ประโยคแรกที่ออกจากปากของร่างสูงสง่าในชุดสูทเรียบกริบทำให้หญิงสาวชาตั้งแต่ปลายคางถึงฝ่ามือราวกับโลกทั้งโลกหมุนคว้างก่อนเธอต้องรีบดึงสติตัวเองกลับ และเมื่อเขาก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้า นั่นเองทำให้เธอรู้ว่านี่คือโลกแห่งความจริง
“พี่โอม...”
“ผมชื่อชาครินท์”
ชายหนุ่มตอบเสียงหนักแน่นพร้อมทั้งหรี่นัยน์ตาสีสนิมเหล็กเข้มบนใบหน้าหล่อเหลาบาดจิต ใช่เขา...ชาครินทร์ ว่าที่เจ้าบ่าวที่หนีหายไปในวันนั้น แววตาคู่งามสะท้อนความวาดหวังแต่แล้วริมฝีปากจิ้มลิ้มที่กำลังจะคลี่ออกกลับราบเรียบลงในทันใดเมื่อเขากล่าวต่อจากนั้นว่า
“ผมชื่อชาครินทร์ บรินทร์รามพิพัฒน์”
“พี่โอม...”
“และผมก็ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล นี่คือนามสกุลที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด”
คำตอบนั้นทำให้หญิงสาวย่นคิ้ว เธอส่ายหน้าไปมาช้าๆ “แต่เมื่อก่อนพี่โอมนามสกุลไพศาลพิพัฒน์...พี่โอม...จำไม่ได้หรอกเหรอคะ”
ชาครินทร์แค่หยัดมุมปากขึ้น “ชีวิตของคนเรามีเรื่องราวตั้งมากมาย ใครจะไปจำได้หมดทุกฉากทุกตอน”
“แม้แต่งานแต่งของเรา...วันที่เราแต่งงานกัน...อย่างนั้นเหรอคะพี่โอม”
แล้วอัยย์ญาดาก็ร้องไห้ออกมา น้ำตาไหลพรากเหมือนวันที่เธอสวมชุดเจ้าสาวและยืนร่ำไห้กับมารดาภายในห้องแต่งตัวของโรงแรมหรูเมื่อรู้ว่าเจ้าบ่าวไม่มาเข้าร่วมพิธีวิวาห์โดยไม่มีใครรู้เลยว่าเขาหายไปไหน ทุกคนต่างเข้ามาปลอบใจเพราะเมื่อไม่มีเจ้าบ่าวงานจึงล่มโดยปริยาย ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวรู้ว่านอกจากเธอต้องแบกรับความช้ำชอกใจที่ต้องกลายเป็นนางสายบัวแล้วยังต้องเผชิญกับการเป็นแม่ที่ต้องอุ้มท้องไม่มีพ่อ หญิงสาวไม่อาจเก็บกลั้นเสียงสะอื้นไห้ แต่แล้วหัวใจดวงนั้นต้องแตกสลายลงอีกครั้งเมื่อชาครินทร์ตอกย้ำแผลลึกด้วยการกล่าวอย่างสิ้นเยื่อขาดใยว่า
“จำได้สิ...ทำไมจะจำไม่ได้ เรื่องสำคัญขนาดนั้น”
“ถ้ามันสำคัญ แล้ววันนั้นพี่โอมหายไปไหน”
“มันไม่มีความจำเป็นที่เราต้องอธิบายในสิ่งที่ไม่อยากอธิบายให้ใครรู้นี่ไม่ใช่หรือ”
เสียงนั้นเย็นชาไม่มียี่หระต่อน้ำตาของคนที่ยืนตรงหน้า อัยย์ญาดาเข่าอ่อนแทบทรุด เขาใจร้ายเหลือเกิน ทั้งสีหน้าและแววตาปราศจากเยื่อใยอาวรณ์ต่อกันแม้แต่น้อย แม้เวลาล่วงเลยมานานถึงห้าปีแต่ชาครินทร์ไม่ควรแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อคนที่เขาเคยบอกว่ารักมาก เขาเห็นเธอเป็นอะไรกันแน่ ปากจิ้มลิ้มสั่นระริกและซีดลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วหญิงสาวก็หลงลืมตัวเข้าไปดึงแขนเสื้อสูทไว้แน่นทั้งน้ำตาหยดไหล
