เ(ฉ)พาะช่างขังรัก MDL STORY (SS2)
EPISODE 2
[ตัดหน้า]
ณ มหาวิทยาลัย MDL
รถนิสสันสกายไลน์สีน้ำเงินเงาวับที่แล่นมาจอดเทียบฟุตบาท ทำให้ฉันชะงักฝีเท้ากึก เมื่อเห็นว่ารถคันนี้มันเหมือนรถของพี่ภารัณคันที่เกิดระเบิดไปแทบทุกกระเบียดนิ้วเลย ต่างตรงที่ทะเบียนรถเท่านั้นเอง ของพี่ภารัณทะเบียน 669 แต่คันนี้ทะเบียน 996
ทันทีที่กระจกรถเลื่อนลงต่ำ ฉันก็พบว่าคนขับคือ หญิงสาว…ไม่สิเธอน่าจะอายุมากกว่าเด็กมหา’ลัยหลายปีเชียว แต่ความขาวและความสวยที่ดูอ่อนวัยนั้นทำฉันตะลึงมากทีเดียว นั่นเธออายุเท่าไหร่กันนะ
“เอ่อ…มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันเอียงคอถามคนในรถอย่างสงสัย เธอต้องการสอบถามเส้นทางหรือเปล่านะ
“ขึ้นมาสิ” เธอโยกหัวเป็นการเชิญชวน ทำฉันได้แต่มึนงงไปหมด บอกให้ฉันขึ้นรถเนี่ยนะ เราไม่รู้จักกันสักหน่อย และฉันก็ไม่ไปกับใครสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกนะ
“แต่ว่า…” ยังไม่ทันที่จะปฏิเสธอะไร บานกระจกข้างของห้องโดยสารก็เลื่อนลง คนที่ชะโงกหน้าออกมาทำให้ฉันแปลกใจไม่น้อยเลย
“ยืนนิ่งทำไม” เขาว่าเสียงดุ สีหน้าที่พร้อมบวกตลอดเวลา ทำให้ฉันไม่ค่อยกล้าสบตาเขาเท่าไหร่
“เฮียคิลทำไมถึง…” ฉันได้แต่งงเข้าไปใหญ่ที่เห็นเฮียคิลในรถ
“นั่นม๊าไอ้หนูรัน” เฮียคิลว่า ทำฉันได้แต่อ้าปากค้าง คุณแม่พี่ภารัณเหรอ…สาวขนาดนี้สวยขนาดนี้เลยเหรอ
“จริงเหรอคะ โอ๊ะ! สวัสดีค่ะ คือว่าหนู…หนู…”
ฉันได้แต่รีบร้อนยกมือไหว้ท่านปลก ๆ จู่ ๆ คุณแม่พี่ภารัณมาที่นี่ทำไมกัน
“ขึ้นมาสิ” ท่านพูดย้ำ แล้วโยกคอให้ฉันขึ้นมานั่งที่เบาะข้างคนขับ
“อ่อ…ค่ะ” ฉันพึมพำ แล้วจำต้องเปิดประตูเข้าไปนั่งอย่างเสียไม่ได้
และทันที่เข้ามานั่งในรถ กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงอ่อน ๆ ที่อบอวลอยู่ก็ทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นกลิ่นเดียวกับขวดสีชมพูในตู้เสื้อผ้าของพี่ภารัณ
ที่แท้เขาก็เก็บน้ำหอมกลิ่นที่คุณแม่ใช้ไว้นี่เอง พี่ภารัณคงคิดถึงท่านมากสินะ
“ชื่อพะแนงใช่ไหม”
ท่านถามขึ้นขณะตีไฟเลี้ยวตบเกียร์เข้าสู่เส้นทางหลักอย่างคล่องแคล้ว ท่วงท่าของท่านดูเท่จัง
“ใช่ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะหนูไม่ทราบว่าท่านคือ…”
ในหัวฉันได้แต่รวนไปหมด ฉันควรเรียกท่านว่าอะไรล่ะ ท่านประธานลินน์ ท่านประธานใหญ่เหรอ หรือต้องเรียกอะไร
“ทำไมพูดไม่รู้เรื่อง”
น้ำเสียงหวาน ๆ ย้อนถามมาห้วน ๆ ผิดกับลุคสวยแซ่บนั่นเลย และการพูดของท่านก็คล้ายกับพี่ภารัณเลยแฮะ
“เอ่อ…หนูพูดไม่รู้เรื่องเหรอคะ คือว่าหนู…”
ท่านทำฉันเกร็งไปหมดแล้วนะ เกร็งจนติดอ่างแล้วเนี่ย ฮือ!
