เ(ฉ)พาะช่างขังรัก MDL STORY (SS2)
EPISODE 13
[ข้อตกลงของว่าที่น้องเขย]
“พี่มีธุระเหรอคะ” ฉันส่งเสียงถาม เมื่อวันนี้พี่ภารัณตั้งใจมาส่งฉันที่บ้านโดยไม่ได้พาแวะไปกินข้าวหรือเที่ยวเล่นที่คอนโดฯก่อน
ทั้งความเงียบงันระหว่างกันที่มีมาตลอดเส้นทาง มันทำให้ฉันอดแปลกใจไม่ได้นี่นา หรือเขาจะไม่ชอบใจที่เห็นฉันทำตัวไม่ดีใส่เพื่อนร่วมคณะอย่างปายกันนะ
“อืม หาอะไรกินด้วย คืนนี้จะโทรหา” เจ้าของเส้นผมสีเทาควันบุหรี่ยื่นกระเป๋าผ้าให้พี่นุ่นที่ออกมารับฉันเช่นทุกวัน
“ไม่เข้ามาก่อนเหรอคะสุดหล่อ วันนี้พี่นุ่นทำแกงพะแนงหมูของโปรดของน้องพะแนงไว้ด้วยค่ะ” พี่นุ่นชักชวน
“ไม่ครับ ผมมีธุระ” พี่ภารัณหันไปตอบพี่นุ่นแค่นั้น ก่อนจะหันมาสบตาฉัน
“พี่นุ่นเอากระเป๋าพะแนงไปไว้ที่ห้องให้ทีนะคะ”
ฉันส่งกระเป๋าให้พี่นุ่น ซึ่งเธอก็เข้าใจได้ว่าฉันต้องการคุยกับพี่ภารัณเป็นการส่วนตัว
เมื่อพี่นุ่นเข้าบ้านไปแล้ว ฉันก็ได้แต่ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามเขาออกไป
“นั่งรถมาพี่ไม่พูดอะไรเลย โกรธที่พะแนงรังแกเพื่อนร่วมคณะเหรอคะ”
ฉันถาม ทำให้พี่ภารัณที่สีหน้านิ่งเรียบไม่เปลี่ยนล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะหันหน้าจอมาให้ฉันดู
“...”
“เอ่อ…นี่มัน” ฉันได้แต่อ้ำอึ้งกับภาพที่เขาเปิดออกมา
“เหมือนตรงไหน?” เขาเอ่ยถาม มองหน้าฉันราวต้องการคำตอบที่ฟังเข้าหู
“ที่พี่ไม่พูดจาอะไรตลอดทาง เพราะงอนเหรอคะ พี่คิดว่าพะแนงเอาพี่กับท่านเปามาเทียบกันเหรอ พะแนงไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย”
ฉันโพล่งออกไป บางครั้งเขาก็ทำฉันช็อตมากนะ
“ยังไง?”
