(ฉ)พาะช่างขังรัก MDL STORY (SS2)
EPISODE 11
[ทางเลือกไม่มีแล้วนะ]
ณ มหาวิทยาลัย MDL
เมื่อใกล้สิ้นสุดเทอมที่หนึ่งนั่นหมายถึงฤดูกาลแลกเปลี่ยนของเด็กเฉพาะช่างMDLก็ใกล้จะจบลงเช่นกัน
ใต้ตึกเรียนและซุ้มหน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ วันนี้จึงเนืองแน่นไปด้วยนิสิตช่างวิศวะฯ รวมถึงกลุ่มของภารัณที่ลงมาจับจองพื้นที่ประจำสำหรับอ่านหนังสือเตรียมเข้าทดสอบก่อนจะกลับคืนวิทยาลัยในสัปดาห์หน้า ทำให้เหล่าสาว ๆ ต่างคณะได้โอกาสมานั่งยลโฉมพวกเขา ในลุคที่ขะมักขเม้นในการอ่านหนังสือ
“มึงทาดี ๆ” เจ้าของเส้นผมสีเทาควันบุหรี่ส่งเสียง ขณะสายตากวาดมองตัวหนังสือบนสมุดเลคเชอร์ที่บาสไปขู่เอามาจากหนอนหนังสือของห้องไปพลาง
“ถามจริง เฮียให้ไอ้สองมันทายาลดรอยสามเวลาหลังอาหารเพื่อ?”
ในที่สุดเส้นความความอดทนของต้นก็สิ้นสุดลง เมื่อเฮียรันใช้ไอ้สองทายาที่รอยแดงตรงต้นคออีกแล้ว นั่นทำให้สองพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะตอบเพื่อนรักด้วยเสียงเนือย ๆ
“เพราะเฮียรันจะให้มันหายก่อนห้าวันไงวะ”
ซึ่งคำตอบของสองทำให้ทั้งเดี่ยวและบาสต่างเงยหน้าขึ้นมามองไอ้เพื่อนรักทันที
“ทำไมวะ กูคิดว่ามึงอยากอวดว่ามีเมีย” เดี่ยวว่า มองหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ เพราะรู้ว่าภารัณไม่ชอบให้ใครมายุ่งหรือทำร่องรอยกับผิวนัก แต่ไอ้หมอนี่กลับยอมให้น้องคนสวยทิ้งรอยคิสมาร์คหราไว้ที่คอ แถมเดี่ยวยังรู้สึกว่าช่วงวันหยุดที่ผ่านมาไอ้ตัวดีน่าจะเปรมไม่น้อย วันนี้มันถึงได้อ่านหนังสือไปอมยิ้มไป
“ประเด็นคือถ้าหายก่อนห้าวัน เฮียรันได้ทำคืน” สองพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เนือยกว่าเดิม เพราะยอมใจกับความคิดของเฮียจริง ๆ นั่นทำให้บาสถึงกับเบิกตาโต
“โหย! เหี้ยมาก ไอ้เหี้ยรัน…มึงนี่มันชั่วจริง ๆ” บาสอดด่าไม่ได้
จนถึงตอนนี้เพื่อนเขาก็ยังไม่เลิกหาทางเอารัดเอาเปรียบน้องแม่ชีเลยสินะ เมื่อกลางวันตอนเจอกันที่โรงอาหารเขาเห็นนะว่าปากน้องคนสวยที่ถึงแม้จะมีลิปสติคเคลือบทับไว้ แต่มันก็มีรอยบวมแดงอยู่หน่อย ๆ
“มึงตั้งใจทาไป” ทว่าภารัณก็ยังคงยืนยันคำเดิมอย่างไม่สะทกสะท้านคำก่นด่าของบาสแต่อย่างใด
“วันหยุดมึงยังไม่อิ่มรึไงวะ มึงห่วงสภาพน้องเขาบ้างนะ ยิ่งดูบอบบางแบบนั้น” เดี่ยวเอ่ยเตือน ทำให้ภารัณช้อนสายตาคมมองเพื่อน
“มึงไปเคลียร์กับเอวาก่อน กูเห็นว่าน้องเขาเมินมึงอยู่” ภารัณย้อน ทำเอาเดี่ยวพูดไม่ออก
“ถามจริงไอ้รัน ทำไมพอเรื่องคนอื่นมึงดูหัวไวตลอดวะ”
“เฮียชมป่ะนั่น เหมือนจะบอกว่าพอเรื่องตัวเองเฮียรันเอาตัวไม่รอดเลย” ริวถามขึ้น ทำให้บิวอดหันไปตบกะบาลเพื่อนไม่ได้
เพียะ!
“เอ้า! มึงตบกูเรื่องไรวะ” ริวหันมาโวยวาย
“เขารู้กันหมดแหละ มึงจะพูดให้เฮียรันช้ำใจทำไม” บิวว่า ทำให้เพื่อน ๆ ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา
“มึงก็ย้ำพอกันไอ้บิว” ต๊อดแย้ง
“ไม่ได้บางขนาดนั้น…” ภารัณพึมพำ แล้วเบือนหน้าไปยังตึกคณะบริหารฯ ที่โต๊ะริมหน้าต่างสาวสวยที่มีดีกรีเป็นถึงดาวคณะก็กำลังมองมาที่กลุ่มเขาอยู่เช่นกัน นั่นทำให้ภารัณยกยิ้มบนมุมปากบางสวย ก่อนจะยกหลอดยาขึ้นแล้วขยับโบกมันไปมาใส่เธอ
“กวนตีน” เดี่ยวสบถ แต่สีหน้าของภารัณก็ยังคงไม่ทุกข์ไม่ร้อนเหมือนเดิม
“ถ้ากูเป็นน้องคนสวย กูจะเลิกกับมึง คนเหี้ยไรขยันแกล้ง” บาสอดด่าอีกไม่ได้
“นั่นดิ! ตอนที่รู้ว่าเฮียรันสนใจคนนี้ ผมยังคิดเลยว่าสภาพไม่น่าคบกันได้ การคบกับเฮียคือเธอต้องทำบาปมาแต่ชาติปางก่อนแหง ๆ” ต้นว่าราวปากไม่ได้เอาหูรูดมา ทำให้สองหันไปมองหน้าเพื่อน
“ยังไงวะ?”
“เอ้า! มึงคิดดูว่าเฮียเราก็…แบบนี้ แต่คนสวยอะนิสัยดีอย่างกับแม่ชีแบบนั้น นางฟ้ากับซาตานไม่น่ามาเจอกันนะว่าไหม ชีวิตบรรลัยง่ายนะเอาจริง” ต้นอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้สองเข้าใจมากขึ้น
แต่ว่า…มันฟังดูไม่บันเทิงหูเท่าไหร่นี่สิ
“ถ้ามึงไม่พูด…กูก็ไม่รู้”
ภารัณพึมพำมองหน้าต้นนิ่ง สีหน้าของเขาที่นิ่งขึ้นหลังจากที่ฟังต้นพูดจบ ทำให้บิวและต๊อดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ขยับตัวถอยห่างจากต้นอย่างอัตโนมัติ และต้นถึงกับลอบกลืนน้ำลายทันที
ท่าทางปากจะพาซวยแล้วสินะ!
“ปากหมา ๆ อย่างไอ้ต้นแม่งก็พูดไปเรื่อยแหละเฮีย อย่าไปถือสามันเลย พรุ่งนี้ผมจะซื้อตระกร้อมาครอบปากแม่งไว้” สองว่าทำลายความเงียบ
“นั่นดิเฮีย ยังไงก็คบกันไปแล้ว คนสวยก็ดูชอบเฮียจะตาย ใช่ไหมวะพวกมึง”
บิวว่าเสริม จู่ ๆ ไอ้ต้นก็เสือกพูดซะช็อตฟีลยกโต๊ะเลย แล้วดูสีหน้าเฮียรันดิ ครึ้มยิ่งกว่าท้องฟ้าตอนห่าฝนจะมาอีก
“ไอ้รันมึงไม่ได้คิดอะไรอยู่ใช่ไหมวะ” เดี่ยวถามขึ้น เมื่อเห็นไอ้เพื่อนตัวดีเงียบไป เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ในใจ
“เดี๋ยวกูมา” จู่ ๆ ภารัณก็ลุกพรวดขึ้น ทำเอาทุกคนได้แต่มองเขาอย่างงุนงง
“มึงจะไปไหน บ่ายมีเทสนะเว้ย” บาสร้องถาม เมื่อภารัณทำท่าจะไปจริง ๆ
“อืม” เขาครางรับแค่นั้น ก่อนจะเดินไปจริง ๆ
จากคำพูดของต้นทำให้ภารัณฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ‘เขาเลวมากจริง ๆ เหรอ’ การที่เธอต้องมาคบกับเขามันไม่สมควรจริง ๆ เหรอ หรือเขาจะมองข้ามอะไรบางอย่างไป เธอโอเคจริง ๆ ใช่ไหมกับการคบกันครั้งนี้
ชายหนุ่มสาวเท้ายาว ๆ ตรงไปยังคณะบริหารฯทันที มือก็ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมากดส่งข้อความถึงแฟนสาว
[RUN : ลงมาหน่อย]
อีกด้านหนึ่ง…บนตึกคณะบริหารฯ
เสียงเตือนข้อความเข้า ทำให้ฉันหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ก็พบว่าเป็นพี่ภารัณที่ส่งข้อความมา นั่นทำให้ฉันหันไปมองที่ซุ้มหน้าคณะวิศวะฯอีกครั้ง และเห็นว่าเจ้าของเส้นผมสีเทาควันบุหรี่ไม่ได้นั่งอยู่ที่นั่นแล้ว เขามีเรื่องอะไรหรือเปล่านะ
“พะแนงแกจะไปไหน” เอวาถามมา เมื่อเห็นฉันลุกขึ้น
“จะลงไปข้างล่างแป๊บอะ” ฉันว่า และเห็นว่ากลุ่มของปายเดินเข้ามาในห้องพอดี
“ตอนลมพัดมาทำให้ฉันรู้เลยว่าตัวพี่ภารัณหอมมากอะ แถมหน้าก็ใสมาก แกเห็นตอนที่เขายืนคุยกับยัยปายไหม คนหนึ่งโคตรหล่อ อีกคนก็สวยเท่ ออร่าความแฟนงี้กระจายมาก”
หนึ่งในกลุ่มเพื่อนของเธอพูดขึ้นอย่างออกรส ขณะที่กำลังเดินผ่านโต๊ะที่พวกฉันนั่งไป
“แกอย่าพูดไปเรื่อยสิ ใคร ๆ ก็พูดว่าช่วงนี้พี่เขาควงกับดาวคณะของเราอยู่ เธอได้ยินจะคิดมากเอานะ”
“อุ้ย! ฉันก็แค่พูดไปตามที่เห็นอะ ยัยปายของเราก็ฮอตใช่ย่อยนี่นา หนุ่ม ๆ มาขายขนมจีบอยู่ทุกวัน”
เมื่อมีคนเริ่มคนอื่น ๆ ก็ได้ทีผสมโรง และคำพูดที่ตั้งใจกระซิบกันเสียงดังนั้น ก็ทำให้คนในห้องลอบมองมาที่ฉันทันที
“ยัยพวก…” บีบีที่เหมือนจะหัวเสียแทนฉันกำลังจะหันไปพูดอะไรสักอย่าง ทำให้ฉันต้องรีบรั้งเธอไว้
“ไม่ต้องหรอกแก” ฉันพึมพำบอกบีบีที่ทำหน้าสีหน้าไม่พอใจชัดเจน เพราะรู้ว่ากลุ่มเพื่อนของปายตั้งใจจะพูดใส่ฉัน
ก่อนหน้านี้ที่ทุกคนยังไม่รู้ว่าฉันคบหากับพี่ภารัณ ปายก็ยังเข้ามาพุดคุยกับฉันอยู่บ้าง แต่พอกระทู้ข่าวในเพจของทางมหา’ลัยขึ้นแฮชแท็กว่า ‘แฟนเด็กช่าง’ และแนบรูปของเราสองคนคู่กัน สายตาของสาว ๆ ที่คอยตามกรี๊ดพี่ภารัณก็ไม่เป็นมิตรกับฉันอีกเลย ปายเองที่มีท่าทีสนใจในตัวพี่ภารัณอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่เข้ามาพูดคุยกับฉันอีก
