อรินลดาตอบอย่างไร้เดียงสาหากทว่าอัยย์ญาดากลับตระหนกต่อคำพูดแสนซื่อนั้น เธอนิ่งนึกแต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าลูกสาวได้เจอกับ คนคนนั้น ตอนไหน แต่ตอนนี้สำคัญเหนืออื่นใดคือเธอเริ่มเกิดความหวั่นกลัวแต่รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติและหันไปพูดกับป้าเฟื่องฟ้าว่า
“ถ้าอย่างนั้นหนูขอลากลับก่อนนะคะ”
“จ้ะ...แล้วถ้าเกิดว่ามีธุระปะปังจะไปไหนก็เอาน้องเอ๋ยมาฝากไว้กับป้าก่อนก็ได้นะจ๊ะ”
หญิงสาวยกมือไหว้อีกครั้งก่อนจูงมือลูกสาวตัวน้อยแล้วเดินลิ่วกลับบ้านด้วยความเร่งรีบจนเด็กหญิงต้องยกมือเกาหัวแล้วถามว่า
“แม่จ๋า...แม่จ๋าเดินช้าๆ...น้องเอ๋ยเดินไม่ทัน”
“ถ้าอย่างนั้นแม่จ๋าอุ้มน้องเอ๋ยก็แล้วกันนะ”
อัยย์ญาดาช้อนร่างน้อยขึ้นอุ้มแล้วเดินกลับบ้านด้วยอาการลุกลี้ลุกลนแต่อรินลดาอ่อนเดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจความรู้สึกของแม่ว่าตอนนี้หัวใจดวงนั้นทั้งหวาดหวั่นแต่ตื่นตกใจมากแค่ไหน ทุกอย่างเหมือนวงกลม วุ่นวนและทำให้เธอสับสนจนแทบควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ถ้าเป็น เขา จริง ๆ แล้วเขาจะนึกเอะใจหรือไม่ ถ้าไม่รู้ก็แล้วไปแต่ถ้าเกิดเขารู้ขึ้นมาจะเกิดอะไรต่อไปในเมื่อเธอไม่อาจหยั่งเห็นความคิดของใครคนนั้นซึ่งบัดนี้แตกต่างไปจากคนคนเก่าที่เธอเคยรู้จักลิบลับยิ่งกว่าฟ้ากับเหว หญิงสาวน้ำตาคลอหน่วยขณะเดินเข้าบ้านซึ่งเป็นทาวเฮาส์ชั้นเดียวที่ครอบครัวย้ายมาอยู่ได้เกือบสามปี เมื่อปิดประตูลงกลอน มันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาได้เล็กน้อยโดยไม่รู้เลยว่ากำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่
“น้องเอ๋ย...บอกแม่จ๋าหน่อยได้ไหมคะว่าน้องเอ๋ยเจอ...เอ้อ...คนที่น้องเอ๋ยเรียกป๋าโอม...ที่ไหน”
อัยย์ญาดาตั้งคำถามเมื่อพาลูกน้อยเข้าไปในห้องและจับอรินลดานั่งบนตัก กอดลูกไว้ด้วยความรักสุดหัวใจ ทำอย่างกับว่ากลัวเลือดเนื้อของเธอจะลอยหายไปเสียตอนนี้ อรินลดากอดคอมารดาไว้และตอบด้วยเสียงใส
“น้องเอ๋ยเจอป๋าโอม...ตอนแม่จ๋าเข้าไปในห้องนั้น”
“ค่ะ...โอเค...แล้วเขาพูดอะไรกับน้องเอ๋ยบ้าง”
หนูน้อยทำท่าคิดก่อนตอบ “เขาถามว่าแม่จ๋าไปไหน น้องเอ๋ยบอกว่า แม่จ๋าเข้าไปในห้องนั้น”
“ค่ะ...แล้วเขาพูดอะไรอีกไหม”
“เขาบอกว่าน้องเอ๋ยอย่าซน”
“เหรอคะ...เขาพูดอะไรอีกไหม”
“เขาบอกว่า...เขาชื่อโอม...น้องเอ๋ยเลยบอกว่า ชื่อเหมือนป๊ะป๋าของน้องเอ๋ย”
“แม่จ๋าได้ยินน้องเอ๋ยเรียกเขาว่า ป๋าโอม”
“เขาให้น้องเอ๋ยเรียกป๋าโอมค่ะแม่จ๋า”
“ลูกแม่”
อัยย์ญาดาเผลอกอดลูกรักไว้แนบอกโดยเด็กหญิงไม่รู้เลยว่ามารดาน้ำตาหยดลงบนแก้ม หญิงสาวรู้สึกราวกับหัวใจดวงนั้นลอยหายและแทบกลั้นสะอื้นไม่อยู่หากไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าบ้านเสียก่อนพร้อมกันกับที่อรินลดาพูดขึ้นว่า
“แม่จ๋า...ใครมา?”