“ทั้งที่วันนั้นเป็นวันแต่งงานของเราอย่างนั้นเหรอคะพี่โอม อัยย์แค่อยากรู้เท่านั้น แค่อยากรู้เท่านั้นว่าวันนั้นพี่โอมหายไปไหน”
“ขอโทษที...คุณต้องการสมัครงานที่นี่ในตำแหน่งเลขานี่ไม่ใช่หรือ”
ชาครินทร์ดึงมือบางที่เกาะกุมแขนเสื้อของเขาออกอย่างเยือกเย็น...ไม่หรอก นั่นคือการแสดงออกซึ่งความเลือดเย็นของผู้ชายคนหนึ่งที่เคยทิ้งเจ้าสาวของเขาไปอย่างไม่ไยดีต่างหาก อัยย์ญาดารู้สึกตัวเองราวกับถูกบีบและฉีกออกนับล้านชิ้นด้วยแววตาและท่าทีห่างเหินของบุรุษตรงหน้า เธอเหมือนเรือที่อับปางลงกลางมหาสมุทรและจมลึกจนแทบไม่เห็นซาก
ถึงเวลานี้หญิงสาวคิดอย่างเจ็บปวดว่าตายจากกันยังดีกว่าต้องมาแบกรับความเจ็บช้ำไม่สิ้นสุด ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมเช่นไร สายน้ำก็ไม่มีวันไหลหวนคืนเช่นนั้น ร่างเล็กบอบบางขยับออกห่างขณะลู่ไหล่ลงอย่างสิ้นหวัง น้ำตายังไม่เหือดแห้งหากก็ไม่อาจหักห้ามมันไว้ได้ต่อหน้าคนใจร้ายที่มองเธอราวก้อนกรวดทรายต้อยต่ำ อัยย์ญาดาพยักหน้ารับช้าๆ
“ค่ะ...ดิฉันมาสมัครงานเลขา”
“แล้วรู้หรือเปล่าว่าเลขามีหน้าที่อะไรบ้าง”
“ทราบค่ะ”
“ซึ่งคงไม่ใช่การหันหลังให้เจ้านายอย่างที่คุณทำอยู่ตอนนี้!”
ชาครินทร์ลั่นเสียงใส่เมื่ออัยย์ญาดาตัดสินใจที่จะเดินออกจากห้องด้วยการหันหลังให้แต่กลับถูกเขากระชากไหล่บางให้หันกลับมาเผชิญหน้าอีกครั้ง ร่างเล็กออกอาการตระหนกเมื่อเห็นนัยน์ตาสีสนิมเหล็กเข้มคลั่ก เขาขบกรามและโน้มใบหน้าเครียดจัดลงไปใกล้
“และงานอย่างแรกที่คุณต้องเรียนรู้ไว้นั่นคือการเรียกเจ้านายของคุณว่า ท่านประธาน!”
“พี่โอม...”
“ไม่มีคนชื่อนั้นที่นี่! คนคนนั้นตายไปแล้วจากโลกนี้ และคุณจะไม่มีวันได้พบเจอเขาอีก”
“ค่ะ...ที่นี่ไม่มีคนที่อัยย์รู้จัก และในเมื่อไม่มีเขา ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่อัยย์จะต้องอยู่”
“คุณต้องอยู่ที่นี่สิ อัยย์ญาดา”
คิ้วโก่งเหนือดวงตาคู่สวยขมวดมุ่น “หมายความว่ายังไงที่ฉันต้องอยู่”
“คุณต้องอยู่ที่นี่ในฐานะ...คนของผม”
“คนของคุณ” หญิงสาวทวนคำนั้น “ไม่หรอกนะคะ ฉันมีสิทธิ์ที่จะกลับออกไปตอนนี้เพราะฉันไม่ได้มีพันธะอะไรกับที่นี่ คุณเองก็ยังไม่ได้รับฉันเข้าทำงานด้วยซ้ำ”
“ลืมไปแล้วหรือว่าก่อนที่คุณจะมาพบผมคุณทำอะไรไปบ้างกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล”
พอได้ยินเช่นนั้นทำให้ร่างเล็กถึงกับเงียบไปก่อนแววระลึกได้ฉายชัดในดวงตาคู่งาม ใช่...เธอลงลายเซ็นในเอกสารฉบับหนึ่งโดยไม่ได้ถามไถ่เลยว่ามันเป็นหนังสืออะไร คิดอย่างเดียวเท่านั้นว่าได้งานใหม่ทว่าตอนนี้มันกลับกลายเป็นเหมือนกับดักที่เธอกลายเป็นเหยื่อ และยังไม่ทันจะตอบอะไรกลับไปชาครินทร์กลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน