“ไม่หรอก แค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่จับหล่อนมาแร่เนื้อเอาเกลือทาให้ดิ้นตายอย่างทรมาน นายเห็นสภาพน้องชายของฉันหรือยังล่ะ ว่าน้องของฉันต้องทุกข์ทรมานแค่ไหน” ความแค้นที่เก็บกดไว้เริ่มทะลักออกมาทีละน้อย คนอย่างทัพเทวินทร์ไม่มีทางใจอ่อนกับศัตรูง่ายๆ ‘ใครดีมาก็ดีตอบ ใครชอบมาก็ชอบแสน ใครร้ายมาก็ร้ายแทน ยิ่งกว่าที่ทำกับเรา’ นี่คือบทกลอนที่ชายหนุ่มท่องจำจนขึ้นใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็สุดแล้วแต่เจ้านายจะตัดสินใจเถอะครับ ผมเป็นแค่ลูกน้องถึงออกความคิดเห็นอะไรไปก็คงจะเปลี่ยนใจเจ้านายไม่ได้อยู่แล้ว” คำพูดที่ดูเหมือนจะน้อยใจ แต่สีหน้ากลับดูเรียบเฉย ใบหน้าเคร่งขรึมของลูกน้องหนุ่มไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาอีก
ทัพเทวินทร์เองก็ดูเหมือนจะเงียบไป เขาเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า พระจันทร์คืนนี้ดูไม่ค่อยสดใสนัก เพราะโดนเมฆหมอกเข้ามาบดบังบางส่วน เหมือนจิตใจของคนที่กำลังนั่งมองมันอยู่ตอนนี้ ที่ความแค้นมาบดบังหัวใจเอาไว้ ชายหนุ่มไม่รู้ตัวหรอกว่าตอนนี้เขากลายเป็นทัพเทวินทร์อีกคนที่ไม่เหมือนทัพเทวินทร์คนเดิม ตั้งแต่น้องชายสุดที่รักเกิดอุบัติเหตุ
บนโลกใบนี้ทัพเทวินทร์มีคนที่เขารักมากเพียงสองคนเท่านั้น คือน้องชายและตัวเขาเอง ส่วนบิดามารดาของชายหนุ่มเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของจังหวัดเลยก็ว่าได้ แต่ท่านทั้งสองก็เสียชีวิตไปตั้งหลายปีแล้วด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก หลังจากทัพเทวินทร์เรียนจบปริญญาโทรจากอเมริกาได้เพียงเดือนเดียว หลังจากนั้นชายหนุ่มจึงต้องรับการสืบทอดกิจการทุกอย่างต่อจากครอบครัว เพราะน้องชายของเขากำลังศึกษาอยู่
หนึ่งปีต่อมาทัพเทวาน้องชายของเขาก็เรียนจบและได้กลับเข้ามาช่วยงานดูแลบริหารโรงแรมและคอนโดอยู่ที่เมืองกรุง แต่น้องชายของเขาได้งานช่วยเขาแค่ปีเดียวเท่านั้นก็เกิดเรื่องเศร้าขึ้นมาจนได้ เมื่อทัพเทวินทร์ได้ข่าวว่าน้องชายของเขาไปติดพันผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอายุมากกว่าเขาถึงสี่ปีหลอกให้รักแล้วก็สลัดทิ้งในคืนวันหนึ่ง และคืนนั้นก็ทำให้ทัพเทวาน้องชายของเขาต้องดื่มจนเมา
ในคืนนั้นเอง ทัพเทวินทร์ก็ได้รับโทรศัพท์สายด่วนจากโรงพยาบาล ว่าตอนนี้น้องชายของกำลังนอนอยู่ที่ห้องไอซียู สภาพที่เข้าไปเห็นน้องชายที่เขารักดั่งแก้วตาดวงใจที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ทำให้ทัพเทวินทร์หัวใจแทบสลาย เขาให้ลูกน้องไปสืบถึงสาเหตุของเรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มทราบว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่เบื้องหลังของอุบัติเหตุครั้งนั้น
