“ไหวมั้ยมึง”
“ไหว..”
“แล้วทำไมพี่ยิมเขาถึงบอกเลิกมึงวะ ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”
เสียงของยัยเกวถามฉันด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะจากกันไกลก็ขอได้ปล่อยโฮกับเพื่อนสนิทแบบทิ้งตัวสักที ไม่งั้นฉันก็ไม่รู้จะไปร้องไห้กับใครแล้ว
บรรยากาศเพลงเศร้าเคล้าดนตรีสด เป็นเหมือนตัวกระตุ้นให้บ่อน้ำตาไหลทะลักออกมาเป็นสายราวกับเขื่อนแตก
ฉันนั่งสะอึกสะอื้นอยู่มุมด้านหลังสุดของร้าน โดยที่มียัยเกวคอยนั่งปลอบไม่ห่าง นอกจากจะเศร้าเพราะแฟนทิ้ง ยังต้องเศร้าเพราะเพื่อนจะบินไปหาผู้ที่อเมริกาอีก
มีแต่คนทิ้งฟีน ฮือ
“แกก็จะทิ้งฉันไปหาผู้นี่” ฉันร้องห่มร้องไห้ปนเสียงสะอึกสะอื้นไม่หยุด
“ไหนบอกถ้ามีผู้จะแยกย้ายไงคะ” มันเลิกคิ้วใส่คล้ายว่าทวงสัญญาระหว่างเรา
กฎก็คือเวลาเพื่อนมีผู้ให้แยกย้ายกันไปใช้ชีวิต แต่วันไหนที่อกหักให้โทรหาชีทันที ชีจะมาแบบด่วนจี๋ยิ่งกว่าสั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ซะอีก
ถ้าไม่มีเกว วันนี้ฉันก็คงต้องร้องไห้คนเดียวแน่
“ก็เออ.. แต่โดนทิ้งนี่ไง ช่วยร้องไห้เป็นเพื่อนหน่อยดิ”
“ฮือ”
“มึงปลอมอะเกว”
“ก็กูจะไปหาผู้พรุ่งนี้ จะเอาน้ำตาจากไหนมาร้อง นี่กูเตรียมพร้อมจัดเต็มเฉพาะเลยนะ”
ฉันที่ได้ยินก็ถึงกับกลอกตามองบนใส่ทั้งที่น้ำตายังไหลอาบแก้มเป็นสาย รู้ดีกับคำว่าจัดเต็มของเพื่อนสนิทตัวเองมันหมายความว่ายังไง
กลับมาเดินไม่ได้จะมาร้องโอดครวญ
“หรือจะบินไปเมกากับกูดี ไปทำพาสปอร์ตพรุ่งนี้เลยมั้ย”
ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบ ไม่ได้อยากจะหนีไปไหนไกล แค่อยากให้เฮียยิมเป็นฝ่ายออกตามหาบ้างแค่นั้นเอง
แล้วเพลงร้านเหล้ามันจำเป็นต้องเศร้าขนาดนี้ด้วยเหรอ ทำไมฉันไม่ไปหาคลับอีดีเอ็มโยกให้ลืมโลกแทนที่จะมานั่งดื่มเหล้าเคล้าน้ำตา
แต่งโป๊ให้สุดขั้ว โยกให้สะโพกปวดไปข้าง ไม่ใช่มานั่งร้องไห้หน้าเปรอะเครื่องสำอางแบบนี้
รองพื้นแพงซะด้วยสิ
ระหว่างที่นั่งรอยัยเกวไปเข้าห้องน้ำ ฉันที่ทิ้งหัวลงไปนอนกับแขนตัวเองก็ยกมือถือขึ้นกดโทรออกหาใครบางคนอย่างลืมตัว
น้ำตาเอ่อล้นออกมาจนต้องใช้มือปาดมันลวกๆ พลางสูดน้ำมูกด้วยความขี้แง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปลายทางกดรับสายหรือยัง
“ฮึก”
(.....)
“เฮียยิม.. ฟีนต้องการเฮีย”
(.....)
“อย่าทิ้งฟีนไปเลยนะคะ.. ฟีนทำอะไรผิด ฮึก.. ฮือ”
ฉันยกมือขึ้นเสยผมอย่างหัวเสีย ถือสายคาหูอยู่อย่างนั้น ก่อนจะกดวางถ้าเสียงทุ้มปลายสายไม่ดังขึ้นมาซะก่อน
(อยู่ไหน) เขาตอบกลับมาเป็นคำถามเสียงเรียบเฉย ติดรำคาญซะมากกว่า
“ไหนบอกว่าจะอยู่ด้วยกัน คนโกหก.. ฟีนรักเฮียยิม ฟีนรัก.. ฮือ กอดฟีนหน่อย กอด..” ฉันพรรณาโวหารแทบจะอยากเรียงหน้ากระดาษเอสี่ส่งไปหาเขา
เฮียยิมมันหมดใจง่ายกว่าน้ำมันรถอีก..
(ถามว่าอยู่ไหนไงวะ!)
“โทรหาพี่ยิมเหรอวะ”
“เกว..”
ฉันเงยหน้ามองเพื่อนสนิทที่เดินเข้ามาหา ก่อนจะทิ้งมือถือในมือวางไว้บนโต๊ะแล้วเบะริมฝีปากมองเกวมันที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ไปด้วย
“ไม่เป็นไรนะมึง.. ไม่เป็นไร”
“ฟีนคิดถึงเฮียยิม..”
“ปล่อยเขาไป.. ถ้าเขาไม่รักมึง กูรักมึงเองเพื่อน”
“ฮึก”
อ้อมกอดอุ่นจากเพื่อนสนิทในเวลานี้มันอุ่นมาก อุ่นจนรู้สึกว่าน้ำเสียงของเฮียยิมที่ดังเข้ามาในโสตประสาทเย็นราวกับน้ำแข็งไปเลย
“เดี๋ยวกูขอไปรับโทรศัพท์ก่อน มึงไปรอในรถ เดี๋ยวกูขับกลับไปส่งเอง”
“.....”
“ที่เหลือกูจัดการเอง..”
ไม่รู้ว่าภาพมันตัดไปตอนไหน เพราะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เข้ามานั่งคดอยู่บนเบาะรถแล้ว แก๊สในกระเพาะมันตีจนต้องสะลืมสะลือขึ้นมองบรรยากาศรอบตัว
ฉันนอนรออยู่ในรถนานหลายนาที ก่อนที่คนเข้ามานั่งเบาะคนขับจะเป็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งไม่ใช่ยัยเกวเพื่อนสนิทที่นั่งดื่มด้วยกันก่อนหน้านี้
“เฮียยิมหรอ..” สิ้นเสียงฉันที่พำพึมออกมา เปลือกตาบางก็ปิดลงอย่างไม่อาจฝืนได้
เมาจนตาฝาดมองเห็นเพื่อนตัวเองเป็นแฟนเก่าเนี่ยนะ ไม่น่าเชื่อว่าสติของผู้หญิงหนึ่งคนที่ถูกแฟนทิ้งจะเลอะเลือนได้มากขนาดนี้
เคยคิดเอาไว้ว่าวันหนึ่งเราเลิกกันฉันจะเป็นหญิงแกร่งแบบนาตาชาให้ได้ คิดถึงเขาขนาดไหนก็ห้ามโทรไปหา แต่ว่าฉันพลาดโทรไปคร่ำครวญแล้วนี่สิ
อยากร้องห้าย ฮือ
ฉันยกมือขึ้นลูบคมหน้า รู้สึกได้ถึงอากาศที่ร้อนอบอ้าววนเวียนอยู่รอบกาย จนต้องใช้เท้าถีบผ้าห่มออกจากตัวแล้วพลิกตัวนอนคุดคู้เป็นลูกแมวหนาวสั่นแทน
ทว่าเหมือนจะหนาวได้เพียงไม่กี่วินาที ความอุ่นวาบก็แผ่ซ่านเข้ามาอีกรอบด้วยความนุ่มของผ้าห่ม ฉันปรือตาขึ้นมองก่อนจะหลับลงอีกครั้งเมื่ออาการหนักหัวถาโถมเข้ามา
“แล้วจะบอกพ่อเธอยังไงวะว่าเอามานอนนี่”
“.....”
“เวรชิบ”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มลอยแว่วเข้ามาในโสตประสาท คลับคล้ายคลับคลาว่านั่นจะเป็นเสียงบ่นอุบของเฮียยิม
ฉันปรือตาขึ้นมองอีกครั้ง ก่อนจะใช้มือตะปบบนพื้นที่ว่างบนเตียงนอน แล้วก็พบว่ามีขาของใครสักคนอยู่ตรงหน้าฉันพอดี
“เฮียยิม” ฉันเอ่ยชื่อเจ้าของขาที่จับอยู่
เขาขมวดคิ้ว “อะไร”
ตอนแรกนึกว่าความฝัน แต่พอฉันจับมือหนามาแนบไว้ข้างแก้ม กลิ่นหอมจากเขาก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่าภาพตรงหน้ามันคือของจริง
ฉันแนบริมฝีปากลงบนหลังมือเขาเหมือนที่ชอบทำ เฮียยิมไม่ได้ปฏิเสธหรือชักมือกลับ แต่เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไรมากไปกว่านั่งเงียบใส่
“มาหาฟีนหรอ”
“นอนไป ไม่อยากคุยกับคนเมา”
เมาก็เพราะเฮียนั่นแหละ..
อยากจะตอกหน้าเขากลับไปแบบนั้น แต่ฉันก็ขี้เกียจจะง้างปากแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง หันรีหันขวามองหายัยเกวเพราะจำได้เลือนลางว่านัดมาเจอกัน แต่ตอนนี้เหลือแค่ฉันกับเฮียยิมซะแล้ว
“จะไปไหน นอนนี่แหละ”
“เกว..”
“กลับถึงคอนโดแล้ว”
พอได้ยินแบบนั้นฉันก็นั่งไหล่ห่อคอตก ก่อนจะหันไปมองคนตัวสูงกว่าแล้วทำปากงุ้ยออดอ้อน
“มาหาหรอ..” ฉันถามเขาเสียงอ้อยอิ่ง
“มาหาอะไร ไปรับมานอนห้อง” เขาตอบกลับคล้ายว่าไม่สบอารมณ์ นั่งเอนหลังพิงอยู่กับเตียงนอนมองฉันด้วยใบหน้าเมินเฉย
“อ่า.. ห้องเฮีย”
“พ่อเธอรู้ เธอโดนหนักแน่ยัยเด็กแสบ”
ฉันขมวดคิ้วนิ่วหน้าใส่เฮียยิมที่เอ่ยถึงพ่อตอนเราอยู่ด้วยกัน เขาไม่ได้ดูใส่ใจฉันขนาดนั้นถ้าให้เดาจากสีหน้า แต่ว่าการกระทำของเขาต่างหากที่บ่งบอกความรู้สึกของเจ้าตัว
ไม่ห่วง ไม่หวง จะพากลับมานอนห้องทำไม
“ถ้าตื่นแล้วจะได้พากลับบ้าน”
“ไม่กลับ..”
“ดื้อจังวะ”
ฉันเชิ่ดใบหน้าแง่งอนใส่อีกฝ่าย ก่อนจะรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่รื้นคลอคาเบ้าจนมันร้อนผ่าวไปทั้งกระบอกตาเลย
“ฟีนรักเฮียยิมนะคะ”
“.....”
“บอกว่ารักไงคะ..”
ฉันบอกรักเขา รักที่แปลว่ารักจริงๆ
ดีเอ็มในอินสตราแกรมฉันแทบแตก มีคนอีกหลายคนรอจะแทรกที่ของเฮียยิม แต่ทำไมฉันถึงเลือกผู้ชายคนนี้ คนที่ครั้งแรกเจอกันแทบจะไม่มีแม้แต่หางตามองมาด้วยซ้ำ
“เฮียจะเงียบหรอ..”
“.....”
“เฮียยิมขา”
ฉันลากเสียงออดอ้อนทว่าเขากลับนิ่งงันไม่ตอบสนอง ขนาดที่ว่าฉันคลานขึ้นมานั่งบนตักเขา เจ้าตัวก็ยังตีหน้าเมินเฉยราวกับเป็นรูปปั้นยังไงยังงั้น แถมยังไม่ยอมสบตากันอีกต่างหาก
“ทำไมเฮียไม่บอกรักฟีนล่ะคะ ปกติก็พูดนี่..” ฉันพูดแล้วยกมือขึ้นโอบล้อมรอคอเขา ก่อนจะเอนหัวพิงซบบนไหล่แกร่ง
“ก็เพราะไม่ได้รักแล้วไง จะให้พูดอะไร” เขาหลุบตามอง
“เจ็บนะ”
“ก็พูดให้เจ็บ”
“ใจร้ายชิบหาย”
มือหนาเชยปลายคางฉันให้เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะทำหน้ายักษ์ดุใส่ แต่ฉันก็ยังเชิ่ดหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
“ชิบหายกับใครวะ”
“.....”
“ถ้าไม่มีฉันแล้วจะทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาอีกหรือไง”
ฉันเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง มองค้อนใส่คุณแฟนเก่าแล้วเอาหัวเขกกับหน้าผากของเฮียยิม จนเจ้าตัวร้องเจ็บออกมา
ไม่ชกหน้าให้ตอนที่เขาบอกเลิกก็ดีเท่าไหร่แล้ว ยังมีหน้ามาต่อว่าฉันทั้งที่ตัวเองเป็นคนบอกเองว่าจะไม่พูดคำว่าเลิกเด็ดขาด
ลมปากของคนหลอกลวง
“ฟีน”
“คนขี้ขลาด.. ยอมแพ้เรื่องของเราง่ายเกินไปหรือเปล่าคะ”
“พี่บอกเหตุผลเราไปหมดแล้ว”
“เอาจนเบื่อแล้วอ่ะหรอ เหตุผลที่ไหนกัน.. ข้ออ้างของคนลูซเซอร์”
ฉันชกกำปั้นหนักลงบนอกของเฮียยิม ก่อนจะกระชากคอเสื้อเจ้าตัวจนใบหน้าเราขยับใกล้กัน
คนตรงหน้ากลืนน้ำลายลงคอ ก่อนเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ราวกับไม่อยากจะสนใจว่าตอนนี้ฉันกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อซะด้วยซ้ำ
“เฮียยิมใจร้าย..”
“.....”
“จำวันที่ตัวเองใจร้ายไว้ด้วยนะคะ แล้วถ้าฟีนใจร้ายคืนบ้าง.. จะมาว่าฟีนไม่ได้”
เขาหันกลับมามองที่ฉันอีกครั้ง คราวนี้แววตาแทบจะไร้ซึ่งอารมณ์ร่วมไปโดยปริยาย ไม่มีคำพูดแม้แต่ประโยคเดียวหลุดออกมาจากริมฝีปากของเขาด้วย
“อือ”
“เฮียยิม”
“ใจร้ายให้สุดเลย.. อย่าใจดีกับคนแบบเฮีย จำคำพูดตัวเองไว้ด้วย”