“เธอหมายถึงเรียกเหมือนที่ไอ้หนูรันเรียกก็พอ อย่าพูดทางการ…ฟังไม่รู้เรื่อง”
เฮียคิลอธิบายมาด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าการสื่อสารภาษาเดียวกันจำเป็นต้องมีล่ามแปล ก็ตอนที่คุยกับครอบครัวมาเฟียตระกูลลินน์นี่แหละ
“ขอโทษค่ะ หนูไม่รู้ว่าต้องเรียกแบบไหนนี่คะ” ฉันตอบออกไปตามตรง และเห็นว่าเรียวปากอิ่มสวยยกยิ้มมุมปากจาง ๆ ราวชอบใจ
“อย่าพิธีเยอะ ยุ่งยาก” ท่านพูดขึ้น ขณะที่ความเร็วรถก็กำลังทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่สูงขึ้นเช่นกัน นั่นทำให้ฉันต้องรีบดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้ทันที ทำไมท่านถึงขับรถเร็วแหกนรกขนาดนี้ล่ะ
“แค่บอกว่าเรียกม๊ามันยากยังไง”
เสียงเฮียคิลว่ามา ทำให้คนหลังพวงมาลัยเหลือบมองสบตาคนพูดผ่านกระจกมองหลัง
“ทำไมนายไม่พูดแต่แรก คิดบ้างบางทีฉันก็คิดคำไม่ออก” ท่านว่า ทำคนด้านหลังถึงกับหน้าเหวอ
“อะไรวะเนี่ย ผมผิดเหรอเนี่ย เจ้ควรคิดเองดิ แล้วก็พูดให้เด็กมันรู้เรื่องด้วย ขี้เกียจอธิบาย!”
สุดท้ายเฮียคิลก็บ่นออกมายืดยาว แต่ถึงจะพูดย้อนท่านมาแบบนั้น ทว่าสีหน้ากลับดูแพ้ราบคาบเลยแฮะ
“ขี้บ่นไม่เลิก เมียจะรำคาญเอานะ” แล้วจู่ ๆ ก็โดนแซะหน้าตาเฉย
“เจ้อย่าพูดไปเรื่อย แล้วรถก็ขับช้า ๆ เป็นไหมวะนั่น จะรีบไปไหน สะสมใบสั่งเหมือนไอ้รันรึไง”
เฮียคิลโวยมาอีก ฉันไม่เคยเห็นเฮียคิลที่อยู่ในอาการงอแงแบบนี้มาก่อนเลยแฮะ เขาดูเหมือนน้องชายที่นอกจากบ่นแล้ว ก็ทำอะไรพี่สาวไม่ได้เลย
“ป้ายเมื่อกี้จำกัดความเร็วเท่าไหร่ซิ ฉันไม่ทันมอง” ท่านหันไปถามเฮียคิล ทำฉันเลิ่กลั่กไปหมด ท่านควรมองถนนก่อนสิ
“หนูว่าม๊ามองทางก่อนเถอะนะคะ ค่อยคุยก็ได้ค่ะ” ฉันบอกท่าน ทำให้ท่านหัวเราะเบา ๆ ออกมาราวชอบใจที่เห็นฉันอยู่ในอาการหน้าตาตื่นไปหมด
“ให้ตาย…” เฮียคิลพึมพำมาแค่นั้นราวกับหมดคำจะพูดกับท่านแล้ว
อีกด้านหนึ่ง…ณ มหาวิทยาลัย MDL
ปี๊น!
