ตอนที่ 1
เธอต้องเข้มแข็งมากแค่ไหนกับการที่ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อชดใช้ความแค้นให้ชาครินทร์ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส เธอไม่เคยรู้อดีตของเขา แต่เมื่อกลายเป็นเจ้าสาวที่ถูกทิ้งเธอก็จะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อหัวใจอีกดวง เพื่อที่จะบอกยอดดวงใจของเธอว่า ป๊ะป๋ายังรักหนูน้อยไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“น้องเอ๋ย...ลูกนั่งรอแม่จ๋าตรงนี้นะคะ”
เจ้าของใบหน้ารูปไข่ใต้กรอบเรือนผมยาวดำขลับเป็นมันเงารวบตึงไว้ด้านหลังเผยความงามหมดจดไร้เมคอัพบนแก้มใส นัยน์ตากลมโตเป็นประกาย จมูกเล็กรั้นรับกับริมฝีปากเป็นกระจับเคลือบกลอสสีชมพูอ่อนภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวแต่งระบายและกระโปรงยาวเลยเข่าทำให้ร่างเล็กบอบบางดูเรียบร้อยปราศจากความจัดจ้านก้มลงเอ่ยเสียงนุ่มกับเด็กหญิงตัวน้อยผิวขาวอมชมพูในเสื้อสเว็ตเตอร์เนื้อบางและกางเกงยีนส์ลายการ์ตูนซึ่งทั้งสองยืนตรงโถงทางเดินภายในตึกด้านหน้าห้องติดป้าย ฝ่ายบุคคล เด็กหญิงแก้มอิ่มเงยหน้าขึ้นถามว่า
“แม่จ๋าจะไปไหน?”
“แม่จ๋าจะเข้าไปยื่นเอกสารสมัครงานในห้องนี้ค่ะ”
“อืม...”
หนูน้อยเอามือแหย่รูหูและนิ่วหน้าก่อนหันไปมองบานประตูด้านหลังแล้วหันกลับมายังร่างบอบบางตรงหน้าอีกครั้ง
“เมื่อกี๊ แม่จ๋าก็บอกน้องเอ๋ยแบบนี้”
“แต่ที่นี่เป็นที่ใหม่นะคะ แม่จ๋ามาสมัครงานที่ใหม่ ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะคะ”
อัยย์ญาดาย่อตัวลงพลางจับไหล่บอบบางของอรินลดาไว้ หนูน้อยทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจซึ่งเธอก็รู้ดีว่าลูกสาวอายุเพียงสี่ขวบกว่าคงเหนื่อยที่ต้องติดสอยห้อยตามแม่มาสมัครงานตามโรงแรมต่าง ๆ ซึ่งวันนี้เธอตระเวนพาลูกไปด้วยไม่ต่ำกว่าห้าแห่ง แต่มันก็จำเป็นเพราะแม่ของเธอนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทำให้เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพาลูกไปตามที่ต่าง ๆ ซึ่งมันคงปลอดภัยกว่าการจะทอดทิ้งให้ลูกสาวตัวเล็กอยู่บ้านเพียงลำพัง และสำหรับตัวเธอเองถึงจะเหนื่อยแค่ไหนหากก็ต้องยิ้มเข้าไว้แต่อรินลดาถอนหายใจและทำหน้ามุ่ย อัยย์ญาดาจูบหน้าผากลูกน้อยก่อนบอกว่า
“เสร็จจากที่นี่เราจะกลับบ้านกันนะคะ แม่จ๋าสัญญา”
“แม่จ๋า...น้องเอ๋ยหิวขนม”
“ค่ะ...เสร็จแล้วแม่จ๋าจะพาน้องเอ๋ยไปกินขนมอร่อยๆ แล้วเรากลับบ้านกันนะคะ”
อรินลดาพยักหน้าและวิ่งไปนั่งบนเก้าอี้หน้าห้องนั้นแต่โดยดี อัยย์ญาดายืดลำตัวขึ้นยืนและก้มลงมองซองเอกสารสีน้ำตาลในมือด้วยความหวังเล็ก ๆ หลังตระเวนยื่นใบสมัครงานเป็นเลขานุการมาแล้วหลายแห่งเป็นเวลานับเดือนแล้วแต่ก็ยังไม่มีที่ไหนตอบรับ บางแห่งสัมภาษณ์แต่กลับไร้วี่แววโทรกลับซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่เธอไม่ได้รับการพิจารณาอาจเป็นเพราะว่าเธอมีเรือพ่วง