“ไม่มีอะไรหรอกพะแนง พอดีว่าคุณพ่อเราต้องดีลงานกับMDL ท่านพูดถึงพี่ภารัณให้เราฟังบ่อย ๆ เราก็แค่พูดกับพี่เขาไม่กี่คำเรื่องงานเปิดตัวโปรเจ็คใหม่ของท่านน่ะ”
จู่ ๆ ปายก็พูดขึ้น ในตอนที่ฉันกำลังจะไปเจอพี่ภารัณ นั่นทำให้ฉันชะงักไปเล็กน้อย
“ไม่กี่คำอะไร แกคุยกับพี่เขาตั้งเยอะ หรือแกกลัวว่าคนอื่นจะเข้าใจผิด คิดว่าแกเป็นแฟนใหม่ของพี่ภารัณใช่ไหม โถ! แต่อย่าคิดมากเลยนะพะแนง พวกฉันแค่แซวยัยปายเล่นเฉย ๆ”
และเพื่อนสาวคนเดิมของเธอก็จงใจเติมเชื้อไฟไม่เลิก
การที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์จิกกัดระหว่างผู้หญิงด้วยกัน มันช่างเป็นความแปลกใหม่ของฉันจริง ๆ การคบกับคนที่เป็นที่ต้องการของคนหมู่มาก ฉันต้องมีภูมิต้านทานสูงขนาดไหนกันนะ
“พะแนงไม่คิดมากหรอก ได้เห็นว่าช่วงนี้พี่รันมีปฏิสัมพันธ์และพูดคุยกับคนรอบข้างมากขึ้น พะแนงว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนะ ก็ปกติ…พี่รันไม่ค่อยโต้ตอบกับใครนี่นา” ฉันหันไปพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะเผยยิ้มบางให้พวกเธอ แล้วหมุนตัวเดินออกมาทันที
บอกตรง ๆ ว่าฉันไม่ได้รู้สึกชนะกับคำพูดแค่นั้นหรอก แต่ฉันแค่อยากให้พวกเธอรู้ว่าฉันเองก็ไม่ใช่คนที่จะเงียบกับทุกการจิกกัดที่พวกเธอตั้งใจโจมตีใส่ฉันก็เท่านั้น
ถ้าไม่ได้สัมผัสถึงอีกมุมของพี่ภารัณ ก็อย่ามาพูดเหมือนรู้ดีกว่าฉันที่ใกล้ชิดกับเขาสิ ฟังแล้ว…มันน่าขำนะ!
เมื่อเดินลงมาถึงที่พักบันได ก็เห็นว่าเจ้าของร่างสูงโปร่งที่ซุกซ่อนความกำยำไว้ภายใต้เสื้อช็อปสีกรมท่ากำลังยืนรออยู่ที่ตีนบันได เขายกยิ้มเพียงมุมปากจาง ๆ อย่างที่ชอบทำส่งมาให้ จากตรงนี้เมื่อมองไปยังพี่ภารัณ ทั้ง ๆ ที่เห็นหน้ากันทุกวันทว่าฉันก็ยังไม่ชินกับความโดดเด่นของเขาอยู่ดี ผู้ชายที่ดูหล่อแต่ร้ายกาจแบบเขา เซ็กส์แอพพีลไม่เคยแผ่วเลย
และทุกครั้งที่รู้สึกแบบนั้น ฉันก็มักจะตั้งคำถามกับตัวเองขึ้นมา…ว่าเป็นฉันมันดีแล้วเหรอ
“ทำไมถึงมาล่ะคะ คิดจะอู้ไม่อ่านหนังสือรึไง พี่มีเทสบ่ายไม่ใช่เหรอ ตั้งใจหน่อยสิคะ” ฉันถามเขายืดยาวจนเหมือนตั้งใจกลบเกลื่อนความคิดเมื่อครู่ของตัวเอง และมันบ้าชะมัด!
