แนะนำเรื่อง
รามิลเป็นบุตรชายของนักธุรกิจ ครอบครัวอยากให้กลับมาสานต่อธุรกิจ แต่เขามีเหตุผลที่ไม่สามารถบอกคนอื่นได้ เลยไม่อยากกลับมา แต่พอวันหนึ่งเขาต้องกลับมาประเทศ ก็เจอเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังแย่งแท็กซี่คันเดียวกัน ทั้งสองมาร่วมงานแต่งเดียวกัน ด้วยความที่ทั้งสองมีอุดมการณ์เดียวกันไม่อยากกลับมาอยู่ประเทศ ก็เลยจับพลัดจับผลู โกหกผู้ใหญ่ไปว่าพวกเขาเป็นคนรักและจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศด้วยกัน จนถูกผู้ใหญ่จับแต่งงานและเรื่องราวก็เกิดขึ้นอีกมากมาย
________________________________________________________________________________________________________________________________________________
"นี่คุณ! แท็กซี่คันนี้ฉันเรียกก่อนนะ" พอหญิงสาวเปิดประตูด้านหลัง ก็มีผู้ชายอีกคนเปิดประตูด้านหน้าของแท็กซี่คันเดียวกันนั้น
"ใครเรียกก่อนกันแน่ครับคุณผู้หญิง"
"ฉันขอก่อนแล้วกันตอนนี้ฉันรีบมาก" ว่าแล้วฝ่ายหญิงก็ขึ้นไปนั่ง
"คุณรีบเป็นคนเดียวหรือไงครับ ผมก็รีบเหมือนกัน" อีกฝ่ายก็ไม่ยอมแพ้ ขึ้นไปนั่งด้านหน้าข้างคนขับแท็กซี่
"ตกลงพวกคุณจะไปไหนกันครับ ผมไปส่งสองที่พร้อมกันไม่ได้นะ"
"พี่ไปส่งฉันก่อนแล้วกันค่ะ ค่อยไปส่งเขา"
"ไปส่งผมก่อนครับแล้วค่อยไปส่งเธอ"
"ฉันจะไปร่วมงานแต่ง ถ้าช้ากว่านี้มีหวังไม่ทันแน่"
"ผมก็จะไปร่วมงานแต่งเหมือนกัน ไปส่งผมก่อนครับ"
"ตกลงจะให้ผมไปส่งใครก่อน" ช่วงที่เครื่องลงแบบนี้แท็กซี่ไม่ค่อยพอกับผู้โดยสาร ตอนนี้แท็กซี่คันอื่นก็มีผู้โดยสารกันหมดแล้ว
"ฉันจะไปโรงแรมโอเวอร์ไซส์ค่ะ"
"ผมก็จะไป..??" ชายหนุ่มหันมองกลับไปดูผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านหลังทันที เพราะโรงแรมที่เธอจะไปเป็นโรงแรมเดียวกัน หวังว่าคงไม่ใช่งานแต่งเดียวกันด้วยนะ
รถแท็กซี่ก็ขับไปตามสถานที่ที่ทั้งสองบอก
"จอดตรงนี้แหละครับ" พอใกล้จะถึงหน้าโรงแรม ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างคนขับก็บอกให้จอด
"เดี๋ยวนะคุณ ทำไมไม่ไปลงที่เดียวกัน"
"ผมสะดวกลงตรงนี้"
"คุณจะชิ่งใช่ไหม"
"หือ?" ทีแรกเขาว่าจะจ่ายค่ามิเตอร์คนเดียว แต่พอได้ยินฝ่ายหญิงพูด.. "ผมคิดว่าคุณจะเป็นคนจ่ายเสียอีก"
"เรื่องอะไรฉันต้องจ่ายให้คุณด้วย หารครึ่งกันสิ"
ชายหนุ่มมองราคาค่ารถแท็กซี่ แล้วเขาก็ล้วงเอาเงินออกมาสองร้อยบาท ส่งให้กับลุงคนขับ
"นี่คุณมันครึ่งตรงไหน สี่ร้อยกว่าบาทแล้วเศษล่ะ"
"คุณนั่งเยอะกว่าผม คุณก็ต้องจ่ายเยอะกว่าสิ"
"ฉันนั่งเยอะตรงไหน อีกนิดเดียวก็ถึงหน้าโรงแรมแล้ว"
"เบาะหลังสองที่เป็นของคุณคนเดียว คิดเอาเองเถอะ" ว่าแล้วชายหนุ่มก็เปิดประตูลงจากรถ
"!!!!" อยากจะว่าให้แต่ก็ไม่ทันแล้ว พอผู้โดยสารคนแรกลงจากรถ คนขับแท็กซี่ก็เลื่อนรถมาจอดที่หน้าโรงแรม ซึ่งห่างจากกัน 2-3 ร้อยเมตรได้