เสียงแตรของรถยนต์ที่เลี้ยวเข้ามาจอดเทียบฟุตบาท ทำให้เอวาชะงักฝีเท้ากึก เมื่อเห็นว่าเจ้าของรถเป็นใคร เธอจึงหยุดยืนรออีกฝ่าย
“พะแนงล่ะ” ภารัณส่งเสียงถาม เพราะวันนี้เด็กเฉพาะช่างไม่มีเรียน เขาเลยเลือกจะมารอรับยัยหนูที่หน้ามหา’ลัยแทน แต่พอโทรหา เธอกลับไม่รับสายนี่สิ
“ยัยพะแนงออกมาก่อนวานะ วาคิดว่าพี่มารับไปเสียอีก” เอวาตอบ และเห็นว่ารถของเดี่ยวกำลังตีไฟเลี้ยวมาจอดที่ด้านหลังรถของภารัณ
“วาจ๋า” เดี่ยวที่เดินหน้าระรื่นลงมาช่วยแฟนสาวถือถุงผ้า ที่บรรจุหนังสือจนหนักอึ้งได้แต่ชะโงกหน้ามองเพื่อนรักที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับขึ้นมา
“...”
“เป็นไรมึง น้องคนสวยอะ” เดี่ยวถามขึ้น เมื่อเห็นไอ้ตัวดีกดโทรออกยิก ๆ
“ทำไมโทรไม่ติดวะ กูก็บอกว่าจะมารับ” ภารัณบ่น ๆ แล้วโยนโทรศัพท์ไว้ที่เบาะข้างคนขับตามเดิม
“วาจ๋า น้องพะแนงเอารถมาไหม” เดี่ยวหันมาถามแฟนสาว
“พี่พนาให้คนขับรถมาส่งค่ะ แต่ยัยพะแนงก็บอกว่าจะออกมารอพี่ภารัณนะ ทำไมไม่เจอกันล่ะ อืม…งั้นเดี๋ยววาโทรหาให้นะคะ” เอวาบอก แล้วจัดแจงล้วงโทรศัพท์มาโทรหาเพื่อนสาวทันที ทว่าแม้แต่เธอก็ติดต่อพะแนงไม่ได้เหมือนกัน
“ว่าไง” ภารัณส่งเสียงถามทันที
“วาก็โทรไม่ติดเหมือนกันค่ะ เหมือนไม่มีสัญญาณ”
“แบตหมดไหมวะ” เดี่ยวสันนิษฐาน
“งั้นกู…”
ได้ยินเดี่ยวว่าแบบนั้น ภารัณเลยจะไปดูที่บ้านของยัยหนูหน่อย ถ้าคนขับรถมารับเธอไปแล้ว เขาจะได้วางใจ แต่ยังไม่ทันได้พูดจบเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
[สอง…กำลังโทรเข้า]
“เออ” ชายหนุ่มกรอกเสียงทัก
[“เฮีย! ม๊ามาRVBอะ คนสวยก็มาด้วยนะ”] เสียงของสองที่ดูตื่นเต้นบอกภารัณมา ทำเอาชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น
“พะแนงไปกับม๊า? มึงบ้ารึเปล่า” ชายหนุ่มย้อนไอ้เด็ก
[“จริง! ผมอยู่ที่RVBวันนี้มีเทสสนาม เฮียหยกกับเฮียโซ่เอารถมาเทสด้วยนะ”] สองว่าย้ำ
“ม๊ามึงพาคนสวยไปไหนวะ” เดี่ยวรีบถามทันที
“RVB” ภารัณพึมพำ ม๊าพาเธอไปริเวอร์เบย์ทำไม มาพาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เขาติดต่อไม่ได้เพราะเฮียคิลบล็อคสัญญาณมือถือเธอสินะ
“หมายถึงสนามแข่งรถที่เขตริเวอร์เบย์เหรอคะ”
เอวาถามย้ำ นี่คุณแม่ของภารัณพาเพื่อนเธอไปทำอะไรที่นั่นกัน