อรินลดา หรือน้องเอ๋ย
ลูกสาวคนเดียวและเป็นสิ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่จากหมอกควันแห่งความรัก เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความผูกพันจากเถ้าถ่านความฝันที่ไม่เคยมอดดับแม้ว่า ใครคนนั้น คนที่ทิ้งเธอไปกลางคันในวันแต่งงานตอนอัยย์ญาดาอายุเพียงสิบแปดจะไม่เคยติดต่อกลับมา ไม่เคยกลับมาให้เห็นหน้าและไม่เคยรู้ว่าได้ทิ้งเชื้อไฟแห่งความผูกพันไว้กับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งทุกคืนวันต้องอยู่ท่ามกลางความเดียวดาย หวั่นกลัวและหัวใจแตกสลายเมื่อถูกว่าที่เจ้าบ่าวทอดทิ้งไป เหลือเพียงโซ่ทองเส้นน้อยที่ยึดเหนี่ยวหัวใจของอัยย์ญาดาไว้เพื่อให้เธอมีลมหายใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อลูกเพียงคนเดียว
ร่างเล็กบางก้าวเข้าไปในห้องทำงานฝ่ายบุคคลซึ่งในขณะนั้นมีผู้หญิงอายุประมาณยี่สิบปลาย ๆ นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวใหญ่เพียงคนเดียวเงยหน้าขึ้นมองอัยย์ญาดาที่ยกมือไหว้และเอ่ยว่า
“สวัสดีค่ะ...คือ...ดิฉันมาสมัครงานค่ะ”
“หืมม์?” อีกฝ่ายเลิกคิ้วและก้มลงดูเวลาบนหน้าจอมือถือ “สมัครงานเหรอคะ...ตอนนี้เกือบห้าโมงแล้วนะคะเนี่ย ออฟฟิศปิดแล้วล่ะค่ะ”
“รบกวนรับใบสมัครงานไว้หน่อยได้ไหมคะ คือว่า...ดิฉันพึ่งมาจากอีกโรงแรมน่ะค่ะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ”
อัยย์ญาดาหน้าซีดลงขณะพนักงานสาวทำสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดและพิจารณา หล่อนมองคนที่มาสมัครงานตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า และเวลาเดียวกันนั้นเองหน้าห้องฝ่ายบุคคลขณะเด็กหญิงนั่งรอบนเก้าอี้ก็หันซ้ายหันขวาเห็นว่ามารดายังไม่ออกมาจึงล้วงหยิบอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกง มันเป็นลูกแก้วในถุงตาข่ายที่รบเร้าให้แม่จ๋าซื้อให้เมื่อวาน อรินลดาใช้ความพยายามแกะมัน
“อุ๊ย!”
เด็กหญิงอุทานและทำตาโตด้วยความไร้เดียงสาหนูน้อยฉีกตาข่ายบางออกทำให้ลูกแก้วนับสิบร่วงลงพื้นและกระเด็นกระดอนไปทั่ว ร่างเล็กเลื่อนตัวลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งตามเก็บลูกแก้วเล็ก ๆ ที่กลิ้งไปบนพื้น แต่แล้วเมื่อกำลังจะเอื้อมเก็บลูกสุดท้ายที่กลิ้งไปไกลก็ต้องชะงักเมื่อมีมือของใครคนหนึ่งหยิบของเล่นนั้นไว้ อรินลดาเงยหน้าขึ้น นัยน์ตากลมใสสะท้อนภาพร่างสูงใหญ่และใบหน้าคร้ามคมขณะโน้มตัวลงมาและถามว่า
“นี่ของหนูเหรอ?”
“ช่ายค่ะ...ขอหนูนะ”
เด็กหญิงแบมือเล็ก ๆ ออกจุดรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาและประกายนุ่มนวลในดวงตาสีสนิมเหล็กใต้ปื้นคิ้วดำหนา อรินลดาจ้องมองบุรุษร่างสูงสง่าตรงหน้าที่ยื่นลูกแก้วกลับมาทว่าเขายังไม่ยอมส่งมันให้เด็กน้อยก่อนตั้งคำถามว่า
“แล้วนี่หนูมาทำอะไรที่นี่ หนูมาคนเดียวหรือ?”