“ที่พะแนงยกท่านเปามาพูด เพราะท่านเปาเป็นคนที่มีชื่อเสียงเรื่องความเป็นธรรม พะแนงแค่อยากรู้ว่าพี่จะเข้าข้างใคร จะมีความเป็นธรรมแยกแยะคำพูดของพะแนงกับพวกนั้นได้ไหมก็แค่นั้นเอง” ฉันอธิบายยืดยาว
“อืม” ทว่าเขากลับครางรับรู้แค่นั้น แล้วยื่นมือมาจับมือฉัน และสีหน้าของพี่ภารัณดูไม่ค่อยดีเลย
“พี่ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าคะ”
ฉันถามอย่างห่วงใย เพราะเขาเป็นพวกไม่พูด ถ้าไม่สังเกตจริง ๆ ก็แทบมองไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าพี่ภารัณคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่
“อาทิตย์หน้าก็ไม่ได้อยู่ที่มอ ถ้ามีปัญหาหนูจะไม่ปิดพี่ใช่ไหม” พี่ภารัณถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ท่าทางเขาจะกังวลว่าฉันจะถูกใครรังแกอีกสินะ
“พะแนงสัญญาว่าจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี สิ่งที่พะแนงอยากบอกก็คือ พี่คอยดูแลพะแนงทุกฝีก้าวไม่ได้หรอกนะ อีกอย่างคือพะแนงก็เป็นห่วงพี่เหมือนกัน พี่กลับไปวิทยาลัยแล้ว แรก ๆ คงจะเหงา ๆ น่าดู” ฉันบอกเขา เพราะอาทิตย์หน้าก็จะไม่ได้เห็นเขามานั่งเล่นที่ซุ้มวิศวะฯอีกแล้ว
ระยะเวลาหนึ่งเทอมที่ผ่านมา มีเรื่องราวมากมายที่พวกเราได้เผชิญร่วมกัน และมันมากเสียจนน่าตกใจเลยล่ะ
ช่วงชีวิตวัยรุ่นของพวกเราได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันแสนสั้น ก่อเกิดเป็นมิตรภาพ ความผูกพัน เข้าใจกันและกันมากขึ้น
จากเดิมที่รอบตัวฉันมีเพียงเอวาและบีบี แต่ตอนนี้ฉันมีพี่ภารัณ และเพื่อน ๆ ของเขา เหล่าเฮีย ๆ ที่อู่ MDL รวมถึงได้รู้จักกับคุณป๊าและคุณม๊าของพี่ภารัณอีกด้วย
นี่ยังไม่นับรวมไปถึงกลุ่มของเฮียไท่หลง เขตริเวอร์เบย์ ที่ภายนอกดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ และกลุ่มของเฮียแฝดเพลิงไฟจากดาวน์ทาวน์ ที่ทุกวันนี้ก็ยังคงไม่ค่อยกินเส้นกับพี่ภารัณนัก
แต่พอได้เข้าไปสัมผัสตัวตนของพวกเขาแล้ว ภายใต้ความร้ายกาจที่เห็น พวกเขากลับซ่อนบางอย่างเอาไว้
บางอย่างที่ฉันก็อธิบายออกมาไม่ได้ บางอย่างที่ฉันสัมผัสได้จากพี่ภารัณ และมันทำให้ฉันรู้สึกดีมากจริง ๆ
ในความดำมืดเหล่านั้น…มันได้ซ่อนจุดสีขาวเล็ก ๆ เอาไว้ เพียงแต่ว่า ‘พวกเขาจะเผยให้ใครเห็น’ ก็เท่านั้น
“เทอมเดียว เดี๋ยวมาแน่” พี่ภารัณว่า แล้วยกยิ้ม รั้งข้อมือฉันให้ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น
“พี่จะมาต่อวิศวะฯที่MDLจริง ๆ เหรอ ไม่กลัวว่าจะได้มาตีกับพี่เปรมอีกรึไง”
ฉันแกล้งแซว เพราะแอบไปได้ยินเรื่องเล่าจากเด็กวิศวะฯมา ว่าวันแรกที่พวกพี่ภารัณมาเรียนแลกเปลี่ยนที่นี่ เขาก็ได้รังแกพี่เปรมจนเป็นที่อับอายขายขี้หน้าเพื่อน ๆ ในห้อง ทั้งยังไปปะทะฝีปากกับอาจารย์ฝ่ายปกครองอีกต่างหาก
“ไม่ต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้มั้ง” เขาว่า หรี่สายตามองมาราวมันเขี้ยวฉัน
“ข่าวมันลอยมาค่ะ ยังมีวีรกรรมของพี่อีกตั้งหลายเรื่องที่พะแนงได้ยินมา พี่เนี่ยนิสัยไม่ดีจริง ๆ ด้วย”
ฉันแกล้งว่าเขา ทำให้พี่ภารัณเปลี่ยนมารั้งเอวฉันให้ขยับเข้ามาแนบชิดกันมากขึ้น จนฉันต้องหันซ้ายแลขวามองว่ามีใครผ่านไปผ่านมาแถวนี้บ้างไหม
“ไม่ดีขนาดไหนอยากรู้ไหม” เจ้าของร่างสูงโน้มใบหน้าหล่อเหลาลงมากระซิบถามข้างหูฉัน
“มะ…ไม่ค่ะ แล้วก็ปล่อยเอวพะแนงเลย เกิดพี่พนากลับมาเห็นเข้า จะโดนดุเอา” ฉันรีบตอบ เพราะเห็นว่าเขากำลังมองมาด้วยแววตาเจ้าเล่ห์แค่ไหน
“กลัวโดนดุเอา แต่ไม่กลัวโดนเอาดุ?” เขาย้อนถามเน้นบางคำอย่างน่าตี ทำฉันถึงกับหน้าเหวอเลยล่ะ
ปึก!
