“ผู้หญิงคนนั้น ใครหรือคะพี่พฤกษ์”
เสียงของอัญญาถามเขาขณะนั่งรับประทานอาหารด้วยกันบนดาดฟ้าของตึกสูงริมแม่น้ำเจ้าพระยา พฤกษ์เลิกคิ้วด้วยท่าทีไม่เข้าใจแล้วหันขวับไปทางด้านหลัง มองหาอยู่อึดใจแล้วหันกลับมาถามด้วยสีหน้าที่ดูออกว่าเขาแสร้งทำ
“คนไหนครับ”
อัญญาหรี่ตามองเขาคล้ายจับผิด ก่อนว่า “คนที่บุกขึ้นไปหาพี่พฤกษ์ถึงบนห้องนั่นไงล่ะคะ ”
“อ้อ...” ชายหนุ่มลากเสียงเป็นทำนองรับรู้แล้วตอบด้วยท่าทีเฉยเมยไม่ใส่ใจ “ก็แค่ลูกหนี้คนหนึ่ง”
“อัยย์ว่าหน้าเธอคนนั้นคุ้นๆยังไงก็ไม่รู้นะคะ เหมือนกับว่าอัยย์เคยเห็นที่ไหนอย่างนั้นแหละ”
“เราก็คุ้นไปหมด”
พฤกษ์ว่าขำๆ แล้วเอ่ยชวนหญิงสาวให้คุยกันเรื่องอื่นต่อจากนั้นโดยไม่วกเข้าไปที่ ‘ลูกหนี้คนหนึ่ง’ อีกเลย หลังจากแวะไปส่งอัญญากลับบ้านของเธอแล้ว จึงตัดสินใจไปนั่งดื่มคนเดียวก่อนกลับเข้าห้องชุดส่วนตัว
ทำไมเขาต้องไปตื่นเต้นกันกับผู้หญิงแบบนั้นด้วยวะ จำได้ว่าสั่นอย่างกับหนุ่มน้อยหัดรักตอนที่รู้ว่าปภาณิณต้องการพบเขา แล้วความคิดหนึ่งก็แทรกขึ้นมาในตอนนั้นเอง เขาตั้งใจจะไม่พบหน้าหญิงสาวที่เคยมองว่าเจ้าหล่อนออกใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ที่ไหนได้เน่าข้างใน กลวงโบ๋ไม่มีอะไรดีสักอย่างเดียว
แล้วเขาเองจงใจเล่นตัวไม่ให้เธอเข้าพบในสองครั้งแรก ทั้งยังนึกอยู่ในใจว่าหากเธอตื๊อจะพบเขาให้ได้ถึงสามครั้ง เขาถึงจะยอมให้พบ เขารู้อยู่แล้วว่าปภาณิณต้องการพบด้วยเรื่องอะไร ในเมื่อเขาตั้งใจสร้างเรื่องพวกนั้นขึ้นมาเอง
จงใจให้คนของเขาติดต่อเรื่องกู้เงิน
ไหนจะยังเสนอให้รีไฟแนนซ์บ้านนั่นอีก
ใช่ล่ะ ที่เขาจงใจเล่นงานครอบครัวของเธออย่างที่ปภาณิณกล่าวหา
แล้วก็เป็นดีทีเดียวที่เมื่อสิบปีก่อน เขายอมกลับไปเรียนต่อ ไม่อย่างนั้นคงถูกเด็กสาวบ้านนอกหลอกให้หลงจนโงหัวไม่ขึ้นเป็นแน่
น่ารัก ใส ซื่ออย่างนั้นหรือ
พอเห็นความมั่งมี อู้ฟู้หน่อยก็ตาโต
ตอนนั้นเขากำลังเบื่อหน่ายกับการถูกบีบบังคับจากลุงชาญที่พูดถึงแต่เรื่องสานต่อกิจการ เลยหลบไปพักที่บ้านของป้าหมี่ที่เป็นพี่สาวแท้ๆของมารดาตนเองในช่วงฤดูร้อน แล้วถึงได้พบกับปภาณิณเข้า ความใสซื่อกระตือรือร้น แม้จะไม่ใช่คนสวยจัดจ้านแต่เด็กสาวปภาณิณช่างเจรจา น่ารักน่ามอง พูดคุยด้วยแล้วสบายใจอย่างที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน
ความทรงจำครั้งนั้นเหมือนกับเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน ไม่อยากยอมรับว่ามันฝังตรึงแน่นอยู่ในหัวใจของเขา เพราะนอกจากพฤกษ์จะได้ระบายเรื่องราวต่างๆให้เด็กสาวได้รับฟังแล้ว เธอเองก็ยังได้ปลดเปลื้องเรื่องราวในใจออกมาให้เขาได้ฟังเช่นกัน
‘พี่พฤกษ์อย่าบอกใครนะ เรื่องนี้เรารู้กันสองคน’
เธอย้ำคำนี้เสมอก่อนเปิดปากเล่าเรื่องในครอบครัวของเธอให้ฟัง พฤกษ์ผุดยิ้มร้ายกาจขึ้นมาในเสี้ยววินาทีเมื่อจำได้แม่นมั่นถึงเย็นวันหนึ่ง
‘เหนือเกลียดที่สุด พวกผู้หญิงที่แอบคบหากับผู้ชายที่มีเมียอยู่แล้วน่ะ’
‘ชาตินี้ทั้งชาติเหนือจะไม่ไปเป็นผู้หญิงลับๆ ที่แอบคบหาผู้ชายที่มีแฟนแล้วแน่ พี่พฤกษ์เป็นพยานให้เหนือที’
พฤกษ์รู้ดีทีเดียวว่าทำไมปภาณิณถึงเกลียดการผู้หญิงลับๆมากขนาดนั้น
คิดถึงต้นสายปลายเหตุนั้นแล้วก็ขมวดคิ้วหน่อยหนึ่ง ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ เมื่อมองเห็นสาวใจกล้านางหนึ่งเดินตรงมาที่เขา ชายผู้เจนจัดมองปราดเดียวก็รู้ถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี และเขาโสดพอที่จะออกไปไหนกับใครก็ได้ตามที่ใจต้องการ
แต่ที่ต้องลุกหนีไปนั่นเพราะเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดมากขึ้น กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของใบหน้าผู้หญิงคนนั้นคล้ายคลึงคนที่เขาบอกว่าเกลียดชังจับหัวใจจนไม่สามารถจะสานต่อสัมพันธ์ในคืนนี้กับเธอได้
จะตามมาหลอกหลอนเขาอีกนานแค่ไหนกัน
ปภาณิณ!
จันทร์เพ็ญมาถึงในตอนพลบค่ำ พอเห็นปภาณิณทางนั้นก็เดินเข้ามานั่งลงใกล้ๆก่อนเอ่ยปากขึ้นอย่างเกรงๆ
“น้องเหนือ”
เจ้าของชื่อละสายตามาสบด้วยก่อนขานรับ “คะคุณน้า”
“คือ...น้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าหนี้ที่ปล่อยกู้นั่นเป็นบริษัทในเครือของคุณพฤกษ์” นางเกริ่นจบแล้วรีบถามในทันที “หนูจำพี่เขาได้ไหม”
เหตุใดเธอจะจำเขาไม่ได้
สิบปีก่อนนั่น ช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนเธอได้พบกับพฤกษ์ที่บ้านสวนติดกับบ้านของคุณป้าของเขาที่นัยว่าเป็นคุณหมอเกษียณอายุแล้วอยู่บ้านลำพัง
แล้วถามจันทร์เพ็ญด้วยสีหน้าฉงน
“ทำไมหรือคะคุณน้า”
“น้าว่า...หนูน่าจะลองเข้าไปคุยกับเขาดู ลองขอยืดเวลาใช้หนี้ เผื่อเขาจำเราได้”
นางจันทร์เพ็ญรู้เรื่องนี้เพราะช่วงนั้นนางก็หนักใจไม่น้อยที่เด็กสาวในปกครองไปสนิทสนมกับหลานชายของทางนั้น แต่เมื่อไม่มีสิ่งใดเกินเลยจนน่าเกลียด นางก็โล่งใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ปภาณิณเบือนหน้าหนีทันที เพราะเธอลองหนทางนั้นแล้ว ก่อนหน้าที่นางจันทร์เพ็ญจะเอ่ยปากเสียอีก แล้วบอกเสียงคล้ายหมดแรง
“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ”
“ทำไมละลูก”
“เขาอาจจำเราไม่ได้แล้วก็ได้ หรือต่อให้จำได้เขาก็คงไม่อยากยุ่งกับเรา ยุคสมัยนี้แล้ว ไม่มีผลประโยชน์ต่อกันมีหรือคะเขาจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโดยไม่ได้อะไร”
ปภาณิณบอกจบแล้วได้แต่นิ่งงัน
ใช่ เขาต้องการประโยชน์จากเธอ นั่นคือให้ไปเป็นที่ระบายอารมณ์ใคร่ ไปเป็นผู้หญิงลับๆที่เขาไม่พาออกหน้าออกตา มีไว้เพื่อปลดปล่อยเพียงเท่านั้น คิดแล้วให้เจ็บใจนัก
และเธอจะไม่มีทางบากหน้าไปพบเขาอีก
นั่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง นางจันทร์เพ็ญที่เพิ่งนึกอะไรได้ว่าเสียงตื่นๆขึ้น “งานเลี้ยงของลูกค้าที่ชะอำ หนูไปนะลูก”
ปภาณิณบอกปัดทันที “ไม่ล่ะค่ะ เหนืออยากอยู่ดูคุณพ่อ”
“ทางนี้น้าดูให้เอง แล้วอีกอย่างหนูก็รู้จักมิสเตอร์เฉินดีกว่าใคร ภาษาหนูก็ได้ หนูไม่ไปน้ากลัวว่ามันจะไม่งามนะลูก”
ปภาณิณนิ่งคิดตามแล้วเลยแต่พยักหน้าตอบรับอย่างเนือยๆ เพราะมิสเตอร์เฉินเป็นลูกค้ารายใหญ่รายเดียวของบริษัทในตอนนี้ เมื่อออกปากเชิญให้ร่วมงานเลี้ยงก็คงน่าเกลียดนักหากไม่ไป
เมื่อวันนัดมาถึง ปภาณิณต้องขับรถไปเอง
งานเลี้ยงจัดขึ้นภายในโรงแรมริมชายหาดชะอำ ปภาณิณตั้งใจอยู่ร่วมงานสักชั่วโมงแล้วถึงขับกลับในคืนนี้เลย เธอคิดว่าตัวเองไหวกับการเดินทาง อาการของบิดายังทรงตัวไม่มีทีท่าดีขึ้นเลย จึงไม่มีกระจิตกระใจค้างแรมที่ไหนด้วยซ้ำ
ถึงงานแล้ว หอบของที่นำติดมือมาเดินเข้าไปทักทายเจ้าของงานในทันที “ยินดีด้วยนะคะมิสเตอร์เฉิน”