"งานแต่งจะไม่เลิกแล้วเหรอเนี่ย" ทีแรกเธอไม่รู้หรอกว่าจะมีงานแต่ง แต่พอรู้ว่าพ่อกับแม่มาร่วมงานแต่งลูกสาวและลูกชายเพื่อนสนิท ลงเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิเธอก็เลยต่อเครื่องมาที่นี่
"หวานใจทางนี้ลูก"
"แม่" สาวมั่นแบบหวานใจรีบเดินไปหาผู้หญิงที่เธอเรียกว่าแม่
"กลับมาคราวนี้แม่ไม่ให้ไปแล้วนะ"
"ได้ไงแม่"
"อย่าบอกนะว่าจะไปอีก"
"อย่าเพิ่งพูดเรื่องนั้นเลย พาลูกเข้าไปในงานก่อน" คนเป็นพ่อพาภรรยาและลูกสาวเข้ามาในงาน
พอเข้ามาถึงเจ้าสาวกับเจ้าบ่าวอยู่บนเวที กำลังกล่าวขอบคุณแขกที่มาร่วมงาน
"คุณต้องช่วยฉันพูดกับลูกนะ ถ้ากลับไปคราวนี้แล้วเมื่อไรลูกจะมาอีก" แก้วใจไม่ได้สนใจเจ้าบ่าวเจ้าสาวบนเวทีเลย ตอนนี้เธอสนใจอยู่เรื่องเดียวคือทำยังไงจะเหนี่ยวรั้งให้ลูกสาวไม่กลับไปต่างประเทศได้.. ใช่แล้วหวานใจก็คือบุตรสาวของเสนาธิการฉลามและแก้วใจ
"อยู่เมืองไทยไม่เห็นมีอะไรให้ทำเลยแม่ อยู่ที่นั่นยังมีงานให้ทำระหว่างเรียน"
"แต่ตอนนี้หนูเรียนจบแล้ว"
"จบแล้วก็ทำงานต่อได้นี่ค่ะ"
"แล้วแม่ล่ะ หนูไม่เป็นห่วงแม่เลยเหรอ"
"แม่คะ ถึงยังไงหนูก็ต้องกลับไป.."
"บอกเหตุผลแม่มาว่าทำไมหนูต้องกลับไปให้ได้"
"เพราะ..เออ..เพราะว่าา" เอาไงดีเรา "เพราะว่าอยู่ที่นั่นหนูมีแฟนแล้ว"
"ก็แค่แฟน ถ้าเขารักเราก็ให้เขา.."
"ไม่ใช่แค่แฟนสักหน่อยแม่ บอกตามตรงก็ได้ว่าเราอยู่กินด้วยกันแล้วหรือเรียกอีกอย่างว่าผัว" ด้วยความที่ได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่เรียนจบมัธยม หวานใจก็เลยไม่ได้ถือเรื่องพวกนี้
"คุณ" ฉลามเห็นภรรยาเงียบไปกลัวว่าจะช็อก "หายใจเข้าลึกๆ ก่อนนะคุณ"
"แกพูดอะไรออกมา!" แก้วใจเริ่มจะไม่เก็บอารมณ์แล้ว
"แสดงว่าแม่ไม่เชื่อใช่ไหม ถ้างั้นฉันจะเรียกเขามาแนะนำให้แม่รู้จักแล้วกัน" อะไรจะเหมาะเจาะขนาดนี้ จังหวะที่หวานใจกำลังมองหาตัวช่วย ผู้ชายคนนั้นก็เดินเข้ามาพอดี
อึบ! ขณะที่ผู้ชายคนที่นั่งแท็กซี่มาด้วยกันกำลังจะเดินผ่าน หวานใจเอื้อมมือไปคว้าแขนเขาไว้ก่อน ถ้าจะเรียกก็ไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร
"?" ที่จริงเขาก็เห็นอยู่ว่าเธอยืนคุยกับผู้ใหญ่ แต่เขาไม่รู้จักเธอเป็นการส่วนตัว ก็เลยกำลังจะเดินผ่านไป
"คนนี้ไงคะคนที่ลูกพูดให้ฟังเมื่อกี้"
"??" เขาปลายหางตามองมาที่เธอเล็กน้อย แค่เรื่องค่าแท็กซี่ก็เอามาฟ้องแม่เลยเหรอ
"ที่รักคะ คุณอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ"
"....."
"คนนี้เหรอที่ลูกบอกว่าเป็น.."
"ใช่ค่ะคนนี้แหละ บอกพ่อไปสิว่าใช่"
"ใช่?"
"เห็นไหมคะพ่อเขาบอกว่าใช่แล้ว"
"รามิล..มาถึงตั้งแต่เมื่อไรลูก" ประโยคนี้ดังขึ้น คนที่ยืนคุยกันอยู่หันไปมองแทบจะพร้อมกัน..