“เอาไว้โตกว่านี้ค่อยมาเจอกัน”
ต้องโตแค่ไหนถึงจะไม่ดูเด็กในสายตาเขา ฉันอายุยี่สิบปีแล้วนะ ถึงจะห่างจากเฮียยิมสี่ปี แต่ที่ผ่านมาเราสองคนก็คุยกันลงตัวแล้วก็รู้เรื่องมาโดยตลอด
เขาก็แค่หาข้ออ้างมาบอกเลิกเท่านั้นแหละ
ข้ออ้างอะไรก็ได้ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเรามันจบลง..
สามวันแล้วที่ฉันไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ว่าเกเรขาดเรียน แต่เพราะอาการป่วยมันรุมเร้าจนแทบจะลุกออกจากเตียงไม่ไหวเลยต้องกลายเป็นผู้ป่วยจำเป็นนอนซมเป็นศพอยู่แบบนี้
เรื่องของเฮียยิมผ่านมาได้เกือบสัปดาห์ แน่นอนว่าฉันโหยหาและประท้วงด้วยการอดข้าว แล้วก็ไม่ยอมทานยาอีกด้วย
หิวจนไส้กิ่วไปหมดแล้วเนี่ย
คนเดียวที่จะบังคับให้ฉันกินยารสขมได้ก็เห็นจะมีแค่เฮียยิม ทว่าตอนนี้ฟีนป่วยแต่ไม่มีเฮียแล้ว อยากจะออกไปหาแต่ว่าร่างกายก็แทบจะไม่เป็นใจให้เลยสักนิด
ฮือ
ฟีนต้องการเฮียยิม..
แค่อยากจะนอนหลับแล้วตื่นมาพบว่าการเลิกราเป็นเพียงฝันไปก็แค่นั้นเอง
“คุณฟีนขา ป้าเอาข้าวเช้ามาให้ค่ะ”
“ฟีนไม่กินค่ะป้าดา”
สิ้นเสียงของคนด้านนอก ฉันก็พลิกตัวนอนหันหลังใต้ผ้าห่มผืนหนา ไม่ได้ขยับลุกจากเตียงไปไหนตั้งแต่เช้า ยันเก้าโมงกว่าก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองอยากจะออกไปเผชิญโลกข้างนอกเลยสักนิด
“แต่คุณท่านสั่งว่าถ้าคุณฟีนไม่ยอมทานข้าว ท่านจะลงมาหานะคะ”
“.....”
“คุณฟีน”
“ขอโทษนะคะป้าดา แต่ฟีนกำลังประท้วงป๊าอยู่..” ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าน้อยใจ
ป๊าก็เอาแต่บอกว่ารักลูกคนนี้ ภูมิใจที่มีฟีนเป็นลูกสาว แต่ไม่เห็นเคยจะทำให้เห็นเลยว่ารักเด็กมีปัญหาแบบฟีน
ถ้าบอกว่ารักแต่แม่หม้ายลูกติดหุ่นเซียะคนนั้นมากกว่าจะไม่เถียงเลย
ฉันงอตัวเอามือกุมท้องที่ร้องไม่หยุด ตอนนี้ในหัวมีหลายร้อยเมนูที่อยากจะกิน แต่ก็ยังยืนหยัดในจุดยืนของตัวเองที่จะประท้วงอดข้าวต่อไป
ต่อให้ส่งข้อความไปหาเฮียยิมว่าจะประท้วงด้วยการอดข้าว ไม่ไปเรียน แล้วก็จะไม่ยอมไปเจออีกก็ไม่มีการตอบกลับจากเขาอยู่ดี
เฮียยิมแทบจะไม่เปิดอ่านข้อความของฉันด้วยซ้ำ
แชทเทขวาหนักมาก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเสียงของพ่อฉันเอง ป๊าไม่ค่อยวางเพราะมัวแต่ทำงานแล้วก็ออกเดินทางไปสัมมนาต่างประเทศบ่อยครั้ง
หญิงสาวตัวจ้อยอย่างฉันก็เลยร่อนเร่เป็นเหมือนผีไร้ศาลไปโดยปริยาย ทำไมต้องเลิกกับแฟนช่วงปิดเทอมของมหาวิทยาลัยด้วย
ถึงจะปิดแค่อาทิตย์เดียวก็ตามเถอะ แต่พอไม่มีเพื่อนคุยแล้วเหงาอย่างบอกไม่ถูก
“ฟีนนี่ป๊าเองลูก”
“.....”
“ขอป๊าเข้าไปหน่อยได้มั้ย แล้วถ้าอยากได้อะไรป๊าจะหามาให้เราหมดเลย”
ฉันดีดตัวขึ้นจากที่นอนอัตโนมัติ รีบก้าวลงจากเตียงเดินไปเปิดประตูให้คนข้างนอกทันที
ป๊าที่เห็นหน้าฉันครั้งแรกของวันก็ถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่สภาพของฉันตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากหนูท่อหรอก ผมเผ้าแทบจะไม่ได้เซท ใส่ชุดนอนเน่ามาหนึ่งวันเต็ม
“ทำไมไม่ยอมกินข้าวเลยล่ะเรา” ป๊าเดินเข้ามาโอบไหล่ฉันให้เดินลงไปนั่งที่โซฟาตัวโปรดมุมห้อง
“ป๊า” ฉันเบะริมฝีปากแล้วโผเข้ากอดชายตรงหน้าเอาไว้แน่น
“ประท้วงป๊าด้วยการไม่กินข้าวหรอ”
“กินข้าวไม่ลงด้วย”
“ทำไมล่ะ”
“ป๊าก็น่าจะรู้ว่าทำไม”
คู่สนทนาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คงจะรู้ความจริงเกี่ยวกับฉันหมดแล้วว่าเป็นอะไรถึงได้ทำแบบนี้
ไม่เคยมีเรื่องไหนที่ป๊าไม่รู้ แล้วก็ไม่มีเรื่องไหนที่ฉันรู้ไม่ทันป๊าเช่นกัน
“ป๊ารู้เรื่องจากดาเขาหมดแล้ว เลิกกับแฟนแค่นี้ถึงกับต้องทำขนาดนี้เลยเหรอเรา”
“มันไม่ใช่แค่นี้ซะหน่อย..”
ฉันสูดน้ำมูกเล็กน้อย ก่อนจะผละออกแล้วกอดอกมองป๊า
“ฟีนรักเขา.. ป๊าไม่เข้าใจหรอกค่ะ”
“ป๊าเข้าใจเราสิ”
มือหนาอันอบอุ่นวางไว้บนหัวฉันแล้วระบายยิ้มบางเบาให้คลายกังวลใจ ป๊าไม่เคยคาดหวังเรื่องเรียนกับฉันก็จริง แต่ก็แนะนำให้เรียนบริหารภาคอินเตอร์ แต่ฉันก็หัวรั้นขอเรียนนิเทศศิลป์จนได้
ใจมันรักห้ามไม่ได้หรอก
“เลิกกับคนแบบนั้นไม่ดีตรงไหน ลูกสาวป๊าสวยขนาดนี้หาใหม่ได้สบายอยู่แล้ว”
“แต่เฮียยิมมีคนเดียวนี่คะ
“ฟีนลูก”
“เขามีคนเดียวบนโลก..”
ใช่ ผู้ชายที่เคยทำให้คนอย่างฟีนยิ้มได้ มีเพียงแค่เฮียยิมเท่านั้น
แค่เขาเพียงคนเดียว..
วายเอ็ม แทททู
อีกวันที่ฉันฟื้นร่างกายตัวเองด้วยการตามใจปากจนท้องอิ่มหนังตาก็หย่อน ใช้เวลาพักผ่อนกับตัวเองเต็มที่หนึ่งวันเต็ม ตอนนี้ฉันขับเบนซ์ส่วนตัวมาจอดสนิทที่หน้าร้านสักของเฮียยิม
เพราะเราสองคนคงมีอะไรที่ต้องเคลียร์กันอีกเยอะเลย
ช่วงวันธรรมดาคนที่ร้านไม่ค่อยมาก อาจเป็นเพราะมาช่วงบ่ายด้วยล่ะมั้ง แต่พอช่วงพลบค่ำหรือช่วงเย็นจะมีคนมาเดินตลาดนัดกลางคืนแล้วร้านของเฮียยิมมันก็จะคึกครื้นมากเป็นพิเศษ
สาวเล็กสาวใหญ่แวะเวียนมาหยอดขนมหวานไม่พัก
เพราะเฮียยิมมีตัวเลือกเยอะใช่ไหม ฟีนถึงถูกตัดช้อยส์เร็วขนาดนี้
ปกติแล้วเขามักจะหมกตัวอยู่ที่นี่ตลอด เป็นพวกเก็บตัวจากโลกภายนอก แต่พอถามอะไรก็ดันรู้หมดไปซะทุกอย่าง นึกว่าเป็นกูเกิลเคลื่อนที่ซะอีก
ถ้าหากว่าเขาไม่อยู่ห้องก็ต้องเป็นร้านสักนี่แหละ แหล่งหมกตัวชั้นดีของคนพูดน้อยต่อยหนักแบบเฮียยิมเลย
หน้าร้านถูกตกแต่งด้วยป้ายไฟเป็นตัวอักษรสีนีออนเด่นสะดุดตา พอผลักประตูเข้ามาด้านในก็จะเจอกับห้องแยกอีกสองห้องตรงหน้า แล้วก็มีที่นั่งพัก มีมุมถ่ายรูปแล้วก็ขนมกับน้ำปั่นทางขวามือเหมือนกับเป็นคาเฟ่ขนาดย่อม
เศร้าอยู่นะ เพราะมุมถ่ายรูปตรงนั้นฉันเป็นคนออกแบบให้เขาเอง
“อะ..อ้าวน้องฟีน”
“พี่เข้ม”
ฉันเงยหน้าแล้วแยกยิ้มให้พี่เข้มที่เดินสวนออกมาจากห้องสัก เขาทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะเดินตรงเข้ามาทัก
“มาหาไอ้ยิมมันหรอ” เขาเลิกคิ้วถาม
“สวัสดีค่ะพี่เข้ม ใช่ค่ะ ฟีนมาหาเฮียยิม” ฉันพยักหน้ารับ
พูดจบเจ้าตัวก็กลอกตาไปมา หันซ้ายหันขวาเหมือนกับระแวดระวังอะไรอยู่
“มันอยู่ข้างใน” เขาป้องมือแล้วกระซิบกระซาบเสียงค่อย
ฉันมุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับอีกครั้ง พลางค้อมศีรษะขอบคุณให้เขา
“อย่าบอกมันละกันว่าพี่บอก”
“ทำไมล่ะคะ”
“มันสั่งมาว่าไม่ให้บอกเราเด็ดขาดถ้าเรามาหามันที่นี่”
พอพี่เข้มพูดจบฉันก็ถึงบางอ้อเลยทีเดียวกับท่าทีเลิ่กลั่กของอีกฝ่ายเมื่อครู่ ที่แท้ก็มีคนใจร้ายสั่งปิดปากห้ามพูดเวลาฉันมาหาสินะ
ใจร้าย
โคตรจะใจร้ายเลย
ถ้าเขารู้จักผู้หญิงอย่างฟีนตั้งแต่ต้น เขาก็ควรจะรู้ด้วยว่าฉันเป็นคนยังไง
ฉันเดินตรงปรี่เข้ามาที่ห้องสักของเฮียยิม ผลักประตูเปิดเข้าไปเพราะรู้ดีว่าเขาไม่ได้ล็อคประตูแน่ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเจ้าตัวกำลังนั่งทิ้งร่างอยู่บนเก้าอี้ทำงาน พ่นควันสีเทาลอยขึ้นสู่อากาศด้วยสีหน้ากร้านโลก
“เฮียยิม”
“ฟีน”
อีกฝ่ายตกใจไม่น้อยที่เห็นฉัน เขาเบิกตาโตก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
“มาทำไม กลับไปเลย” เขาเอ่ยปากไล่ทั้งที่ยังไม่ได้คุยกันสักประโยคเดียว
ไม่เจอแปปเดียวใจร้ายขึ้นเป็นกองเลยแฮะ
“เจอหน้ากันแปปเดียวก็ไล่ซะแล้ว” ฉันยิ้มยั่ว
“เราเลิกกันแล้วไม่ใช่หรอวะ”
“ก็ฟีนไม่ได้เลิกรักเฮีย”
ใช่ เลิกกันแล้วต้องเลิกรักด้วยเหรอ
ดวงตาคู่คมไล่มองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ฉันอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นเหนือเข่าตัวโปรด ใส่เสื้อแบบสปอร์ตบาร์คู่กันกับรองเท้าผ้าใบ ในมือถือกระเป๋าเงินกับกุญแจรถควงไปมายั่วอีกฝ่ายที่ใช้สายตาสำรวจไม่หยุด
“บอกอย่าใส่สั้น”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ”
“ก็..”
เขาชะงักงันไปครู่หนึ่ง เพราะว่าอาการหึงออกหน้าออกตาอย่างปิดเอาไว้ไม่อยู่
เฮียยิมให้ฉันใส่ขาสั้นได้ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นพวกเผาเสื้อผ้าแบบนั้น แต่จะต้องมีเขาอยู่ด้วยเพราะว่าฉันเคยโดนแอบถ่ายใต้กางเกง จนเฮียยิมต้องลากหัวไอ้โรคจิตนั่นขึ้นโรงพักมาแล้ว
“อีกอย่างถ้าเลิกกัน.. ฟีนจะแต่งตัวแบบไหนมันเกี่ยวอะไรกับเฮียล่ะ”
“อยากโดนจับโยนออกไปข้างนอกมั้ย”
“อยากโดนจับอย่างอื่นมากกว่า”
"โดนจับเย็ด"
"ที่นี่เลยมั้ยล่ะ"
“ไอ้เด็กฟีน”
ฉันกระตุกยิ้มมุมปาก มองเขาที่ถอนหายใจแรง พลางดับไฟของบุหรี่จนมอด
ไฟก็ต้องเจอกับไฟสิ จะให้เอาน้ำไปดับไฟที่โหมกระหน่ำแบบเฮียยิมจะไปสู้ได้ยังไงกัน
“ฟีนแค่มีเรื่องอยากจะมาบอก”
เขาเปรยตามองแต่ไม่ได้พูดอะไร ฉันที่ทำท่าจะก้าวเข้าไปหาถูกอีกฝ่ายดุผ่านสายตาเลยต้องหยุดเดิน
“ฟีนคิดว่ากำลังถูกพวกโรคจิตแอบตาม.. อาจจะได้สักระยะนึงแล้ว”
“เพ้อเจ้ออะไร”
“เฮียไม่เชื่อหนูหรอ”
“แล้วมีอะไรให้น่าเชื่อถือบ้าง ไหนบอกว่าจะไม่มาเจอกันแล้วไง”
“คนมันคิดถึงนี่..”
คนตัวสูงกระแอมไอ “กลับไปได้แล้ว วันหลังก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก”
อยากกอดไม่ไหวแล้ว แต่เหมือนว่าเขากำลังสร้างกำแพงขึ้นมาสูงพอสมควรเลย
ทำไมกันนะ..
“ฟีนอยากสัก” ฉันเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อเขาเงียบ
“ร้านปิด” เฮียยิมตอบกลับสั้นๆ
“เลิกกันแล้วจะเลิกทำอาชีพสักด้วยหรือไง”
“ก็บอกว่าร้านปิด”
“งั้นจะมาใหม่พรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้ไม่อยู่”
อีกคนปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย สีหน้าตายด้านราวกับไร้อารมณ์ร่วมที่จะสนทนาด้วย
ฉันเสียใจไม่ใช่ไม่รู้สึก ก็แค่แสดงออกให้เขาเห็นว่าฉันไม่เป็นอะไร และพร้อมที่จะไฟ้ว์กับความหัวรั้นของเฮียยิมด้วย
พอบทสนทนามันไปต่อไม่ได้ ฉันก็ไม่รู้จะยื้อไว้ยังไง เลยได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วก้มมองนิ้วมือของเขาที่ยังสวมแหวนที่ฉันซื้อให้ฉัน
แค่นั้นก็ใจชื้นแล้ว
“หลบให้ได้ตลอดนะคะเฮียยิม เพราะถ้าฟีนเจอตัวรอบหน้าเมื่อไหร่”
“.....”
“ฟีนไม่ปล่อยให้เฮียไปแน่”