กิ่งกานต์ คือชื่อของผู้หญิงที่มหาเศรษฐีหนุ่มใช้ให้ลูกน้องออกตามล่า เกือบสามเดือนแล้วที่ออกตามหาผู้หญิงคนนั้นแต่ก็ไร้วี่แวว จนกระทั่งวันที่เขาขึ้นไปทำธุระที่กรุงเทพฯ เมื่อสองสามวันที่แล้ว จึงได้ข่าวว่า กิ่งกานต์มีน้องสาวอีกคนคือณัฐกานต์นั่นเอง และเหมือนสวรรค์เป็นใจที่ทำให้เข้าได้พบกับน้องสาวของศัตรูอย่างง่ายดาย แม้ว่าณัฐกานต์จะไม่ใช่คนที่ทำให้น้องชายของเขาต้องเป็นแบบนี้ แต่เธอก็ต้องชดใช้เพราะเธอคือน้องสาวของศัตรูที่เขาแค้นที่สุด
“ฉันรู้ว่านายกำลังคิดอะไรนาคา แต่ฉันได้ตัดสินใจแล้วและคิดมาอย่างดีแล้วว่าวิธีนี้แหละที่จะชดเชยให้กับสิ่งที่น้องชายของฉันกำลังได้รับ”
เมื่อพูดจบร่างสูงใหญ่ก็ลุกออกไปจากโต๊ะกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง นาคราชมองตามอย่างหนักใจ ครั้งนี้ลูกน้องหนุ่มรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงพิกล แต่เขาก็คงจะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ คงได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ และคงจะไม่เข้าไปวุ่นวายในเรื่องที่เจ้านายได้ตัดสินใจไปแล้วนี่ด้วย ยังไงเขาก็เป็นเพียงแค่ลูกน้องถึงจะสนิทมากแค่ไหนก็ไม่มีสิทธิพิเศษมากมาย พอที่จะบอกให้เจ้านายทำตามที่เขาเห็นชอบได้ถ้าเจ้านายไม่เห็นด้วย
ณัฐกานต์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เกือบสองทุ่มแล้ว ร่างบางค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นจากที่นอนช้าๆ แต่เมื่อผ้าห่มหลุดออกจากร่าง
“ว้าย!” เสียงร้องด้วยความตกใจที่เห็นสภาพเปลือยเปล่าของตนเอง ที่ไม่มีอะไรปกปิดเลยนอกจากบิกินีตัวจิ๋วตัวเดียว และเมื่อนึกได้ว่าเมื่อครู่ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้างร่างบางถึงกับรู้สึกเย็นวาบเข้าไปถึงกระดูก นี่เธอถูกผู้ชายเลวๆ คนนั้นกระทำย่ำยีปู้ยี่ปู้ยำร่างกายของเธอแล้วเหรอเนี่ย
‘ไม่จริง ไม่เชื่อ มันต้องไม่เป็นแบบนี้ ฝัน...เราต้องฝันไปแน่ๆ’ หญิงสาวรวบผ้าห่มเข้ามากอดเอาไว้แน่น ‘ตื่นสิณัฐกานต์ ตื่นๆ’ ร่างเล็กหยิกแขนตนเองจนเนื้อเขียวไปหมด
“เป็นไง รู้สึกตัวแล้วเหรอสาวน้อย” ร่างเล็กที่มีผ้าห่มพันรอบตัวไว้อย่างหมิ่นเหม่ผวาตกใจอีกครั้งอย่างกับโดนผีหลอก เมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้าห้องมาเงียบๆ และกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอช้าๆ รอยยิ้มและสายตาเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่มดูน่ากลัวยิ่งนักสำหรับหญิงสาว ร่างบางกอดกระชับผ้าห่มเอาไว้แน่นอย่างสั่นๆ แต่แววตาจ้องใบหน้าเขาเขม็งอย่างระแวงระไว