“ทำไมพูดเยอะ” พี่ภารัณย้อนถาม สายตาคู่คมมองสบตาฉันนิ่งราวกำลังค้นหาคำตอบจากแววตาของฉัน
“แค่สองสามคำเองค่ะ ตกลงพี่มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันบ่ายเบี่ยง แล้วถามย้ำอีกครั้ง
“ไปคุยกันหน่อย” เขาว่า ในจังหวะที่สายลมพัดผ่านใต้ตึกอาคารที่ยกพื้นสูง มากระทบกับร่างของพี่ภารัณ ทำให้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ แสนคุ้นเคยลอยมากระทบโสตประสาทรับกลิ่นของฉัน
ตอนที่ได้กลิ่นครั้งแรกก็คิดว่ามันหอมดี แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันอาจจะหอมและมีเสน่ห์แฝงมากเกินไปแล้ว
“คุยที่ไหนคะ”
“ทางโน้นก็ได้”
พี่ภารัณบอกแล้วพาฉันเดินเลี่ยงมาคุยกันที่ข้างตึก ซึ่งมีสวนหย่อมและต้นไม้ประดับบดบังพวกเราจากสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา
“พูดมาสิคะ” ฉันถามทันที ในขณะที่พี่ภารัณนั่งลงบนหินประดับก้อนหนึ่ง เขายื่นมือมารั้งมือฉันไปจับไว้
“คบกันเหนื่อยไหม” น้ำเสียงทุ้มต่ำถามมา แวบแรกที่ได้ฟังทำหัวใจของฉันสะท้านวาบทีเดียว มันหมายความว่าอะไร เขามาเจอฉันเพื่อจะถามคำถามนี้งั้นเหรอ
“พี่ถามแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ หรือว่าพี่เพิ่งรู้ว่าการคบกันของเรามันทำให้พี่เหนื่อย” ฉันย้อนถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง มองสบตาพี่ภารัณนิ่ง
วันนี้เขาเพิ่งรู้เหรอว่าการคบกับใครสักคนมันทำให้เขาลำบาก เขาต้องการจะกลับไปยังจุดเดิมอย่างนั้นใช่ไหม
ให้ตายเถอะ!
“เปล่า แค่อยากรู้ว่าคบกันมันทำให้ลำบากมากไหม”
“พี่ลำบากเหรอคะ แต่พะแนงไม่กลัวว่าจะลำบากนะคะตราบใดที่พี่ยังดูแลพะแนงเป็นอย่างดี ถึงแม้ที่ผ่านมามันอาจจะมีเรื่องร้าย ๆ ที่ต้องเจอะเจอบ้าง แต่พะแนงก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ถ้าพี่จะปล่อยพะแนงไป เพราะกลัวว่าพะแนงจะเหนื่อยจะลำบาก พี่ดูถูกพะแนงมากนะ”
ฉันตอบเขาชนิดที่ไม่สามารถยั้งปากตัวเองไว้ได้ ขอบตามันร้อนผ่าวไปหมด แต่ก็พยายามจะกดความรู้สึกหนักอึ้งกับคำถามนั้นไว้ในใจ
ในเมื่อเลือกที่จะจับมือฉันแล้ว…ก็อย่าคิดจะปล่อยกันไปง่าย ๆ สิ
“ดี…เป็นผู้หญิงของภารัณมันไม่ง่าย” เขาพึมพำ ก่อนจะออกแรงรั้งตัวฉันให้ถลาลงมานั่งบนตักเขา วงแขนแกร่งสวมกอดเอวฉันไว้หลวม ๆ
“อย่ามากอด พี่พูดให้รู้เรื่องก่อน” ฉันบอกคนที่เกยคางลงบนหลังไหล่
“ถ้าพี่ไม่ตาย หนูก็ไม่มีสิทธิ์ไปไหน ไม่ว่าจะต้องร้องไห้เสียใจ หรือเป็นสุขแทบตาย…แต่ทางเลือกของหนูมันไม่มีแล้วนะ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำนุ่มลึกของพี่ภารัณกระซิบบอกข้างหู แน่นอนว่ามันฟังดูยโสโอหังและเอาแต่ใจเสมอ ทว่าถ้อยคำนั้นกลับทำให้ฉันยิ้มออกมาเสียได้
“อืม…ถ้าพะแนงไม่กลัว พี่ก็อย่าคิดมากนะ” ฉันขยับตัวหันไปบอกเขา ทำให้พี่ภารัณถอนใบหน้าหล่อเหลาถอยห่าง สายตาคู่คมมองสบตาฉันนิ่ง ก่อนที่เรียวปากบางสวยจะยกยิ้ม จนแววตาเปล่งประกายระยับให้เห็น
“ทำไมรู้ดี…” เขาพึมพำก่อนจะแนบเรียวปากลงบนริมฝีปากฉันกว่าอึดใจ โดยที่ไม่ได้รุกรานอะไรฉันมากไปกว่านี้ ทว่าการกระทำเพียงแค่นั้นกลับทำให้หัวใจของฉันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมามากโขเลย