู้คือ พ่อรักศักดิ์ศรี รักชื่อเสียง รักหน้าตา และรักร้านกับตลาดมาก เพราะ ‘กำนันกำจร’ คุณปู่ของเธอเป็นคนเริ่มต้นสร้างขึ้นมา เมื่อแปดสิบปีมาแล้ว กว่าจะทำให้ตลาดเติบโตเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ‘คุณย่านารี’ ของเธอเล่าว่า คุณปู่กับทุกคนต้องเหนื่อย ต้องยุ่งยากหลายต่อหลายอย่าง มีเรื่องราวมากมายในตลาดนั้น เป็นตำนานเล่าขานกันมาที่เธอยังรู้ไม่หมดด้วยซ้ำ
พอคุณปู่จากไป พ่อก็ได้รับความไว้วางใจจากคนในหมู่บ้านร้านตลาดโดยไม่ลังเล ให้เป็นกำนันคนต่อมา พ่อปกครองลูกบ้านเป็นอย่างดี แม้พ่อมักจะมีแต่ความห่างเหินหมางเมินให้นับตั้งแต่เธอจำความได้ก็ตามที
แต่เธอก็มักจะเห็นพ่อเอาความทุกข์ร้อนของลูกบ้านมาเป็นธุระของตัวเสมอมา
เธอจำได้ดีว่าพ่อผิดหวังและเสียหน้ามากแค่ไหน เมื่อสมัยแพ้อำนาจเงินกำนันคนปัจจุบัน เธอรู้ว่าพ่อจะต้องเสียหน้าอีก ถ้าต้องขายร้าน พร้อมกับมอบหน้าที่ต่อต้านนายทุนอย่างคฑาธรให้กำนันคนใหม่ไปทำต่อ แม้พ่อจะไม่เอ่ย แต่รู้ว่าพ่อกำลังเจ็บปวดกับการต้องเป็นฝ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ถ้าครั้งนี้ช่วยพ่อไว้ได้ ความรักที่พ่อมีให้น้อยนิดหรือไม่มีเลย มันจะเพิ่มพูนขึ้นมาบ้างไหม ข้อนี้เธอยังสงสัยไม่หาย และอยากพิสูจน์ให้เห็นไม่น้อย เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก ครั้งนี้พิมพ์ภิษาแทบไม่ต้องมองนาฬิกาด้วยซ้ำ และไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใครกำลังก้าวเข้ามา
“ผมหวังว่าคุณคงมีคำตอบแล้วนะ”
คฑาธรเอ่ยด้วยใบหน้าเจือยิ้มน้อยๆ ในมือมีเอกสารมาด้วย เพราะเดาได้ว่า คำตอบที่คนตรงหน้าจะมีให้นั้นเป็นยังไง
‘ข้อเสนอดีๆ มีตั้งเยอะแยะ ไม่เอาก็ไม่รู้ว่าโง่ยังไงแล้วล่ะ’
เขาค่อนขอดเจ้าของร่างผอมบางในสูทสีน้ำเงิน กำลังเดินมานั่งตรงเก้าอี้ตัวเดิม ส่วนเขาก็ไปที่เดิมเช่นกัน และไม่ได้ว่าอะไรนอกจากจ้องมองใบหน้าสวยใส เพื่อรอให้เอ่ยคำตอบที่เขารู้แล้วออกมา
“ว่าไงครับ”
เขาย้ำถามด้วยความใจเย็น และเห็นความลำบากใจของเธอ ที่จะเปล่งคำตอบนั้นออกมาได้ไม่ยาก จนบางครั้งเขาอดสงสัยว่า ทำไมเสน่ห์ของเขามันช่างไม่มีอำนาจต่อเจ้าหล่อนนัก ถึงได้ตัดสินใจลำบากยากเย็นแสนเข็ญขนาดนี้ แต่เขาฉลาดพอ จะไม่เอ่ยอะไรอีกนอกจากรอ
“เอ่อ...ฉัน...เอ่อ...ฉันตกลงค่ะ”