“แปลกใจละสิ ความเจริญไม่ได้มีทุกพื้นที่หรอกค่ะ” รมิดาพึมพำตอบ เธอขยับเดิน แต่คนตัวใหญ่ยังยืนเฉย “ตามมาสิคะ ฉันชักง่วงแล้ว” เธอตัดสินใจกำรอบข้อมือเขา และออกแรงรั้งเบาๆ ลูเซียนยอมเดินตาม เขาพยายามจดจำทุกสิ่งรอบตัว แต่กลับไม่มีอะไรให้จำสักอย่าง เนื่องมาจากความมืดมิด เขามองอะไรไม่เห็นเลย นอกจากพื้นถนนขรุขระ และต้นหญ้ารกๆ ข้างทาง
ลูเซียนได้กลิ่นอับๆ ที่ทำให้เขาแสบจมูก เป็นกลิ่นน้ำเน่าหรือกลิ่นขยะไม่รู้ จมูกของเขาแยกกลิ่นหลายอย่างที่ปะปนในอากาศไม่ได้
“บ้านฉันเองค่ะ ถ้าต้องเช่าบ้านด้วย เงินเดือนฉันคงเหลือไม่พอใช้ถึงสิ้นเดือนหรอกค่ะ” บ้านไม้หลังเล็กๆ ตั้งอยู่ริมคลอง เป็นพื้นที่ที่ไม่มีโฉนด คนเก่าแก่ปลูกสร้างเป็นที่อยู่อาศัย ตั้งแต่เมืองใหญ่แห่งนี้ยังไม่เจริญ ทางการพยายามขับไล่และยื่นข้อเสนอให้ แต่ยังไม่สามารถเจรจากับผู้อาศัยได้ โครงการพัฒนาพื้นที่เลยหยุดชะงักลง
รมิดาถอนใจ ควานมือหากุญแจรั้วบ้าน เธอใช้โซ่คล้องไว้ เพราะนอกจากเธอแล้ว บ้านหลังนี้ไม่มีคนอื่นอีก
บิดา มารดา หรือแม่แต่ปู่กับย่า ทุกคนทิ้งเธอไว้บนโลกวุ่นวายใบนี้ รมิดาแทบไม่มีญาติสนิทเหลืออยู่ แต่เธอยังมีลมหายใจ ดังนั้นเธอเลยต้องพยายามอยู่ให้รอด
“ตามสบายนะคะ ที่นี่มีแค่ฉันคนเดียวนั่นแหละค่ะ” หลังวางกุญแจบ้านบนชั้นวางของข้างประตู รมิดาอนุญาตให้คนแปลกหน้าที่หล่อวายร้ายทำตัวตามสบาย
“ผมหิว...” ในมือของลูเซียนยังคงมีไวน์ราคาแพง แต่เขายังไม่มีอาหารหนักๆ ตกถึงท้อง เขาหัวเสียเพราะเรื่องชุดที่หนุ่มโฮสสวมจนกระเดือกอะไรไม่ลง
“ไม่แน่ใจนะคะว่าในตู้เย็นฉันจะพอมีอะไรทำให้คุณกินได้” มันดึกเกินกว่าจะสั่งเดลิเวอรี ถึงมีร้านค้าที่เปิดรับออเดอร์ตอนนี้ รมิดาก็ไม่คิดจะสั่ง ราคาอาหารบวกค่าแพลตฟอร์มแล้ว มันแพงเกินไป มันไม่คุ้มกับผู้บริโภคอย่างเธอ ที่ประหยัดจนชิน
“อะไรก็ได้ครับ ผมกินง่ายๆ” ลูเซียนโกหก เขาเป็นคนเรื่องมากเบอร์หนึ่ง ที่มารดามักจะบ่นประจำ
เขาไม่กินอาหารสุกๆ ดิบๆ ไม่กินผักใบเขียว และไม่กินอาหารที่มีส่วนผสมของไข่
“มีแต่มาม่า คุณพอกินได้มั้ยคะ?”
ลูเซียนกะพริบเปลือกตาปริบๆ ‘มาม่า’ คืออะไรเขานึกภาพไม่ออก เลยเผลอตัวพยักหน้าตอบรับ เขาหิวจนแสบท้อง แถมตอนนี้เขาอยู่นอกรัศมีของการ์ดที่คอยคุ้มครอง เขาเชื่อว่าอีกไม่นานคนเหล่านั้นคงตามเจอ แต่เวลานี้เขาหิวและไม่อยากทนรอ
รมิดาเดินกลับมาหลังหายไปเกือบสิบนาที เธอประคองถ้วยใบใหญ่ที่มีควันลอยกรุ่นมาวางบนโต๊ะตัวเตี้ยๆ ด้านหน้า “คุณชื่ออะไรคะ เรียกฉันว่าดาก็ได้ ฉันชื่อรมิดาค่ะ”
ลูเซียนมองริมฝีปากสีซีดตาปรอย เขาลืมตัวกระทั่ง หญิงตรงหน้าเสือกช้อนที่มีอะไรบางอย่างในช้อนนั่นใส่ปากเขา “อุ๊บ!!” เขาเผลอตัวงับ และรีบเคี้ยวตามสัญชาติญาณ เขารู้ว่าสิ่งที่หญิงตรงหน้าส่งให้คือ ‘อาหาร’
“อ๋มอื่ออูเอียน” มีบางอย่างเต็มปาก แต่ลูเซียนก็พยายามฝืนพูด เขามองมือรมิดาตาเขม็ง หลังหล่อนเสือกช้อนด้ามนั้นใส่ปากเขา หล่อนก็ตักบางอย่างในถ้วยนั่น ใส่ปากตัวเอง
“อะอ่างอิน อ้ามอูดอิ” เขาแปลความหมายคำพูดของเธอออก หล่อนดุเขา ไม่ให้พูดระหว่างที่กำลังกิน แต่หล่อนกลับทำเสียเอง ลูเซียนอดหัวเราะไม่ได้ และเมื่อเขาอ้าปาก ช้อนคันเดิมก็ถูกเสือกใส่ปากเขา พร้อมกับเส้นอะไรบางอย่างที่นุ่มและเหนียวนั่น
“ไม่ถือนะคะ ฉันขี้เกียจล้างช้อนหลายคัน ฉันเองก็หิว ฉันยังไม่ทันได้กินอะไรเลยสักอย่าง ก็จำเป็นต้องลากคุณกลับมาก่อน” รมิดาตักมาม่าในถ้วยใส่ปาก “คุณชื่ออะไรนะคะ?” เธอถามย้ำ เพราะยังไม่ทันได้คำตอบ
ลูเซียนรีบกลืน “ผมชื่อลูเซียน เลย์น”
“อ้อค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” รมิดาสาวเส้นมาม่าต่อ เธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองหิวจัด ก็ตอนที่เริ่มลงมือกินนี่เอง
“ไอ้นี่ทำจากอะไรเหรอ อร่อยดีนะ” ลูเซียนขยับปากเคี้ยว เขาเป็นลูกนกที่รอให้แม่นกอย่างรมิดาป้อน เขาไม่จำเป็นต้องขยับเลย อาหารมื้อดึกที่เขาแน่ใจว่าตนเองไม่เคยลิ้มลองก็ถูกส่งใส่ปาก
“แป้งกับไข่สิคะ คุณไม่รู้จริงเหรอ?” ลูเซียนสำลัก เขาไอ้แค๊กๆ ยกมือตบอกแรงๆ
“คุณว่ายังไงนะ”
รมิดาไม่ได้ตอบคำถามนั่น “คุณไม่เคยกินเหรอ บ้าสิ ฉันไม่เชื่อหรอก คุณอยู่มาได้ยังไง ไม่เคยกินแม้แต่มาม่า”
ลูเซียนขยับปมเนกไท เขารูดลงเพื่อระบายความอึดอัด
“ถอดออกเถอะคุณ ไม่ร้อนเหรอคะ” รมิดาถาม สูทที่เขาสวมทำให้ชายตรงหน้าดูดีก็จริง แต่มันน่าจะทำให้เขาไม่สบายตัว เนื่องจากอากาศอบอ้าว แม้จะเป็นช่วงที่อุณหภูมิลดต่ำลงก็ตาม
ครั้งแรกที่ได้ยินลูเซียนตกใจ แต่เมื่อหยุดคิด หญิงตรงหน้าไม่ได้คิดแผลงๆ หล่อนแค่สมเพชเขาที่แต่งตัวเต็มที่ พอถูกท้วงลูเซียนก็เริ่มรู้สึกร้อนหน่อยๆ เขาตัดสินใจปลดกระดุมสูท และถอดวางพาดไว้เหนือพนักเก้าอี้ พอเขาเริ่มปลดกระดุมเสื้อ รมิดาก็เริ่มโวยวาย
“คุณจะทำอะไนน่ะ!!”
ลูเซียนเลิกหัวคิ้วขึ้นสูง “ผมร้อน”
“อ้อแล้วไป ฉันคิดว่า” รมิดาพึมพำเสียงอุบอิบ
“คิดว่าผมจะทำงานตามหน้าที่เหรอครับ ได้นะ ผมไม่เกี่ยง”
ถึงไม่ใช่ในแบบที่แอบวาดฝันในอากาศ ไม่มีเตียงนุ่มๆ หลังใหญ่ ไม่มีแอร์คอนนิชันที่ช่วยให้อากาศเย็นระหว่างฟาดฟันกัน แต่การเล้าโลมในพื้นที่แปลกๆ ก็ช่วยกระตุ้นอารมณ์ดิบได้เหมือนกัน ลูเซียนกลืนน้ำลายฝืดๆ ลดสายตาต่ำลงไปที่ปลีน่องของรมิดาทันที
“หยุด!! หยุดคิดอะไรพิเรนทร์แบบนั้นเด็ดขาด” รมิดายกมือโบกไปมาในอากาศ เธอรีบขยับตัวออกห่าง มองลูเซียนตาขวางๆ
“อ้าว ทำไมละครับ” ลูเซียนท้วงเสียงหลง
“ฉันไม่ได้ลากคุณมาทำแบบนั้นสักหน่อย” รมิดาตอบเสียงแผ่วๆ
“คุณให้ผมมาทำอะไรที่นี่ ถ้าไม่ได้ต้องการแบบนั้น?”
“อย่าคิดอกุศลสิคุณ ฉันแค่ไม่มีสตางค์จ่ายค่าตัวคุณไง เลยลากคุณออกมาก่อน หมอนั่นท่าทางคุยยาก” รมิดาบ่นพึมพำ ชายที่อ้างตัวเป็นเจ้าของบาร์โฮส ท่าทางเขี้ยวไม่น้อย
“นอกจากบริกาสาวคู่ขาแล้ว ผมทำอย่างอื่นไม่เป็นหรอกนะ” ลูเซียนตอบเสียงขึงขัง สีหน้าบึ้งขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ คุณแค่นอนที่นี่ แล้วก็กลับไปเถอะค่ะ”
“อะไรนะ” ลูเซียงครางเสียงแหลม
“แค่นอนค่ะ นอนเฉยๆ ต่างคนต่างนอนด้วย”
ตอนที่ 4.
ว่าด้วยเรื่อง ‘กลิ่น’
อากาศรอบตัวร้อนแทบทนไม่ไหว ลูเซียนไม่เคยรู้มาก่อนบนโลกใบนนี้จะร้อนได้ถึงขั้นนี้ได้ เขาสลัดเสื้อผ้าทุกชิ้นบนร่างกายทิ้ง แม้จะไม่สวมอะไรเลย ความรุ่มร้อนก็ยังไม่ลดลง เขาผุดลุก ผุดนั่งเกือบหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดเขาก็ตัดใจยอมทิ้งตัวนอนบนเตียงที่แข็งยิ่งกว่าไม้กระดาน เขาพลิกตัวไปมา กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบจะเช้าแล้ว
“อย่าแย่งกันสิ อย่าส่งเสียงดังด้วย เดี๋ยวหมอนั่นตื่น” รมิดาปรามสุนัขจรจัดที่แวะมากินอาหารที่เธอเทไว้ให้ พอสุนัขตัวนั้นเห็นเธอเข้า มันก็เริ่มส่งเสียงทักทาย
เธอตักซี่โครงไก่ออกจากหม้อ ใช้มือโบกไปมา หวังให้ซี่โครงไก่ชิ้นนั้นเย็นตัวลง แววตาผสมความหิวถูกส่งมาให้เธอ สุนัขหลายตัวบนโลก เติบโตมาอย่างยากลำบาก ไร้ที่พักพิงและไร้อาหาร
“ไม่ต้องรีบ ไม่มีใครแย่งหรอก” สัญชาติญาณของสัตว์อดโซ พอเจออาหารก็รีบกระโจนใส่ เพราะกลัวว่าเพื่อนร่วมโลกจะแย่งไปเสียก่อน
รมิดานั่งมองจนแน่ใจว่าสุนัขตัวนั้นจัดการซี่โครงไก่ที่เธอแบ่งให้จนหมดเรียบร้อยเธอถึงทรงตัวยืน พอหมุนตัวกลับมา เธอต้มข้าวต้มค้างไว้บนเตา และหากยังมัวโอ้เอ้ตรงนี้ มื้อเช้าแสนสุขของเธอ คงไหม้ไปเสียก่อน
“โอ๊วะ!!” รมิดาตกใจขวัญเกือบผวา
ผู้ชายแปลกหน้าที่เธอ ‘หิ้ว’ เขามาจากบาร์โฮส ยืนเปลือยอกอยู่ด้านหลัง เธอถอนใจแรงๆ รู้สึกแปลกๆ กับความคิดตนเอง เธอดีใจที่เขาสวมกางเกงด้านล่าง หรือเสียดายที่เขาไม่ได้เปลือยทั้งตัวกันแน่
“ท่าทางคุณ จะ ‘หิว’ นะครับ” ลูเซียนสัพยอก