“ถ้าอย่างนั้น คุณมัสก็คงพอเข้าใจแล้วสินะครับ ถ้าคุณยังไม่อยากกลับตอนนี้ ผมจะขอนั่งด้วยคนนะครับ จะได้ช่วยรินเหล้าให้ไหมครับ แต่ถ้าจะหยุดก็บอกได้ เพื่อนคุณบอกว่าคุณกำลังอกหัก คืออาจจะอยากระบาย”
คำว่า ‘อกหัก’ ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของมนัสยาเหลือเกิน เธอทำหน้าเศร้าลงทันที
“แล้วคุณเคยรักใครสักคนไหม”
“รักสิ รักมาก รักจนยากจะลืม แต่วันหนึ่งผมไปหาเธอ แต่เธอดันย้ายบ้านหนี”
“เหรอคะ” เธอทำหน้าตกใจ
“ใช่ ไม่อยู่รอเหมือนที่เคยบอกกันไว้”
“โธ่! ใครกันน่ะ ทำให้ผู้ชายหล่อ ๆ อย่างคุณร้องไห้” เธอส่งมือของเธอมาแตะที่ใบหน้าของเขา เธอบีบปลายคางของเขาแล้วบีบแรง พร้อมกับดึงปากของเขาลงมา จนเห็นฟันเรียงสวย
“ฟันคุณขาวจัง สวยด้วย เหมือนเคยเห็นที่ไหน คุณคะไหนลองยิ้มสิ” คนตรงหน้าฉีกยิ้มเหมือนที่เคยยิ้ม
“แหม ๆ หล่อมาก ยิ้มก็สวย แล้วแบบนี้ผู้หญิงที่มาที่นี่ไม่แย่งกันตายหรือ”
“ผมสงวนตัวนะครับ เห็นแบบนี้ผมก็เลือกนะ อีกอย่างผมรักนวลสงวนตัว”
“หา! เหมือนฉันเลย” แล้วก็หัวเราะคิก ๆ
“ทำไมทุกคนต้องคิดว่าจะต้องหาประสบการณ์ก่อนนะ เป็นอะไรที่บ้าบอ และไม่คิดถึงใจคนที่จะมาเป็นคู่ครอง” ดวงตาหม่นเศร้ามาก
“คุณคงจะรักผู้ชายคนนั้นมาก”
“รักเหรอ ไม่รู้สิ เพียงแค่อยากให้มีคนอยู่ข้าง ๆ และพูดจากันเข้าใจทุกเรื่อง ถ้าไม่นับที่เขานอกใจ ฉันว่าเขาเป็นคนดีเลย เทกแคร์ ดูแล เฮ้อ... แต่ก็นั่นแหละ”
“คงไม่ใช่เนื้อคู่มั้ง”
“ก็น่าจะจริง”
เขากำลังจะพาเธอกลับไปนั่งที่โต๊ะเดิม และเอื้อมจะหยิบขวดเหล้าขึ้นมาทำท่าจะรินให้อีก มนัสยาแตะมือเขาเอาไว้
“ฉันไม่ดื่มแล้ว พอล่ะ เพราะฉันไม่ได้จ้างคุณมารินเหล้า” จริตที่ปลายฟ้าพร่ำสอนว่าควรมองผู้ชายแบบไหน ทั้งสายตา ดวงหน้า และริมฝีปากที่เผยอนิด ๆ
แต่คนตรงหน้ากลับหัวเราะ
“ยังตลกเหมือนเดิมนะ”
“หื้อ! อะไรนะคะ”
“อะ เปล่า” เขายิ้มกว้างอีกแล้ว ฟันสวย ๆ ขาว ๆ สะดุดตายิ่งมองใกล้ หัวใจของมนัสยาหวั่นไหว เต้นโครมคราม
‘ภีม’ แต่มันนานเหลือเกิน จะสิบสี่ปีแล้ว ที่ไม่ได้เจอกัน
“อย่างไรกัน แล้วจ้างผมมาทำไมครับ”
มนัสยาชะโงกหน้าที่แดงจัดเพราะฤทธิ์สุราเข้าไปใกล้เขา กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งกับกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ยี่ห้อดังที่เธอฉีดพรม
ชายหนุ่มถึงกับกลั้นลมหายใจ แต่ท้ายสุดเขาก็เปิดจมูกสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ใจหนุ่มเต้นตึก ๆ ขึ้นมาเฉย ๆ
มนัสยาจับเข้าไปที่ปกเสื้อของเขา แล้วกระชากเข้าหา
“แล้วยายฟ้าจ่ายเงินคุณไปเท่าไรคะ”
“อ่า” เขาจะตอบได้อย่างไรกัน ว่า... ไม่ได้สักบาท
“ยายฟ้าน่ะชอบโม้ว่าค่าตัวเด็กที่นี่แพง ฉันคิดว่าจากสูทที่คุณใส่ ค่าตัวของคุณน่าจะสามแสน”
เขาถึงกับหลุดขำ
“อะ! ใช่ ใช่ไหมล่ะ คงจะสามแสน ยายนั่นบอกว่าจะเทเงินหมดหน้าตักเพื่อซื้อคุณ”
“อะฮะ! แล้วถ้าจ่ายแพงขนาดนี้ จะจ้างผมไปทำไมกันล่ะครับ”
“ถล่มงานแต่งงาน” มนัสยาพูดออกไปเพราะความเมา
“งานแต่งงาน เรื่องใหญ่นะครับนั่น อันที่จริง ผมว่าอย่าเลย คุณต้องปล่อยวาง ถ้าเขาไปดีแล้ว หมดรักคุณแล้ว คุณก็ไม่ควรจะไปยุ่งกับเขาอีก” เขามองเธออย่างสงสารและเอ็นดู
มนัสยาไม่พอใจ เธอชักสีหน้า ก่อนจะกระชากคอเสื้อของเขาให้ดึงเข้ามาหา ใบหน้าของทั้งสองเกือบจะชนกัน
“ก็เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกันนะครับ” เขารีบบอก
“ก็ใช่นะสิ ฉันถึงต้องใช้แรงงานผู้ชาย แต่ตอนนี้ไม่มีผู้ชายข้างกาย จ้างเอาน่ะถูกต้องแล้ว เราจะได้ไม่ต้องมีข้อผูกมัดอะไรกัน”
“อ้อ แค่จะหาคู่ควงไปที่งานแต่งงานใช่ไหมครับ นึกว่าจะไปพังจริง ๆ เอ่อ... ฟังดูก็เข้าทีอยู่นะครับ แต่อาจจะยุ่งยากในวันข้างหน้าได้”
“ถ้าเราเป็นคนมีเงินทุกอย่างก็ไม่ยุ่งยากแล้วใช่ไหม”
ดวงใจห่อเหี่ยว เริ่มเชื่อแล้วว่าที่ธาราเปลี่ยนใจ เพราะผู้หญิงคนนั้นฐานะดีกว่าแบบเว่อร์ ส่วนเธอนะเหรอ แค่พนักงานต๊อกต๋อย
“อย่าซีเรียสเป็นเลยนะครับคุณมัส”
“นี่คุณรู้ชื่อฉันแล้วนี่ แล้วคุณล่ะชื่ออะไร”
ชายหนุ่มยิ้มละมุน ดวงตาคล้ายเหยี่ยวจ้องมองมาอย่างแฝงเลศนัย มนัสยาควรระวังตัวมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่เพราะฤทธิ์ของเหล้าที่ดื่มเข้าไปเพียงคนเดียวถึงครึ่งขวด ทำให้แยกแยะไม่ออกระหว่างหมาป่ากับลูกแกะ
ทว่าในจิตใจ เขากลับเอ็นดูในความใสซื่อของเธอมาก ๆ คนเราแม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน นอกจากรูปกายภายนอก
“เรื่องชื่อมันสำคัญด้วยเหรอครับ ที่จริงมันคงไม่สำคัญหรอกครับ ถ้าไม่คิดจะผูกมัดหรือว่าผูกพันไปมากกว่านี้ เอาเป็นว่าตอนนี้ถ้าผมจะปิดชื่อเสียงเอาไว้ก่อน คุณจะว่าอย่างไร และเราสองคนเพียงเริ่มต้นทำความรู้จักกันก่อนดีไหมครับ”
“ทำความรู้จัก พูดดีนี่ แล้วทำไมไม่กล้าบอกชื่อ หรือว่าชื่อไม่เพราะฮึ” ยังจะหาเรื่องเขาอีก แม้จะขุ่น ๆ ที่อีกฝ่ายเอาแต่เรียกชื่อของเธอ โดยที่เธอไม่รู้จักชื่อของเขา
“ผมมาในฐานะโฮสต์ของคุณ เอาเป็นว่าคืนนี้ขอผมดูแลคุณจนสุดความสามารถก็แล้วกันนะครับ”
“จะให้ฉันไปกับคุณ โดยไม่รู้จักชื่อและก็แซ่นี่อะนะ”
“ทำไมอยากรู้จักชื่อของผม”
“อ้าวคุณนี่ก็ประหลาดล่ะ คนเราจะไปนอนด้วยกันจะไม่ถามชื่อเสียงเรียงนามกันหรือไง เอิ้ก...” ทำลมออกมาจากปาก ก่อนจะทำเขินอายและยกมือขึ้นมาปิดปากแทบทันที
“ขอโทษค่ะ” เขาได้แต่หัวเราะฮึ ๆ
“ไปกันเถอะครับ ร้านจะปิดแล้ว และเด็ก ๆ ต้องเก็บเก้าอี้ขึ้นบนโต๊ะ” ท่อนแขนของมนัสยาถูกช้อนขึ้น ร่างของเธอถูกรั้งเข้ามาจนแนบอกของเขา หญิงสาวมองไปรอบ ๆ พนักงานเสิร์ฟเริ่มจะเก็บเก้าอี้จริง ๆ และในมุมหนึ่งของห้องก็มีเสียงเครื่องดูดฝุ่น
“บรรยากาศไม่ค่อยดีแล้ว เสียงเครื่องดูดฝุ่นกลบเสียงทีวีแล้วครับ”
“ได้ยินแล้วน่า ไม่ได้หูหนวกสักหน่อย”