“ฉันไม่อับจนหนทาง ทำเรื่องสกปรกแบบนั้นแน่”
ยิ่งเธอปฏิเสธ พฤกษ์ก็ยิ่งเห็นว่านั่นคือการท้าทายเขา แล้วจงใจหยาม “รู้ไหม ยิ่งคุณทำตัวให้ดูยาก ทำเหมือนไม่เคยกับเรื่องแบบนี้เลย ผมก็ชักอยากจะทำเรื่อสกปรกกับคุณในตอนนี้ขึ้นมาเสียแล้วสิ”
ว่าจบเขามองทรวงอิ่มที่สะท้อนขึ้นลงตามแรงอารมณ์ของเธอด้วยสายตาจาบจ้วงหยาบคาย ปภาณิณกำมือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อแน่นจนรู้สึกได้ถึงเล็บที่จิกเข้าไปในอุ้งมือ ความรู้สึกด้านลบตีตื้นขึ้นจนแทบระเบิดออกทางสายตาหวานซึ้งคู่นั้นของตัวเอง แต่พฤกษ์หาได้ใส่ใจไม่ เธอโต้เขาด้วยเสียงสั่นเทา
“หยุดพูดเสียที ฉันไม่มีทางทำตามข้อเสนอของคุณเด็ดขาด”
“งั้นก็หาเงินมาใช้หนี้ให้ครบทั้งต้นทั้งดอก” พฤกษ์บอกพร้อมด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ “หรือคิดว่าใครให้ราคาดีกว่าก็ไปเร่ขายตัวแล้วเอาเงินมาใช้หนี้ให้มันหมดๆไปเสียที”
ตอนนี้เธอสั่นเหมือนเจ้าเข้าเสียแล้วเมื่อถ้อยคำดูหมิ่นจากเขาพรั่งพรูออกมาไม่หยุดหย่อน
“หรือไม่ก็รอรับหมายศาลที่บ้านได้เลยนะ แล้วนี่มีทนายดีๆเก่งๆไว้ว่าความให้หรือยังล่ะ”
ปภาณิณกัดปากแน่นอย่างที่โมโหถึงขีดสุด ชีวิตนี้ทั้งชีวิตไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน แต่ตอนนี้เธออยากกระโดดไปตระกรุยหน้าพฤกษ์ให้เสียโฉมไปเลย แต่ที่ทำได้มากสุดในตอนนี้คือเค้นเสียงว่าเขา
“คุณมันเจ้าเล่ห์”
“ใครๆก็บอกแบบนั้น ผมชินแล้วล่ะ”
แล้วเลยนึกถึงเรื่องราวในอดีตของเขาที่พอจำได้ เธอนิ่งไปครู่แล้วตัดสินพูดออกไป
“ไม่แปลกใจหรอกที่ใครๆเขาถึงตัดหางคนแบบคุณ”
มันได้ผล เพราะจากเมื่อครู่ที่คะแนนของพฤกษ์แล่นฉิวๆอยู่ก็หล่นวูบลงทันทีเมื่อเจอประโยคเด็ดของเธอเมื่อครู่นี้
พฤกษ์เป็นแบบนั้นจริง
สิบปีก่อนเขาถูกใครต่อใครพากันตัดหางเขาจริงๆ แต่นั่นมันเรื่องส่วนตัวของเขา และมีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่รู้ความรู้สึกนึกคิดของเขาดีว่าตอนนั้นเขาอยู่ในสภาวะเช่นไร
ว่าจบเธอกำกระเป๋าถือที่วางนิ่งบนหน้าตัก ลุกขึ้นยืนหันหลังเตรียมตัวจากไป แต่แล้วก็ถูกกระชากจากแรงมหาศาลของพฤกษ์ที่ทางด้านหลัง จนเซเข้าไปปะทะกับอกแข็งแกร่งๆภายใต้สูทราคาแพงลิบของเขา
“คิดจะว่าคนอื่นแล้วเดินหนีไปง่ายๆอย่างนั้นหรือไง ยัยเด็กบ้านแตก!”