หญิงสาวรีบปาดน้ำตากลัวลูกสาวจะเห็น เธอยกหนูน้อยลงจากตักให้นั่งบนเตียง
“เดี๋ยวแม่จ๋าออกไปดูก่อนนะคะว่าใครมา”
ร่างเล็กบอบบางลุกขึ้นและเดินกลับออกไปที่ห้องรับแขก เธอไม่ได้ยินเสียงเคาะซ้ำแต่ก็รีบเปิดประตูเพราะคิดว่าอาจเป็นป้าเฟื่องฟ้าเอาของมาให้ทว่าเมื่อบานประตูเปิดออกทำให้หญิงสาวถึงกับชะงักตาเบิกกว้าง
“ชาครินทร์!”
อัยย์ญาดาผงะนิ่งเมื่อสิ่งที่ไม่คาดฝันและไม่คาดหวังให้เกิดขึ้นอุบัติตรงหน้า ไม่ใช่ป้าเฟื่องฟ้าแต่กลับเป็นร่างสูงใหญ่ของบุรุษนัยน์ตาสีสนิมเหล็กเข้มยืนค้ำร่างเล็กที่สูงแค่บ่าของเขา และเมื่อเห็นหญิงสาวชาครินทร์จึงเลิกมุมปากขึ้นคล้ายยินดีต่อความสำเร็จของตัวเองแต่สำหรับอัยย์ญาดามันคือการถากถางเย้ยเยาะมากกว่าเป็นอย่างอื่น เธอเกือบหลุดปากเรียกเขาดังที่เคยเรียกแต่กลืนเก็บมันเข้าไปในอกได้ทันและเพียงถามทั้งที่มือเย็นเฉียบเริ่มสั่นว่า
“คุณชาครินทร์...คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
“ผมแค่อยากรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน ก็เลยตามมา”
ชายหนุ่มตอบเสียงราบเรียบทว่ากลับมองข้ามไหล่หญิงสาวเข้าไปด้านในซึ่งเป็นห้องรับแขกและกวาดสายตาไปทั่วเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
“คุณอยู่ที่นี่หรือ?”
“เอ้อ...ค่ะ”
“อยู่คนเดียวหรือ?”
“ค่ะ”
“เวลาตอบทำไมไม่มองตาผม”
“ฉันอยู่กับแม่ค่ะ แต่ตอนนี้แม่ไม่สบายอยู่ที่โรงพยาบาล”
“ใจคอจะให้ผมยืนตรงนี้ ไม่คิดจะเชิญให้ผมเข้าไปในบ้านคุณเลยหรือไง”
“แม่จ๋า...ใครมา”
เสียงเล็ก ๆ ที่ดังแทรกขึ้นมาจากทางด้านหลังอัยย์ญาดาขณะเธอกำลังจะอ้าปากพูดทำให้ทั้งสองตั้องชะงัก ร่างเล็กบอบบางหันกลับไปทำให้ชาครินทร์เห็นเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนจ้องมองมาทางเขาชัดเจน ชายหนุ่มชะงักนิ่งและหนูน้อยก็จ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจแต่คนที่ต้องตระหนกมากกว่าใครเพื่อนคืออัยย์ญาดา หัวใจของเธอราวกับหลุดหายไปในวินาทีนั้น วินาทีที่ลูกสาวเรียกบุรุษแปลกหน้าว่า
“ป๋าโอม!”
อรินลดาวิ่งปรี่เข้ามาหยุดข้างมารดาและเขย่ามือเรียวบางพลบางพูดด้วยเสียงใสแจ๋วว่า
“แม่จ๋า...นี่ไงป๋าโอม...ที่น้องเอ๋ยเล่าให้แม่จ๋าฟัง”