และอดทุบกำปั้นใส่แผ่นอกแกร่งของพี่ภารัณอย่างหมั่นไส้ไม่ได้ คำพูดคำจามั่นหน้าเกินใครจริง ๆ
“อี๋! ปากพี่นี่มันชอบพูดอะไรหน้าไม่อายตลอดเลยอะ” ฉันว่าเขา ซึ่งเจ้าตัวก็เอาแต่อมยิ้มใส่
“ปากถ้าไม่พูด…มันก็ทำอย่างอื่นอยู่นะ จุ๊บ!” เขาย้อน แล้วก้มลงแนบริมฝีปากเรียวสวยลงบนเรียวปากฉัน ก่อนจะถอนออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะมีเสียงแตรรถดังขึ้น
“ไอ้พี่รัน! พี่พนาต้องเห็นแน่เลย”
ฉันโวยวาย แล้วรีบผละตัวถอยห่างจากวงแขนเขา เมื่อหันไปเห็นว่ารถคันที่บีบแตรคือรถของคุณพี่ชายฉันเอง
“ทำไม? บอกไปเลยว่าโดนกินทั้งตัวแล้ว พี่พนาจะได้เลิกหวงเราซะที”
“พี่จะบ้าเหรอ!” ฉันรีบแย้ง ดูเขาพูดเข้าเถอะ ขืนบอกไปพี่พนาได้ฆ่าน้องสาวที่ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัวอย่างฉันทิ้งแน่ ๆ
“ไง วันนี้กลับไวนะ” พี่พนาที่เดินลงมาจากรถทักขึ้น คล้ายประชดพี่ภารัณไปในตัว เพราะปกติเขาจะมาส่งฉันราว ๆ สองสามทุ่มโน้น
“ผมมีธุระครับ แต่ถ้าพี่พนาจะให้ยัยหนูค้างได้ ผมจะได้ไม่ต้องมาส่ง” เขาว่า ทำฉันถึงอ้าปากหวอ
‘อ๊าก! อีพี่รันพูดอะไรของเขาอีกเนี่ย’
“ให้เลือกระหว่างมาส่ง กับเลิกกันไป” แน่นอนว่าพี่ชายฉันก็ไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน
“ต้องเลือกมาส่งสิครับ แต่ว่า…”
พี่ภารัณตอบ ก่อนจะขยับเข้าไปกระซิบบางอย่างข้างหูพี่ชายฉัน ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้ยินเลยอะ เขาคุยอะไรกันนะ
“นาย…” พี่พนาพึมพำ มองจ้องตากับพี่ภารัณที่ขยับยิ้มจาง ๆ ให้ และรอยยิ้มแบบนั้นมันคือรอยยิ้มของผู้ชนะชัด ๆ นี่เขาข่มขู่อะไรพี่ชายฉันหรือเปล่านะ
“มีอะไรเหรอคะ” ฉันอดถามไม่ได้
จะว่าไปทุกวันนี้ฉันแทบจะเข้าลัทธิปลูกเผือกกับต้นและสองอยู่แล้ว เพราะพวกผู้ชายชอบพูดอะไรมีลับลมคมในกันตลอดไงล่ะ
“ไม่มีอะไรหรอก เราอะเข้าบ้านไปเลย” พี่พนาตัดบท ซึ่งฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีอะไร ความไม่มีคือมีแน่นอน
‘โธ่! บอกหน่อยก็ไม่ได้’ ฉันแอบงอน
“พะแนงเข้าบ้านแล้วนะ พี่ขับรถดี ๆ ล่ะ” ฉันบอกพี่ภารัณอย่างเสียไม่ได้