เสียงว่าพร้อมลมหายใจหอมสะอาดแสนอุ่นกระทบไปทั่วใบหน้าของเธอก่อให้เกิดโทสะที่มาพร้อมอาการร้อนวูบวาบประหลาดล้ำ แล้วเธอก็ถูกเขาจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากของเขากดแน่นทาบทับพร้อมขบเม้มดูดดึงราวกับต้องการลงโทษเธอ ปภาณิณคล้ายกับจะหายใจไม่ออกจึงเผยอปากเปิดออกเพื่อรับอากาศเข้าไป นั่นถึงได้เป็นจังหวะดีให้เขาสอดลิ้นร้อนๆฉกวูบบุกลุกอย่างลึกล้ำเข้าหา
เมื่อเห็นว่าหมดหนทางดิ้นรน จึงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น พฤกษ์ฉวยโอกาสเอาเปรียบเธออย่างที่เขาพอใจแล้วจึงผละยอมปล่อยเธอออกจากพันธนาการของเขา ปภาณิณมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาเครียดขึ้งเจ็บใจ
“คุณก็เป็นอย่างที่ใครเขาว่ากันนั่นแหละ” เธอหอบเล็กน้อยแล้วว่าเขาต่อ “เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เคยนึกถึงคนอื่น และคุณจะไม่มีทางได้อะไรง่ายๆจากฉันแม้แต่เส้นผม”
เธอหันหลังขวับในทันที แต่แล้วก็ชะงักเท้าเอาไว้นิ่งเมื่อเสียงเข้มว่าตามหลังมา
“แค่เส้นผมเอามาทำไม” เขาถามไม่รอเอาคำตอบแล้วเอ่ยต่อ “และคนอย่างพฤกษ์ก็แทบไม่ทำอะไรเลย คนอย่างเธอนั่นแหละที่จะต้องคลานเข่าเข้ามาเสนอตัวด้วยความยินยอม ไม่เชื่อก็คอยดู”
“มั่นใจในตัวเองเสียเหลือเกินนะคะคุณพฤกษ์”
ถามประชดเขา แล้วหันหลังเดินกลับออกไปจากห้องนั้นในเวลาต่อมาแทบทันที และปภาณิณไม่มีทางได้เห็นสายตาชนิดหนึ่งของพฤกษ์เป็นแน่ สายตาที่มองตามไปจนลับหายตามเธอไปในที่สุด
ปภาณิณปล่อยมือออกจากริมฝีปากที่บวมเจ่อ เหม่อลอยกับฝนที่ตกลงมาเพียงเล็กน้อยบนกระจกหน้ารถ หลังออกมาจากตึกสูงระฟ้าที่เป็นอาณาจักรของพฤกษ์ เธอก็ติดแหง็กบนทางด่วนพิเศษแห่งนี้ ด้วยว่าเป็นเส้นทางเดียวที่ไวที่สุดที่เธอใช้สัญจรเพื่อไปเยี่ยมดูอาการของบิดาที่ยังคงทรงตัว แถมยังต้องอยู่รับการรักษาในห้องไอซียูไปก่อน
พลันอาการปวดแปลบปลาบบังเกิดขึ้นในหัวใจของเธอ เมื่อนึกถึงคำพูดร้ายกาจที่พฤกษ์พ่นออกมาแต่ละคำ
เขาต้องการเพียงแค่นอนกับเธอเพื่อแลกกับการความช่วยเหลือเท่านั้น ทำไมเขาถึงยื่นข้อเสนอทุเรศๆนั่นออกมา ในเมื่อเธอไม่ได้ขอให้เขาช่วยปลดหนี้ให้เสียหน่อย แค่เพียงต้องการเวลาใช้หนี้ให้ขยายออกไปอีกเพียงแค่เท่านั้นเอง เพราะมีคู่ค้าจากต่างประเทศติดต่อซื้อสินค้าเข้ามาแล้ว และหากว่าผลิตสินค้างวดนี้ทัน ก็จะได้เงินพอไปชำระทั้งต้นและดอกเบี้ยที่ค้างจ่ายอยู่บ้าง
แต่พฤกษ์ยังยืนยันคำเดิมว่าจะให้เธอเป็นผู้หญิงลับๆของเขา
เขาทำแบบนั้นทำไม
และเธอก็มั่นใจว่าเขาต้องจำได้แม่นมั่นว่าเธอเกลียดนักกับพวกผู้หญิงแบบนั้น
ภาพบนบิลบอร์ดเบื้องหน้านั่นกำลังโฆษณาให้บริษัท Chill Cash Company และเธอรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของที่นั่น เลิกมองและตัดขาดทางความคิดถึงอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับพฤกษ์ แล้วขับรถมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลที่บิดารักษาตัวอยู่ นางจันทร์เพ็ญขอกลับบ้านไปเอาของ ขณะนั่งคิดอะไรเงียบๆอยู่นั่นเอง เจ้าหน้าที่การเงินเข้ามาแจ้งเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา
“ญาติคุณจรัสใช่ไหมคะ”
“ค่ะ ฉันเป็นลูกสาวของท่าน”
“ขออนุญาตแจ้งค่าใช้จ่ายของสองวันแรกก่อนนะคะ”
แล้วพนักงานการเงินก็นำกระดาษที่มียอดใช้จ่ายแบ่งย่อยออกเป็นค่ายา ค่าอุปกรณ์การแพทย์ ค่าบริการทางการแพทย์ การพยาบาล และอีกหลายรายการที่เกินจากบริษัทประกันจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายให้ได้หมด
ปภาณิณมองใบแจ้งค่าบริการในมือแล้วลอบกลืนน้ำลายลงคอ เพราะมันเป็นเงินเกินกว่าครึ่งหนึ่งที่มีในบัญชีของเธอ ก่อนบอกกลับไปว่าเธอจะจัดการให้
“ขอบพระคุณค่ะ”
พนักงานคนนั้นยิ้มอย่างสุภาพแล้วจากไปในทันทีเมื่อเสร็จงานของตน คนที่ต้องแบกรับภาระทุกอย่างได้แต่ถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับปลอบประโลมตนเองเงียบๆว่ามันต้องมีหนทางให้เธอก้าวผ่านเรื่องพวกนี้ไปสิ และแล้วน้ำตาก็ไหลซึมออกมาอีกครั้งเมื่อคิดไปว่าหากไม่มีหนทางเหล่านั้นเล่า เธอจะทำเช่นไร