“ออกไปนะ ไอ้คนเลว อย่าเข้ามาใกล้ฉัน!” เสียงแหลมสูงตวาดแว้ดออกไปเมื่อคนตัวโตเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น
“ทำไมฉันต้องออกไป นี่มันบ้านของฉัน และเธอก็เป็นนางทาสของฉันแล้ว นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” เสียงเข้มมีอำนาจเอ่ยออกไปพร้อมกับสายตาที่เริ่มซุกซนสำรวจกายสาว เขากำลังปลดเปลื้องผ้าห่มผืนนั้นออกด้วยสายตากรุ้มกริ่มของเขา
“ใครเป็นนางทาสของนาย ฉันไม่ยอมหรอก ปล่อยฉันออกไปนะ นายจับฉันมาทำไม ฉันไปทำอะไรให้นาย หรือว่าเพราะนายโกรธที่ฉันตบหน้านาย นายตบฉันคืนก็ได้นี่แล้วก็ปล่อยฉันไป” เมื่อรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เธอไม่สามารถสู้เขาได้ หญิงสาวจึงเสียงอ่อนลงและยื่นข้อเสนอให้กับชายหนุ่ม ทัพเทวินทร์หัวเราะหึๆ ในลำคอ
“เธอมีสิทธิ์ต่อรองด้วยหรือสาวน้อย ฉันจะบอกให้เอาบุญนะ ต่อให้ฉันได้ตบเธอสักกี่ครั้งฉันก็ไม่มีวันที่จะปล่อยเธอไปง่ายๆ หรอก” เสียงแข็งกร้าวอธิบายต่อหญิงสาวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“แล้วนายต้องการอะไร เงินเหรอ ใช่แล้ว...นายจับตัวฉันมาเรียกค่าไถ่ใช่มั้ย ฉันมีเงินนะ ฉันให้นายหมดเลยก็ได้แล้วนายก็ปล่อยฉันไป นะ” เชลยสาวยังคงต่อรองอย่างไม่ยอมจำนน ทำให้ชายหนุ่มต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง
“เงินเหรอ น่าขำ หน้าตาของฉันมันบอกว่าฉันหิวเงินมากหรือยังไง เธอไม่มีอะไรที่จะเสนอให้ฉันดีไปกว่านี้แล้วเหรอ ฮึ...สาวน้อย” แววตาเจ้าเล่ห์ยังคงวนเวียนอยู่รอบกายสาว ร่างบางถึงกับขนลุกซู่เมื่อหลงมองเข้าไปในสายตาคมคู่นั้น
“แล้วนายต้องการอะไร แล้ว...แล้วฉันต้องทำยังไงนายถึงจะยอมปล่อยตัวฉันไป” ดวงตากลมโตใสที่เจิดจรัสในตอนแรกเริ่มหรี่แสงอ่อนลง มองคนร่างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเธอด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น หญิงสาวรู้สึกกลัวคำตอบที่จะได้รับเหลือเกิน
“ฉันก็...ต้องการตัวเธอยังไงล่ะ เธอก็แค่ทำตามที่ฉันสั่งทำให้ฉันพึงพอใจ ในคืนนี้แล้วก็คืนต่อๆ ไปจนกว่าฉันจะเบื่อเธอ ฉันถึงจะปล่อยตัวเธอไป ตกลงมั้ย”
เมื่อณัฐกานต์ได้ยินคำตอบจากชายหนุ่ม หญิงสาวก็รู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้าตัวสั่นระริกกอดผ้าห่มเอาไว้แน่นเหมือนจะให้มันเป็นเกราะกำบังคุ้มภัยให้กับตัวเอง
“อย่านะ! อย่าเข้ามานะ! ออกไป! ”
พรึบ!
“ไม่นะ!”
ผ้าห่มผืนโตถูกกระชากออกจากร่างบางทันทีด้วยมือหนาของซาตานในร่างของเทพบุตร ร่างใหญ่ยักษ์ใช้กำลังของเขาบังคับร่างบางให้เอนลงกดร่างเล็กให้จมลงกับที่นอนหนานุ่มโดยมีร่างแกร่งกำยำของชายหนุ่มขึ้นทาบทับ‘เขามันซาตานชัดๆ’ ดวงตาที่เริ่มมีน้ำใสๆ คลอเบ้ามองซาตานร้ายที่ข่มเหงเธอด้วยแววตาเจ็บแค้นร้าวรานใจอย่างที่ไม่อาจจะบรรยายได้