“อืม เดี๋ยวโทรหา” เขารับคำ ทำให้ฉันจำต้องเข้าบ้านจริง ๆ ก่อนที่พี่พนาจะดุฉันเสียก่อน
คล้อยหลังพะแนง ภารัณเองก็จะกลับไปทำธุระเช่นกัน ชายหนุ่มมองสบตาพี่ชายของยัยหนู ที่มองมาอย่างคนต้องการเคลียร์ประเด็นก่อนหน้า ก็ได้แต่ยกยิ้มมุมปากราวคาดการณ์ผลไว้แล้ว
“หัวธุรกิจกันทั้งพี่ทั้งน้องสินะ” พนาเปรยขึ้นคล้ายหมั่นไส้ชายหนุ่มนิสิตช่าง
“นั่นคำชมเหรอครับ แต่ผมก็ไม่ได้อยากพูดหรอก ถ้าพี่พนาจะหยวน ๆ ให้อิสระยัยหนูบ้าง”
ภารัณพูดอย่างตรงไปตรงมาเสมอ ตั้งแต่ยัยหนูโดนพาตัวกลับมาอยู่ที่บ้าน เขาก็ไม่มีโอกาสได้ค้างกับเธอเลย เพราะพนาคอยจับตาดูพฤติกรรมการไปกลับของน้องสาวทุกวัน ครั้นจะไม่มาส่ง ก็เกรงว่าผู้ปกครองหนึ่งเดียวของเธอจะตัดเขาออกจากความเป็นว่าที่น้องเขยและลูกเขยของบ้าน แต่ภารัณก็ชักจะหมดความอดทนแล้วจริง ๆ
เขาก็อยากนอนกอดยัยหนูบ้าง ทำไมไม่มีใครเข้าใจ
“ผมกันพี่ให้ปลอดภัยจากคนของพี่มาร์คได้นะ ติดตรงที่ว่าพี่คิดจะหลบพี่ชายผมจริงไหม หรือตั้งใจทำให้พี่ชายผมคลั่งเล่น” ภารัณถามขึ้น หรี่สายตามองคนตรงหน้าอย่างคนกำลังอ่านเกม
“ฉันจะไปอยากยุ่งกับพี่นายทำไม! ก็ได้…ถ้านายเคลียร์คนของพี่นายออกไปได้จริง ๆ ฉันจะให้อิสระน้องสาวอาทิตย์ละสองวัน” พนาโพล่งขึ้น
ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดที่ยอมรับข้อเสนอของภารัณ เพราะเขาเองก็ไม่อยากถูกประธานหนุ่มที่ชอบทำตัวโรคจิตอย่างมาร์คัสคอยจับตามองทุกฝีก้าวเช่นกัน
และถึงแม้ภารัณจะดูพูดไม่รู้เรื่องไปบ้าง แต่สำหรับพนาแล้วมาร์คัสพูดยากกว่าน้องชายเสียอีก แถมเขายังชอบทำอะไรตามใจ และไม่เลือกสถานที่อีกต่างหาก เวลาที่ไม่ได้เจอหน้ากัน มาร์คัสจึงส่งคนของตัวเองมาคอยติดตามดูพฤติกรรมของพนาไม่ขาด
และแม้พนาจะพยายามหลบหลีกอีกฝ่ายยังไง ก็ไม่เคยรอดพ้นสายตาคนของมาร์คัสได้เลย เขาคิดว่าการที่ภารัณเสนอตัวมาแบบนี้ คงจะมีวิธีเคลียร์คนออกไปได้จริง ๆ
“ถือว่าตกลงนะครับ ผมกลับล่ะ” ภารัณว่าอย่างชอบใจ แล้วกลับไปขึ้นรถทันที
‘แค่เคลียร์คน…โทรบอกพี่มาร์คก็ได้แล้ว’ ชายหนุ่มคิดแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม