ตอนที่ 1
พอยามเช้าของวันใหม่มาเยือนเพรียวที่ยอมรับว่าตนเองคือไฉ่หนิงกงจู่หรือก็คือองค์หญิงขั้นหนึ่งของอาณาจักรต้าเหลียงไปแล้วก็ตื่นมาด้วยความสดชื่นร่างกายของเด็กสาววัยสิบหกหนาวนี้ช่างดียิ่งถึงจะยังเคล็ดขัดยอกอยู่มากจากการถูกบุรุษร่วมรักอย่างป่าเถื่อนแต่พอได้ดื่มยากับนอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ก็ไม่ได้ย่ำแย่ถึงขนาดนั้น เมื่อนึกย้อนไปว่าชาติก่อนตนเองมัวแต่ทำงานจนลืมดูแลสุขภาพกว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ววันนี้ซ่งไฉ่หนิงจึงเริ่มวันใหม่ด้วยโยคะที่ตนเองเคยฝึกในช่วงพักรักษาตัวบนเตียงก่อนเป็นอันดับแรกชีวิตใหม่ร่างกายใหม่นางจะใช้มันให้ดีและรู้คุณค่าอย่างถึงที่สุด!
เพล้ง! โครม!
“ว้าย! องค์หญิงทำอันใดเพคะ!?”จงอี้ผิงที่เข้ามาพร้อมอุปกรณ์ล้างหน้าทำความสะอาดร่างกายของไฉ่หนิงกงจู่ถึงกับกรีดร้องเมื่อได้เห็นภาพบนเตียงที่ผู้เป็นนายลุกขึ้นมาทำท่าทางแสนแปลกประหลาดและไม่น่ามองชวนเสียวไส้ยิ่งนัก
“เกิดอันใดขึ้นอี้ผิง องค์หญิงเป็นอันใดไป?!”
‘กู่หลีจิ้ง’ขันทีวัยยี่สิบหนาวที่รับใช้ใกล้ชิดร่วมกับนางกำนัลจงอี้ผิงเมื่อได้ยินสหายสนิทรุ่นน้องกรีดร้องเอะอะโวยวายพร้อมกับเสียงข้าวของตกหล่นโครมครามกระจัดกระจายเขาเองก็วิ่งพลวดพลาดเข้ามาด้วยใบหน้าแตกตื่นอีกคน
“หยุด! เปิ่นกงจู่ไม่ได้เป็นอันใด เพียงแค่ยืดเส้นยืดสายเท่านั้นเปิ่นกงจู่นอนติดเตียงมาตั้งสองวันสองคืนย่อมปวดเมื่อยเป็นธรรมดา”
ซ่งไฉ่หนิงนั้นพยายามเลียนแบบวิธีการพูดของเจ้าของร่างคนเก่าให้ได้มากที่สุดแต่เกรงว่าจะไม่เหมือนอยู่ดีเพราะในอดีตนั้นหากไม่พอใจไม่มีวันที่ไฉ่หนิงกงจู่นั้นจะพูดอธิบายอันใดให้กับเหล่านางกำนัลหรือขันทีคนสนิทได้เข้าใจกระจ่างเช่นที่นางทำลงไปเมื่อครู่มีแต่จะด่ากราดออกไปเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าที่ซ่งไฉ่หนิงในอดีตเป็นคนเช่นนั้นล้วนถูกจางกุ้ยเฟยนั้นคอยเสี้ยมสอนว่าคนเหล่านี้ต่ำต้อยและไร้ค่าไม่คู่ควรต้องพูดจาดีด้วยหากไม่พอใจก็เฆี่ยนตีลงโทษหรือหากลงโทษแล้วยังไม่หลาบจำก็แค่ปลดหรือประหารไปเสียก็สิ้นความดังนั้นเหตุการณ์ในวันนี้หากเป็นซ่งไฉ่หนิงในอดีตกู่หลีจิ้งกับจงอี้ผิงคงโดนกระโถนปัสสาวะปาใส่ศีรษะแล้วเป็นแน่ไม่มีทางพูดจาด้วยดีเช่นนี้
“เอาน้ำมาตรงนี้เถอะ”
หลังจากจงอี้ผิงวิ่งกลับไปนำน้ำล้างหน้ามาใหม่แล้วซ่งไฉ่หนิงจึงเรียกให้อีกฝ่ายยกมาวางตรงริมหน้าต่างเพื่อที่ตนเองจะได้ทำธุระได้สะดวกไม่หกเลอะเทอะภายในห้องให้เหล่านางกำนัลกับขันทีต้องทำงานหนักซ้ำซาก
“เปลี่ยนชุดให้เปิ่นกงจู่หน่อย เปิ่นกงจู่อยากออกไปกินมื้อเช้ารับแสงแดดยามที่ศาลาด้านหน้าตำหนักเช้าสักครู่”
ไม่ตะโกน ไม่ดุด่าแต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงโทนนุ่มนวลทำเอากู่หลีจิ้งกับจงอี้ผิงนั้นแอบมองหน้ากันอยู่บ่อยครั้งเพราะนับตั้งแต่องค์หญิงซ่งไฉ่หนิงของพวกตนนั้นฟื้นขึ้นมาเมื่อวันก่อนก็เปลี่ยนไปมากจริง ๆ ทั้งกิริยาและวาจาต่อให้ยังแทนตนเองว่า‘เปิ่นกงจู่’เช่นเดิมแต่กลับไม่เหมือนเดิมอย่างชัดเจนแค่กิริยาสุขุมคิดก่อนจะพูดของซ่งไฉ่หนิงนั้นก็ผิดหูผิดตาคนสนิทมากล้นแล้ว
“จะดีหรือเพคะ” จงอี้ผิงท้วงขึ้นด้วยกิริยากล้า ๆ กลัว ๆ เพราะแต่ไหนแต่ไรไฉ่หนิงองค์หญิงไม่ชอบที่สุดก็คือบ่าวไพร่ที่ขัดใจแต่วันนี้นางกังวลว่าอีกฝ่ายจะสร้างเรื่องจนฮ่องเต้โกรธเพิ่มจึงจำใจต้องเปิดปากทัดทาน
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
กู่หลีจิ้งก็กังวลว่าหากซ่งไฉ่หนิงออกไปด้านนอกแล้วเกิดคิดจะหลบหนีไปพบหน้าฉู่อ๋องที่ตำหนักนอกเมืองฮ่องเต้ต้องพิโรธจนหนวดหงอกอีกหลายเส้นเป็นแน่
“เช่นนั้นก็เปลี่ยนเป็นแค่เฉลียงด้านข้างตำหนักเท่านั้นก็พอเปิ่นกงจู่ไม่คิดหลบหนีไปที่ใดหรอกน่าอย่ากังวลนักเลย”
ซ่งไฉ่หนิงเอ่ยออกมาราวกับเข้าไปนั่งอยู่กลางใจของสองคนสนิทอย่างไรอย่างนั้นทำเอากู่หลีจิ้งและจงอี้ผิงต่างเหลียวมองหน้ากันเลิ่กลักเพราะองค์หญิงของพวกเขาเปลี่ยนไปมากจริง ๆ
“เร็วเข้าเถอะประเดี๋ยวจะสายแดดจะแรงเกินไปชมดอกไม้ก็ไม่รื่นรมย์แล้ว”
หลังจากทำใจได้ว่าคนเองถูกดูดเข้ามาในโลกเสมือนนิยายที่ตนเคยเองแต่งขึ้นมาอยู่เกือบแปดส่วนได้แล้ว ซ่งไฉ่หนิงนั้นก็คิดได้ว่าตนเองจะไม่ยอมมีจุดจบเช่นในนิยายที่ตนเองเขียนเป็นแน่ แล้วการที่นางจะวิ่งไปหาคนเช่นกงหยวนฉีก็ไม่ใช่หาเรื่องตายเร็วให้ตนเองหรือไรเล่า?
“หลีจิ้งยาห้ามครรภ์นี้อันตรายเพียงใดแล้วป้องกันการตั้งครรภ์ได้แน่นอนเพียงใดหากเปิ่นกงจู่นั้นจะดื่มมันในวันนี้”
คิดอย่างถี่ถ้วนแล้วนางก็ตัดสินใจป้องกันไม่ให้ตนเองเกิดตั้งครรภ์เพราะหากเกิดตั้งครรภ์เรื่องก็จะยุ่งยากเพิ่มขึ้นและหากไม่ต้องการตั้งครรภ์นางก็ต้องหายามาดื่มแต่ก่อนจะดื่มนางจะต้องรู้เสียก่อนว่ายานั้นอันตรายมากน้อยเพียงใดและหากดื่มไปในยามนี้ยังจะพอได้ผลอยู่หรือไม่เพราะยาคุมกำเนิดในยุคที่นางตายจากมามันก็ยังมีช่วงเวลาจำกัดแล้วนี่เลยมาตั้งนานแล้วนับดูก็คงร่วมสามวันแล้วมันจะได้ผลหรือไม่ยังคิดลังเลคงมีเพียงปรึกษากับขันทีที่น่าจะรู้เรื่องภายในวังหลังดีที่สุดเช่นกู่หลีจิ้งจึงกระจ่างที่สุด
“อันใดนะพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงต้องการจะดื่มยา?”