EPISODE 2 [ตัดหน้า]

1363 คำ
เ(ฉ)พาะช่างขังรัก MDL STORY (SS2) EPISODE 2 [ตัดหน้า] ณ มหาวิทยาลัย MDL รถนิสสันสกายไลน์สีน้ำเงินเงาวับที่แล่นมาจอดเทียบฟุตบาท ทำให้ฉันชะงักฝีเท้ากึก เมื่อเห็นว่ารถคันนี้มันเหมือนรถของพี่ภารัณคันที่เกิดระเบิดไปแทบทุกกระเบียดนิ้วเลย ต่างตรงที่ทะเบียนรถเท่านั้นเอง ของพี่ภารัณทะเบียน 669 แต่คันนี้ทะเบียน 996 ทันทีที่กระจกรถเลื่อนลงต่ำ ฉันก็พบว่าคนขับคือ หญิงสาว…ไม่สิเธอน่าจะอายุมากกว่าเด็กมหา’ลัยหลายปีเชียว แต่ความขาวและความสวยที่ดูอ่อนวัยนั้นทำฉันตะลึงมากทีเดียว นั่นเธออายุเท่าไหร่กันนะ “เอ่อ…มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันเอียงคอถามคนในรถอย่างสงสัย เธอต้องการสอบถามเส้นทางหรือเปล่านะ “ขึ้นมาสิ” เธอโยกหัวเป็นการเชิญชวน ทำฉันได้แต่มึนงงไปหมด บอกให้ฉันขึ้นรถเนี่ยนะ เราไม่รู้จักกันสักหน่อย และฉันก็ไม่ไปกับใครสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกนะ “แต่ว่า…” ยังไม่ทันที่จะปฏิเสธอะไร บานกระจกข้างของห้องโดยสารก็เลื่อนลง คนที่ชะโงกหน้าออกมาทำให้ฉันแปลกใจไม่น้อยเลย “ยืนนิ่งทำไม” เขาว่าเสียงดุ สีหน้าที่พร้อมบวกตลอดเวลา ทำให้ฉันไม่ค่อยกล้าสบตาเขาเท่าไหร่ “เฮียคิลทำไมถึง…” ฉันได้แต่งงเข้าไปใหญ่ที่เห็นเฮียคิลในรถ “นั่นม๊าไอ้หนูรัน” เฮียคิลว่า ทำฉันได้แต่อ้าปากค้าง คุณแม่พี่ภารัณเหรอ…สาวขนาดนี้สวยขนาดนี้เลยเหรอ “จริงเหรอคะ โอ๊ะ! สวัสดีค่ะ คือว่าหนู…หนู…” ฉันได้แต่รีบร้อนยกมือไหว้ท่านปลก ๆ จู่ ๆ คุณแม่พี่ภารัณมาที่นี่ทำไมกัน “ขึ้นมาสิ” ท่านพูดย้ำ แล้วโยกคอให้ฉันขึ้นมานั่งที่เบาะข้างคนขับ “อ่อ…ค่ะ” ฉันพึมพำ แล้วจำต้องเปิดประตูเข้าไปนั่งอย่างเสียไม่ได้ และทันที่เข้ามานั่งในรถ กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงอ่อน ๆ ที่อบอวลอยู่ก็ทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นกลิ่นเดียวกับขวดสีชมพูในตู้เสื้อผ้าของพี่ภารัณ ที่แท้เขาก็เก็บน้ำหอมกลิ่นที่คุณแม่ใช้ไว้นี่เอง พี่ภารัณคงคิดถึงท่านมากสินะ “ชื่อพะแนงใช่ไหม” ท่านถามขึ้นขณะตีไฟเลี้ยวตบเกียร์เข้าสู่เส้นทางหลักอย่างคล่องแคล้ว ท่วงท่าของท่านดูเท่จัง “ใช่ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะหนูไม่ทราบว่าท่านคือ…” ในหัวฉันได้แต่รวนไปหมด ฉันควรเรียกท่านว่าอะไรล่ะ ท่านประธานลินน์ ท่านประธานใหญ่เหรอ หรือต้องเรียกอะไร “ทำไมพูดไม่รู้เรื่อง” น้ำเสียงหวาน ๆ ย้อนถามมาห้วน ๆ ผิดกับลุคสวยแซ่บนั่นเลย และการพูดของท่านก็คล้ายกับพี่ภารัณเลยแฮะ “เอ่อ…หนูพูดไม่รู้เรื่องเหรอคะ คือว่าหนู…” ท่านทำฉันเกร็งไปหมดแล้วนะ เกร็งจนติดอ่างแล้วเนี่ย ฮือ! “เธอหมายถึงเรียกเหมือนที่ไอ้หนูรันเรียกก็พอ อย่าพูดทางการ…ฟังไม่รู้เรื่อง” เฮียคิลอธิบายมาด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าการสื่อสารภาษาเดียวกันจำเป็นต้องมีล่ามแปล ก็ตอนที่คุยกับครอบครัวมาเฟียตระกูลลินน์นี่แหละ “ขอโทษค่ะ หนูไม่รู้ว่าต้องเรียกแบบไหนนี่คะ” ฉันตอบออกไปตามตรง และเห็นว่าเรียวปากอิ่มสวยยกยิ้มมุมปากจาง ๆ ราวชอบใจ “อย่าพิธีเยอะ ยุ่งยาก” ท่านพูดขึ้น ขณะที่ความเร็วรถก็กำลังทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่สูงขึ้นเช่นกัน นั่นทำให้ฉันต้องรีบดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้ทันที ทำไมท่านถึงขับรถเร็วแหกนรกขนาดนี้ล่ะ “แค่บอกว่าเรียกม๊ามันยากยังไง” เสียงเฮียคิลว่ามา ทำให้คนหลังพวงมาลัยเหลือบมองสบตาคนพูดผ่านกระจกมองหลัง “ทำไมนายไม่พูดแต่แรก คิดบ้างบางทีฉันก็คิดคำไม่ออก” ท่านว่า ทำคนด้านหลังถึงกับหน้าเหวอ “อะไรวะเนี่ย ผมผิดเหรอเนี่ย เจ้ควรคิดเองดิ แล้วก็พูดให้เด็กมันรู้เรื่องด้วย ขี้เกียจอธิบาย!” สุดท้ายเฮียคิลก็บ่นออกมายืดยาว แต่ถึงจะพูดย้อนท่านมาแบบนั้น ทว่าสีหน้ากลับดูแพ้ราบคาบเลยแฮะ “ขี้บ่นไม่เลิก เมียจะรำคาญเอานะ” แล้วจู่ ๆ ก็โดนแซะหน้าตาเฉย “เจ้อย่าพูดไปเรื่อย แล้วรถก็ขับช้า ๆ เป็นไหมวะนั่น จะรีบไปไหน สะสมใบสั่งเหมือนไอ้รันรึไง” เฮียคิลโวยมาอีก ฉันไม่เคยเห็นเฮียคิลที่อยู่ในอาการงอแงแบบนี้มาก่อนเลยแฮะ เขาดูเหมือนน้องชายที่นอกจากบ่นแล้ว ก็ทำอะไรพี่สาวไม่ได้เลย “ป้ายเมื่อกี้จำกัดความเร็วเท่าไหร่ซิ ฉันไม่ทันมอง” ท่านหันไปถามเฮียคิล ทำฉันเลิ่กลั่กไปหมด ท่านควรมองถนนก่อนสิ “หนูว่าม๊ามองทางก่อนเถอะนะคะ ค่อยคุยก็ได้ค่ะ” ฉันบอกท่าน ทำให้ท่านหัวเราะเบา ๆ ออกมาราวชอบใจที่เห็นฉันอยู่ในอาการหน้าตาตื่นไปหมด “ให้ตาย…” เฮียคิลพึมพำมาแค่นั้นราวกับหมดคำจะพูดกับท่านแล้ว อีกด้านหนึ่ง…ณ มหาวิทยาลัย MDL ปี๊น! เสียงแตรของรถยนต์ที่เลี้ยวเข้ามาจอดเทียบฟุตบาท ทำให้เอวาชะงักฝีเท้ากึก เมื่อเห็นว่าเจ้าของรถเป็นใคร เธอจึงหยุดยืนรออีกฝ่าย “พะแนงล่ะ” ภารัณส่งเสียงถาม เพราะวันนี้เด็กเฉพาะช่างไม่มีเรียน เขาเลยเลือกจะมารอรับยัยหนูที่หน้ามหา’ลัยแทน แต่พอโทรหา เธอกลับไม่รับสายนี่สิ “ยัยพะแนงออกมาก่อนวานะ วาคิดว่าพี่มารับไปเสียอีก” เอวาตอบ และเห็นว่ารถของเดี่ยวกำลังตีไฟเลี้ยวมาจอดที่ด้านหลังรถของภารัณ “วาจ๋า” เดี่ยวที่เดินหน้าระรื่นลงมาช่วยแฟนสาวถือถุงผ้า ที่บรรจุหนังสือจนหนักอึ้งได้แต่ชะโงกหน้ามองเพื่อนรักที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับขึ้นมา “...” “เป็นไรมึง น้องคนสวยอะ” เดี่ยวถามขึ้น เมื่อเห็นไอ้ตัวดีกดโทรออกยิก ๆ “ทำไมโทรไม่ติดวะ กูก็บอกว่าจะมารับ” ภารัณบ่น ๆ แล้วโยนโทรศัพท์ไว้ที่เบาะข้างคนขับตามเดิม “วาจ๋า น้องพะแนงเอารถมาไหม” เดี่ยวหันมาถามแฟนสาว “พี่พนาให้คนขับรถมาส่งค่ะ แต่ยัยพะแนงก็บอกว่าจะออกมารอพี่ภารัณนะ ทำไมไม่เจอกันล่ะ อืม…งั้นเดี๋ยววาโทรหาให้นะคะ” เอวาบอก แล้วจัดแจงล้วงโทรศัพท์มาโทรหาเพื่อนสาวทันที ทว่าแม้แต่เธอก็ติดต่อพะแนงไม่ได้เหมือนกัน “ว่าไง” ภารัณส่งเสียงถามทันที “วาก็โทรไม่ติดเหมือนกันค่ะ เหมือนไม่มีสัญญาณ” “แบตหมดไหมวะ” เดี่ยวสันนิษฐาน “งั้นกู…” ได้ยินเดี่ยวว่าแบบนั้น ภารัณเลยจะไปดูที่บ้านของยัยหนูหน่อย ถ้าคนขับรถมารับเธอไปแล้ว เขาจะได้วางใจ แต่ยังไม่ทันได้พูดจบเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน [สอง…กำลังโทรเข้า] “เออ” ชายหนุ่มกรอกเสียงทัก [“เฮีย! ม๊ามาRVBอะ คนสวยก็มาด้วยนะ”] เสียงของสองที่ดูตื่นเต้นบอกภารัณมา ทำเอาชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น “พะแนงไปกับม๊า? มึงบ้ารึเปล่า” ชายหนุ่มย้อนไอ้เด็ก [“จริง! ผมอยู่ที่RVBวันนี้มีเทสสนาม เฮียหยกกับเฮียโซ่เอารถมาเทสด้วยนะ”] สองว่าย้ำ “ม๊ามึงพาคนสวยไปไหนวะ” เดี่ยวรีบถามทันที “RVB” ภารัณพึมพำ ม๊าพาเธอไปริเวอร์เบย์ทำไม มาพาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เขาติดต่อไม่ได้เพราะเฮียคิลบล็อคสัญญาณมือถือเธอสินะ “หมายถึงสนามแข่งรถที่เขตริเวอร์เบย์เหรอคะ” เอวาถามย้ำ นี่คุณแม่ของภารัณพาเพื่อนเธอไปทำอะไรที่นั่นกัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม